เมื่อตั้งสติได้ มือขวาของเขาจับขาขวาของตัวเองเอาไว้แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ทั้งหมดนี้ เป็นฝีมือแกใช่ไหม”
“โอ้ ฉลาดนี่นา อุตส่าห์ปิดบังมาดีขนาดนี้ สุดท้ายก็โดนแกจับได้จนได้”
สีหน้าของเฉินเทียนฟ่าง พึงพอใจ เขาแกว่งปืนที่อยู่ในมือ แล้วตั้งใจทำท่าส่ายหน้าอย่างเหลืออด “แต่น่าเสียดายนะ มารู้ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว การตายของแกกับผู้หญิงบนรถนั่น คงไม่มีใครรู้แน่ๆ ว่าเป็นฝีมือของฉัน”
“หลิงหลง!”
หน้าของเฉินตงถอดสี ทันใดนั้นเขาจึงแผดเสียงออกมาด้วยสีหน้ากราดเกรี้ยว “แกคงเป็นคนที่ตระกูลเฉินส่งมาสิท่า พวกแกแค่อยากให้ฉันตายไม่ใช่หรอ ขอร้องล่ะ ปล่อยเธอไปแล้วเอาชีวิตฉันไปได้เลย เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย!”
“ขอร้องฉัน?”
ใบหน้าของเฉินเทียนฟ่าง ชะงักไป จากนั้นร่างกายกำยำของเขาก็ยอบตัวลงมานั่งยองกับพื้น
กระบอกปืนจ่ออยู่ใต้คางของเฉินตง เชยคางของเฉินตงให้เชิดสูงขึ้น
“คิดไม่ถึงเลยว่า คนน่ายำเกรงอย่างเฉินตงจะพูดคำว่าขอร้องกับฉันได้ พอเห็นแกตกต่ำขนาดนี้ ฉันคงต้องบอกแกตามตรงว่า คุณนายใหญ่ต้องการให้แกตาย ไม่อย่างนั้นแล้วแกคิดว่าทำไมคนอย่างฉันต้องทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้?”
สีหน้าของเฉินเทียนฟ่าง ไร้กังวล พลางเฉลยเรื่องราวทั้งหมดให้เฉินตงฟัง
เพราะอีกไม่นานเฉินตงกำลังจะแปรสภาพเป็นร่างไร้วิญญาณตัวแข็งทื่อ
คนตายไม่เคยปริปากได้!
แม้ว่าเขาจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เฉินตงฟัง แต่ความจริงก็จะหายไปพร้อมๆ กับความตายของเฉินตง
“พวกแกกำลังทำผิดกฎเหล็กของตระกูลเฉิน” เฉินตงนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้ทางสู้ ปืนจ่ออยู่ใต้คาง ทำให้เขาได้แต่จ้องเฉินเทียนฟ่าง อย่างอาฆาตแค้น
เพี๊ยะ!
เฉินเทียนฟ่างตบหน้าเฉินตง
“แกเล่นมุกอะไรอยู่ ฆ่าแกตายบนอีกฟากฝั่งของมหาสมุทรแล้วทำลายหลักฐานทิ้งซะ แกคิดว่าตระกูลเฉินจะพลิกแผ่นดินสืบหาความจริงได้งั้นเหรอ กฎเหล็กนั่นเมื่อเผชิญกับอำนาจก็เป็นได้แค่เศษสวะ แกคงเสียดายสินะที่พ่อแกหายตัวไป ไม่อย่างนั้นแกคงจะมีโอกาสอยู่บ้าง”
บนสีหน้าปรากฏความโมโห ความคับแค้น ความกราดเกรี้ยวและอีกหลายอารมณ์ผสมปนเปเข้าด้วยกัน
เขากัดฟัน หายใจถี่ระรัว ราวกับลมหายใจของสัตว์ดุร้ายที่กำลังบ้าคลั่ง
และสบตากับเฉินเทียนฟ่าง
สายตาชิงชังเช่นนี้ ทำให้เฉินเทียนฟ่างรู้สึกหนาวสันหลังแม้ว่าตนจะเคยผ่านศึกสงครามมาแล้วก็ตาม
นิ่งเงียบอยู่หลายวินาที
“หึ!”
