บทที่ 76 กูชื่อเฉินตง
เมื่อเฉินตงได้พบกับกู้ชิงหยิ่งในใต้ตึกบริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่
เธอก็เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งทำผิด ได้แต่แลบลิ้นออกมาอย่างสนุกสนาน
“เอาน่าๆ เดี๋ยวฉันเลี้ยงมื้อเที่ยงนี้เอง”
เฉินตงยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นยื่นมือออกไปบีบจมูกของกู้ชิงหยิ่งเบาๆ
“คุณต้องเลี้ยงจริงๆ แล้วล่ะ โทษฐานที่มีความลับต่อผม”
แม้เขายังสงสัยเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของกู้ชิงหยิ่ง แต่เขาไม่ได้จี้ถามเธอ เพราะเธอก็ไม่ได้ถาม “ชายผู้สูงศักดิ์” ของเขาด้วยเช่นกัน
ทั้งสองเข้าใจซึ่งกันและกันในเรื่องนี้
จากนั้นกู้ชิงหยิ่งก็เลือกร้านอาหารร้านหนึ่ง ทั้งสองจึงเข้าไปสั่งอาหารและกินไปด้วยคุยไปด้วย
บรรยากาศเป็นธรรมชาติมาก
พวกเขาไม่ได้ทำตัวลำบากถึงแม้เพิ่งรู้ตัวตนของกู้ชิงหยิ่ง
แต่อาหารเที่ยงไปได้เพียงครึ่งทาง เมื่อมีสายโทรเข้าสายหนึ่งก็ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที
เป็นสายโทรเข้าจากฟ่านลู่!
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่?
เฉินตงขมวดคิ้วแล้วรับสายอย่างรวยเร็ว
“คุณเฉินคะ แย่แล้วค่ะ……ฮือ ๆ ๆ ……คุนหลุนถูกเขาตี……”
ทันทีที่รับสาย เสียงร้องไห้ของฟ่านลู่ก็ดังขึ้น
เฉินตงสีหน้าเคร่งเครียดทันที
คุนหลุนถูกทำร้าย?
เป็นไปได้ไง!
ทหารมือเปื้อนเลือด นักฆ่าตัวจริงอย่างเขา ถึงแม้จะถูกคนอื่นตี ฟ่านลู่ก็ไม่น่าจะต้องร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้หรอกนะ!
“อยู่ไหนกัน?” เฉินตงถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ไม่ว่ายังไงก็ต้องรีบไปให้ได้
“ฮือ ๆ ……อยู่หน้าไซต์งานชุมชนเฮติค่ะ……” ฟ่านลู่ร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม “หนูขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง หนูทำให้พี่คุนหลุนต้องถูกทำร้าย”
ตู๊ด ๆ ๆ!
เมื่อวางสายลง เฉินตงก็ขมวดคิ้วอย่างเคร่งขรึม
ฟ่านลู่จะกลับไปที่ไซต์งานทำไมกัน?
ก่อนที่จะเลือกฟ่านลู่เข้ามาทำงานในบ้าน เขารู้ว่าเธอเคยทำงานในไซต์งานนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้เธอไม่มีงานในนั้นแล้วนะ แล้วเธอจะไปทำไม?
แถมไม่พอคุนหลุนยังถูกทำร้ายด้วย!