เฉินเทียนฟ่างส่งเสียงเยาะเย้ย ทำลายความเงียบงันนั้น
เขาปล่อยเฉินตง แล้วจับหัวของเฉินตงที่กำลังไร้เรี่ยวแรงกระแทกลงบนพื้นราวกับกระสอบทราย
จากนั้นจึงค่อยๆ ยืนขึ้น
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสะใจ มือขวาที่กำปืนเอาไว้ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจ่ออยู่ที่ขมับของเย่หลิงหลง
“แต่พอเห็นท่าทางของแกเป็นแบบนี้ แกคงจะเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้มากสินะ ถึงขนาดยอมลดศักดิ์ศรีมาขอร้องฉัน ถ้าฉันฆ่าผู้หญิงคนนี้ตายก่อนแล้วค่อยฆ่าแก แกคงจะ……ทรมานมากล่ะสิ”
“เฉินเทียนฟ่าง แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย มีอะไรก็มาลงที่ฉันสิ เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เธอเป็นคนของหงหุ้ย”
เฉินตงกัดฟันแผดเสียง ราวกับคนคลุ้มคลั่ง
“โถๆ…… ดูท่าแกคงเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้จริงๆ ถ้าฆ่ามัน แกคงทรมานมาก ถ้าอย่างนั้นฉันก็สบายใจแล้ว ขอแค่ทำให้แกทรมานได้ ฉันก็มีความสุขแล้ว”
เฉินเทียนฟ่างหัวเราะอย่างเย็นชา “อีกอย่าง ก่อนที่แกจะตาย ฉันขอร้องแกอย่างหนึ่ง แกอย่าโง่จนถึงวินาทีสุดท้ายอยู่เลย คนของหงหุ้ยแล้วยังไง พวกแกใช้เวลาสืบอยู่เป็นเดือน สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าฉันเป็นคนบงการเรื่องราวทั้งหมดนี้ ตอนนี้พอแกตายไปแล้ว แกคิดว่าพวกโง่อย่างหงหุ้ยนั่นจะตามสืบอะไรได้หรอ”
“ไม่ ขอร้องล่ะ อย่ายิงเธอนะ……”
เฉินเทียนฟ่างก้มมองภาพเบื้องล่าง นาทีนี้เฉินตงที่เขาเห็นไม่เหลือความเย่อหยิ่งเหมือนอย่างเก่า อ้อนวอนอย่างน่าอนาจใจราวกับหมาตัวหนึ่งที่ร้องขอชีวิต
“เธอไม่รู้เรื่องด้วย ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ได้โปรดปล่อยเธอไป เธอเป็นหลานสาวแท้ๆ ของจู่เหลาหงหุ้ย รุ่นหยวน……”
“เหอะๆๆ……”
เฉินเทียนฟ่างก้มมองเฉินตง สีหน้าตื่นตระหนกน่าสมเพชเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายของเขาสั่นไหวและยิ้มออกมาอย่างอำมหิต
มือของขวาค่อยๆ …… กดไปที่ไกปืน
วินาทีนี้ ทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมด
“เธอ กำลัง จะ ตาย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเทียนฟ่าง เปล่งประกายสดใส “แกเคยเห็น แตงโมงระเบิดไหมล่ะ”
ทว่า
ในตอนนั้นเอง
รอยยิ้มของเฉินเทียนฟ่าง แข็งค้างไป จากนั้นจึงปรากฏความหวาดหวั่นเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
“หงหุ้ยสืบไม่ถึงตัวแก ฉันเองก็นึกว่าแผนการครั้งนี้จะล้มเหลวซะแล้ว ยังดี……ที่สุดท้ายแกก็ปรากฏตัวออกมาเอง”
เสียงหัวเราะที่เย็นยะเยือกนั้น ดังสะท้อนก้องอยู่ในตรอกแห่งนั้น
เสียงหัวเราะเย็นเยียบที่แสดงถึงความสะใจ
เฉินเทียนฟ่างหวาดผวา ขนลุกซู่ทั่วร่าง
สิ่งที่เขาเห็นคือ สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเฉินตง
ไม่ได้เจ็บปวด หวาดผวาและอัดอั้นเหมือนอย่างเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงรอยยิ้มเย็นชาเย้ยหยัน
ความนิ่งสงบนี้ทำให้มือขวาของเฉินเทียนฟ่าง ที่อยู่บนไกปืนหยุดนิ่ง
เขาปิดบังทุกอย่างเอาไว้อย่างดีที่สุดแล้ว
ทุกครั้งที่ส่งนักฆ่าออกไป ต่างสั่งการผ่านคนกลางทั้งหมด
แม้แต่การบุกล้อมที่ชุมชนแออัดนั่น ก็สั่งการให้คนกลางเป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง
จนกระทั่งถึงตอนที่เฉินตงกับเย่หลิงหลงหนีออกมากันสองคน เขาถึงจะทนไม่ไหว แล้วออกไล่ล่ามาเพียงลำพัง
แต่ตอนนี้ เฉินตงกลับสงบนิ่งไม่ร้อนใจใดๆ
หรือว่าทั้งหมดนี้……จะถูกวางแผนเอาไว้หมดแล้ว?
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเทียนฟ่าง จึงมองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดระแวง
เขาอยากเห็นกับตาว่าความกล้าของเฉินตงมาจากตรงไหนกันแน่
“ไม่ต้องหาหรอก ฉันกับเย่หลิงหลงหนีตายกันมาสองคน ฉันเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงขั้นนี้ เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น รอบๆ นี้ไม่มีคนอื่น”
เฉินตงที่นอนแผ่อยู่กับพื้นด้วยใบหน้าอาบเลือดยิ้มออกมา “ถ้าแกไม่ปรากฏตัวออกมา ฉันก็คงจะพาเย่หลิงหลงไปโรงพยาบาล เธอเสียเลือดมากจนหมดสติไป เรื่องบังเอิญที่แกสร้างขึ้นมานี้ ทำให้ตัวแกติดกับดักตัวเอง แกว่ามันน่าขำไหมล่ะ”
“ติดกับดักตัวเอง?”
สีหน้าของเฉินเทียนฟ่าง ผ่อนคลายลง จากนั้นจึงแค่นยิ้ม “น่าขำจริงๆ แกมันก็แค่คนพิการตัวคนเดียว ไม่มีกำลังเสริมคอยช่วย ยังไงแกกับมันก็ต้องตาย!”
ทว่า
เพิ่งสิ้นเสียงพูด
ปั้ง!
ไร้คำพูดใด
สีหน้าของเฉินเทียนฟ่าง เจ็บปวด ความเจ็บปวดร้าวระบมไปทั่วขาขวา
ความเจ็บปวดที่เข้าไปถึงกระดูก ทำให้เฉินเทียนฟ่างเตรียมจะก้มตัวลงไปหยุดความเจ็บปวดนั้น
ทว่าในเวลานั้น
สีหน้าของเฉินเทียนฟ่าง ก็แปรเปลี่ยนไป
ราวกับเห็นผี
สายตาที่หวาดผวาของเขาเห็นเงาร่างหนึ่งลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ
รวดเร็วราวกระแสไฟ
ไม่รอให้เขาทันได้ตั้งสติกลับมา มือใหญ่ๆ มือหนึ่งก็คว้าเข้าที่ปืนของเขาแล้วเอานิ้วขวางที่ตำแหน่งไกปืนเพื่อไม่ให้ปืนลั่นไกได้
ความจริงตอนนี้ เฉินเทียนฟ่าง ได้ลืมความคิดที่จะลั่นไกปืนใส่เย่หลิงหลงไปแล้ว
อวัยวะภายในของเขาปั่นป่วน สีหน้าตื่นตระหนก ซีดขาว มองไปทางเฉินตงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“แก ทำไมแกถึงยืนได้ แกพิการไปแล้วไม่ใช่หรอ”
เขาไม่เคยสงสัยในแหล่งข่าวของตัวเอง
เขาระมัดระวังในรายละเอียดทุกขั้นตอนอย่างถึงที่สุด เพื่อที่จะทำให้ภารกิจลอบสังหารเฉินตงประสบความสำเร็จ
เขาสืบจากแหล่งข่าวใกล้ตัวเฉินตง ผ่านช่องทางต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน สุดท้ายจึงนำทุกอย่างมารวมกันจนแน่ใจว่าเฉินตงได้พิการไปแล้ว
หนึ่งในนั้นยังมีแหล่งข่าวที่มาจากหมอที่ทำการรักษาเฉินตงด้วย
ขนาดหมอยังไม่รู้ว่าเฉินตงแกล้งพิการ
และด้วยเหตุนี้เอง ภาพเบื้องหน้าที่เห็นจึงทำให้เขารู้สึกช็อกอย่างรุนแรง
“ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน ความจริงแล้วตั้งแต่มีคนช่วยฉันเอาไว้ ขาทั้งสองข้างของฉันก็ไม่เคยไร้ความรู้สึกเลย แต่ถ้าฉันไม่ทำให้แกรับรู้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ แกจะได้ใจจนประมาทขนาดนี้ได้ยังไง”
เฉินตงมองไปที่เฉินเทียนฟ่าง ด้วยรอยยิ้มเย็น แววตาที่เปล่งประกายออกไปตอนนี้ราวกับมีดคมปลาบ