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เมื่อเห็นสีหน้าความกังวลของเฉินตงแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็ถามอย่างเป็นห่วง
เฉินตงส่ายหัวแล้วพูดอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะเสี่ยวหยิ่ง เกิดเรื่องเร่งด่วนขึ้นกับฟ่านลู่และคุนหลุน ผมต้องรีบไปหาพวกเขา คงอยู่ต่อกับคุณไม่ได้แล้วนะ”
เขาไม่ได้ปิดบังกู้ชิงหยิ่งใดๆ
กู้ชิงหยิ่งรีบลุกขึ้นแล้วพูดอย่างใจกว้าง “รีบไปสิ จะรออะไร? เดี๋ยวฉันไปกับคุณด้วย”
เฉินตงตกใจและรู้สึกอบอุ่นใจ
แต่เขายังคงลุกขึ้นและหยุดเธอไว้ “ไม่เป็นไร คุณกลับบริษัทก่อนดีกว่า ผมไปคนเดียวได้”
“แต่ว่า……” กู้ชิงหยิ่งไม่ค่อยเต็มใจ
เฉินตงยิ้มและลูบหัวเธอเบาๆ “เอาน่า เชื่อผมสิ ผมไม่เป็นไรหรอก”
กู้ชิงหยิ่งพยักหน้าแล้วยื่นกุญแจรถปอร์เช่ 911 ให้เฉินตง “คุณขับรถฉันไปสิ เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่เสี่ยวลู่แล้ว”
เฉินตงไม่ได้ปฏิเสธ เขารับกุญแจรถมาแล้วออกจากร้านอาหารทันที
หลังจากเข้าไปในรถปอร์เช่ 911 สีหน้าของเฉินตงก็เย็นชาลง
เขาไม่ยอมให้กู้ชิงหยิ่งไปด้วยก็เพราะเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเธอ
เขารู้จักฝีมือของคุนหลุนดี คนที่สามารถสั่งสอนยอดฝีมือของตระกูลเฉินต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะมือที่เปื้อนเลือดคู่นั้น ปกติแล้วไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้เลย
ฟ่านลู่บอกเพียงว่าคุนหลุนถูกทำร้าย ความน่ากลัวในนั้นทำให้เขาเริ่มสงสัย
ทันทีที่เหยียบคันเร่ง รถปอร์เช่ 911 ก็คำรามเหมือนสัตว์ร้ายแล้วแล่นออกไปด้วยความเร็ว
ชุมชนเฮติที่กำลังสร้างอยู่ถือว่าเป็นโครงการใหญ่ของเมืองนี้
แม้ราคาจะไม่แพงเท่าเขตวิลล่าเขาเทียนซานและพื้นที่จะไม่กว้างเท่าย่านสลัมที่ภาคตะวันตกของเมือง แต่ก็ถือว่าเป็นโครงการใหญ่สำหรับเมืองนี้แล้ว
ส่วนโครงการอื่นๆ เฉินตงคิดว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเมืองคือบริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลง
ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของโครงการ ชุมชนเฮติก็ได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองนี้ และการเปิดจองล่วงหน้าของเฟสแรกกับเฟสสองก็ได้ความนิยมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนโครงการย่านสลัมที่ภาคตะวันตกของเมืองแล้ว
ในขณะนี้ สถานที่ก่อสร้างที่มีกำแพงสูงและประตูถูกปิดอย่างแน่นหนา
ด้านในสถานที่ก่อสร้าง เครื่องจักรต่างๆ กำลังเดินการอยู่
ปอร์เช่ 911 สีขาวขับเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เอี๊ยด!
รถหยุดตรงหน้าประตูรั้วที่ปิดกั้นอยู่
เฉินตงหรี่ตามองไปที่ประตูนั้นอย่างเย็นชา
เครื่องจักรด้านในกำลังทำงานอยู่ แต่ด้านหน้าประตูกลับถูกปิดตายแบบนี้ มันไม่สมเหตุสมผลเลย!
โดยปกติแล้ว สถานที่ก่อสร้างต้องมีรถบรรทุกหรือยานพาหนะต่างๆ เข้าออกตลอดเวลาอยู่แล้ว
“เฮ้คุณ ทำอะไรน่ะ? ขวางประตูทำไม? รีบไปให้พ้น!”
ชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบหัวหน้างานและหมวกนิรภัยชี้หน้าด่าเฉินตง
เฉินตงยิ้มอย่างเย้ยหยัน จากนั้นเปิดประตูแล้วลงจากรถ
ชายวัยกลางคนดูกระอักกระอ่วนทันที เขาก้าวไปข้างหน้าและชี้ไปที่เฉินตงแล้วพูดด้วยความโกรธ “ขับแค่ปอร์เช่กระจอกๆ คิดว่าเก่งนักเหรอ? รีบย้ายมันออกไปเลยซะ ถ้าทำให้เราเสียเวลางาน เดี๋ยวเอารถยกมาทุบให้เป็นเศษเหล็กแล้วอย่ามาโทษกันนะ”
ในไซต์งานแบบนี้ ทุกนาทีก็ล้วนเป็นเงินเป็นทอง
ดังนั้นถ้ามีรถมาจอดขวางหน้างานที่กำลังเร่งรีบแบบนี้ ไม่ผิดที่หัวหน้างานจะสั่งรถยกมากำจัดมันทิ้ง
เพราะรถราคาหลักล้านจะชดใช้ค่าเสียเวลาของโครงการนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ สถานการณ์นี้ดูแล้วคงไม่เป็นการรบกวนเวลางานของที่นี่หรอก
“ถ้ารถผมจอดขวางหน้าประตูที่ถูกปิดตายอยู่ แล้วจะเป็นการรบกวนเวลางานของพวกคุณ ผมว่ามันคงไม่ใช่เรื่องแล้วล่ะ?” เฉินตงพูดอย่างเย็นชาและดวงตาคมกริบเหมือนดาบ
ชายวัยกลางคนรู้สึกอึ้ง
จากนั้นเฉินตงก็เดินเข้าไปอย่างไม่สนใจเขา
เมื่อชายวัยกลางคนรู้ตัวอีกทีก็เห็นเฉินตงกำลังเดินเข้าไปด้านใน เขาจึงรีบวิ่งตามเข้ามาแล้วกระชากเฉินตงไว้ “นี่ๆ มึงจะมากเกินไปแล้ว? กูจะบอกมึงนะว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่มึงจะมาโชว์กร่างได้!”
ผัวะ!
เฉินตงตบหลังมือของชายวัยกลางคนแล้วพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “วันนี้ กูจะเข้าไปให้ได้!”
“แมร่งเอ๊ย! มึงไปให้พ้นเลยนะ!”
ชายวัยกลางคนโกรธจนลุกเป็นไฟ จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดมาที่เฉินตง
เฉินตงไม่ได้หลบหมัดเขา แต่กลับกระแทกชายวัยกลางคนคนนั้นจนเขาล้มลงกับพื้น
“จะบอกมึงนะว่ากูมาถึงที่แล้ว มึงจะให้กูเข้า กูก็จะเข้า มึงไม่ให้กูเข้า กูก็จะเข้า!”
เฉินตงชี้หน้าชายวัยกลางคนแล้วพูดต่ออย่างเย็นชา “รถคันนั้น มึงอยากทุบก็ทุบเลย แต่คนของกูที่อยู่ข้างในนั้นมึงจะแตะต้องไม่ได้ ถ้ามึงกล้าแตะคนของกูแม้แต่ปลายนิ้ว กูจะเรียกรถตักดินมาทุบของพวกมึงทิ้งให้หมด!”
เป็นคำพูดที่ฟังดูรุนแรงจนทำให้เขาเสียวสันหลัง
หลังจากทำงานในอสังหาริมทรัพย์เป็นเวลาสามปี เฉินตงรู้ดีว่าคนใจร้อนแบบนี้ต้องใช้ไม้แข็งเท่านั้นถึงจะเอาอยู่!
“คุณ คุณเป็นใครกันแน่?”
ชายวัยกลางคนถามอย่างหวาดกลัว
เฉินตงเดินไปที่ประตูแล้วยกเท้าขึ้น
ปัง!
ประตูเล็กหน้าประตูไซต์งานถูกเตะพัง
เมื่อได้ยินคำถามจากชายวัยกลางคน เฉินตงก็ค่อยๆ หันกลับมาหาเขาแล้วตอบว่า “กูชื่อเฉินตง!”
“เฉินตง?!”
สีหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที
ด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่มีเวลามาเจ็บจากการล้มฟาดพื้นเมื่อครู่นี้ เขาลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปในออฟฟิศ
จากนั้นหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “หยุดตีได้แล้ว พวกนายก่อเรื่องใหญ่แล้ว! สองคนนั้นเป็นคนของเฉินตงเจ้าของไท่ติ่ง ตอนนี้เขามาถึงที่แล้ว!”
“ไงนะ? ไอ้หมอนั่นมันมาได้ไง? อย่างปล่อยมันเข้ามาเชียวละ!”
เสียงตื่นตระหนกและหวาดกลัวดังขึ้นในวิทยุสื่อสาร
ชายวัยกลางคนตอบอย่างจนปัญญาว่า “มันฝ่าประตูเข้าไปแล้ว!”