ท่าทียากลำบากราวแบกภูเขา อารมณ์เดือดดาล และหยิ่งผยอง
“แกวางแผนทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นเลยหรอ”
เมื่อโดนเฉินตงจ้องไม่วางตา เฉินเทียนฟ่างก็เริ่มตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ความหนาวยะเยือกได้แผ่คลุมทั่วร่างราวกับตกลงไปในภูเขาน้ำแข็ง
ความน่าพรั่นพรึงที่เฉินเทียนฟ่าง สัมผัสได้จากเฉินตงนาทีนี้ ท่วมท้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตั้งแต่เล็กจนโต เฉินเทียนฟ่างไม่เคยสัมผัสได้ถึงรังสีความน่าสยดสยองเช่นนี้จากร่างกายของใครมาก่อน ทำให้รู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่ง
มันวางแผนมาตั้งแต่แรก แกล้งทำเป็นพิการ เพื่อจะมาตลบหลังฉัน?
คนผู้นี้……แท้จริงเป็นคนเจ้าเล่ห์และเจ้าแผนการถึงขั้นไหนกัน?
และในขณะที่ เฉินเทียนฟ่าง กำลังหวาดผวาอยู่นั้น
มือซ้ายของเฉินตงก็ออกแรงแย่งปืนออกมาจากมือของเฉินเทียนฟ่าง ได้
“ไปตายซะ!”
เมื่อปืนหลุดออกจากมือ สิ่งที่ทำให้เฉินเทียนฟ่างรู้สึกอุ่นใจเพียงอย่างเดียวก็หายไปด้วย
ในชั่วพริบตานั้น
สีหน้าของเฉินเทียนฟ่าง เต็มไปด้วยความเคียดแค้นพยาบาท
กริ๊ง!
แสงประกายแวววับ มือซ้ายของเขากำกริชเอาไว้ แล้วพุ่งตัวเข้าใส่เย่หลิงหลงที่กำลังหมดสติอยู่
เขาไม่ใช่คนโง่
เฉินตงเริ่มวางแผนมาตั้งแต่แรกและไม่เคยพิการ
หากสู้กันตัวต่อตัว เขาไม่สามารถรับมือได้อย่างแน่นอน
หากอยากมีชีวิตรอดกลับไป วิธีการที่ดีที่สุดก็คือเอาเย่หลิงหลงมาจับเป็นตัวประกัน
ทว่า
อ้า!
เลือดสดสาดกระเซ็น
ขณะที่กริชกำลังจะแทงเข้าไปที่คอของเย่หลิงหลง เฉินตงได้ยื่นมือขวาออกมาคว้าเข้าที่คมมีดของกริช
กริชคมปลาบ ฟันเข้ากลางฝ่ามือของเฉินตงอย่างจัง
เลือดแดงสดไหลเป็นสาย
แต่สำหรับเฉินเทียนฟ่างที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ ไม่ว่าเขาจะออกแรงอย่างไร กริชก็แทงเข้าไปมากกว่านี้ไม่ได้
มือขวาของเฉินตงคว้าคมของกริชเอาไว้ เลือดแดงฉานไหลออกมาเป็นสาย
สีหน้าเคร่งขรึมเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นหนาวสะท้านหมายจะเอาชีวิต
“ถ้าไม่ใช่คนเจ้าวางแผน จะได้เป็นราชันย์ได้ยังไงล่ะ”
เสียงของเฉินตงดังสะท้อนก้องอยู่ในตรอกแห่งนั้น
บรรยากาศในตรอกอบอวลไปด้วยความอาฆาตหนาวสันหลัง
ราวกับอุณหภูมิได้ลดลงถึงจุดเยือกแข็ง
เฉินเทียนฟ่างชะงักงัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเฉินตง เขากลายเป็นคนขี้แพ้ที่สิ้นหวังไร้แรงต่อสู้
เป็นความแตกต่างราวกับหินก้อนใหญ่ที่บดทับลงบนตัวมด
สิ้นเสียงพูดของเฉินตง ดวงตาของเขาพลันหรี่เล็กเป็นเส้นตรง
รังสีความอาฆาตแค้นที่แผ่ออกมาจากดวงตาราวกับมัจจุราช
ปั้ง!
เสียงปืนดังสนั่น
“โอ๊ย!”
เฉินเทียนฟ่างร้องโอดครวญ ร่างกายของเขาเริ่มดีดดิ้น มือคลายกริชออกแล้วโซเซถอยหลังไป
เขากุมหน้าอกตัวเอง แม้ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดเลือดที่พวยพุ่งออกมาได้
เขาตื่นกลัว สยดสยอง ไม่อยากเชื่อตาตัวเอง……
เฉินเทียนฟ่างสั่นสะท้าน แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเฉินตง ในมือของเฉินตงมีปืนกระบอกสีดำมีควันลอยคลุ้ง
ปืนกระบอกนี้คือปืนที่หยวนเทียนกางให้เฉินตงเอาไว้ป้องกันตัว
กึก!
เฉินเทียนฟ่างตัวอ่อนตัวพับล้มลงกับพื้น
เฉินตงถือปืนเอาไว้ แล้วก้าวเข้ามาทีละก้าว
ฝีเท้าของเขาก้าวไม่ช้าไม่เร็วอย่างสบายอารมณ์
ราวกับมัจจุราชมาเยือนโลกมนุษย์
เมื่อสัมผัสได้ถึงความตายที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
เฉินเทียนฟ่างที่นั่งอยู่บนพื้น ถอยหลังหนีอย่างหวาดหวั่น หน้าอกมีเลือดท่วมไหลนองลงบนพื้น
“ขอร้องล่ะ ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย……ได้โปรดปล่อยฉันไป……ฉันคือคนของตระกูลเฉิน ถ้าแกฆ่าฉันเท่ากับฝ่าฝืนกฎเหล็กของตระกูลเฉิน”
เฉินตงรู้สึกอยากหัวเราะ
คำพูดประโยคนี้คุ้นหูจัง!
เขายิ้มอย่างเคร่งเครียด “คำพูดนี้ ฉันเพิ่งพูดกับแกไปเมื่อกี้ และก็เป็นแกเองที่บอกว่ากฎเหล็กเมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจก็เป็นได้แค่เศษสวะ”
สิ้นเสียง
เฉินตงก็กระโจนเข้าใส่เฉินเทียนฟ่าง
เฉินเทียนฟ่างหนีไม่ทัน และไม่มีแรงที่จะหนี
ในชั่วพริบตา เฉินตงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินเทียนฟ่าง แล้วก้มตัวลงคว้าคอของเฉินเทียนฟ่าง เอาไว้
“แกคิดจะฆ่าผู้หญิงของฉัน ไปตายซะ!”
หลังจากเสียงเย็นยะเยือก
ปั้งๆๆๆ……
เสียงปืนดังสนั่นต่อเนื่องไปทั่วทั้งตรอก
จนกระทั่งกระสุนปืนหมดแม็ก เฉินตงถึงจะปล่อยตัวเฉินเทียนฟ่าง
เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่เหลียวมอง จากนั้นมุ่งหน้ากลับไปยังรถแฮมเมอร์
เฉินเทียนฟ่างนั่งอยู่บนพื้นด้านหลัง ได้หงายตัวและกระแทกลงกับพื้น
ตอนนั้น เย่หลิงหลงยังคงหมดสติอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าซีดเผือดไร้สีสันแห่งเลือด
“ยัยโง่ ฉันบอกแล้วว่าจะช่วยเธอเอง”
เฉินตงค่อยๆ อุ้มเย่หลิงหลงออกมาจากรถ แล้วเดินออกจากตรอกไป “ต่อให้เธอหมดสติไปแล้ว ฉันก็ยังเหยียบคันเร่ง พาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลได้อยู่ดี”