ชิโมสึกิบอกว่าผม’พิเศษ’
นั่นทำให้ผมตกใจมาก แต่พอลองคิดดูดีๆแล้ว นั่นมันก็เป็นเรื่องที่แน่นอน
แต่ที่บอกว่าแน่นอน ไม่ได้หมายถึงเรื่องผมกลายเป็นตัวตนพิเศษ
เธอคิดกับผมเป็นเพื่อนของเธอ ยิ่งกว่านั้น สำหรับเธอแล้วผมเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว……ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นคนพิเศษไม่ได้หรอ
“คิดมาตั้งนานแล้วล่ะ นากายะมะคุงจะขาดความมั่นใจตัวเองมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าเมื่อไรก็เอาแต่สั่นกลัวอย่างเดียวเลย กำลังเกรงใจฉันอยู่สินะ? เพราะเป็นเพื่อนกันเลยอยากให้ทำตัวสบายๆนะ พอโดนทำแบบนั้นใส่แล้ว มันรู้สึกห่างเหินนะ”
ชิโมสึกิทำหน้าเหมือนไม่พอใจที่หาได้ยาก
เธอทำแก้มพอง ปากจู๋
ในเวลาแบบนี้เธอยังน่ารักอยู่อีก ช่างขี้ขลาดจริงๆ
“ขะ ขอโทษ……”
ไร้ซึ่งข้อแก้ตัว ตอนนี้ได้แต่ขอโทษอย่างเดียวไปก่อน
ถ้าถามว่าเพราะอะไรล่ะก็ ชิโมสึกินั้นน่ารักขนาดที่ถูกทำให้หลงใหลได้โดยไม่รู้ตัว
อา อย่างนี้นี่เอง……เข้าใจเหตุผลที่ทำให้พระเอกคลั่งรักเธอได้ขนาดนั้นแล้ว
เธอน่ะ น่ารักเกินไป
ไม่ใช่ที่หน้าตา ไม่สิ หน้าตาเธอก็อยู่ในระดับท็อปคลาสนั่นแหละ
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ บุคลิกต่างหากที่เป็นเสน่ห์ของเธอ คงเป็นเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก บรรยากาศที่ปล่อยมานุ่มนวบสุดๆ……แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกดีต่อใจแบบสุดๆ
ไม่เคยพบเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อนเลย
สามารถพูดได้เต็มปากว่า ตัวตนของเธอนั้นพิเศษและไม่เหมือนใคร
พระเอกเองก็น่าจะรู้ถึงเรื่องนี้แน่นอน ถึงจะถูกทำตัวเย็นชาใส่ แต่สัญชาตญาณของริวซากิก็น่าจะรับรู้ได้ถึงเสน่ห์ของชิโมสึกิ
สายตาที่พระเอกได้รับมาตั้งแต่เกิดนั้นไม่มีทางแย่ได้หรอก
เพราะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงอยู่หลายคนด้วย เลยคิดว่าน่าจะรู้เสน่ห์ของชิโมสึกิเป็นพิเศษ
“ฉันน่ะ คือว่า…….ที่คนเค้าเรียกกันว่า’ขี้อายน่ะ’หรืออะไรอย่างนั้นน่ะ ฉันเป็นแค่นิดหน่อยนะ นิดเดียวจริงๆนะ? นั่นไง เพราะชาติก่อนฉันเป็นสัตว์ตัวน้อยและมีสัญชาติของผู้ถูกล่าจากสัตว์ใหญ่ เพราะอย่างงั้นเวลาถูกคนอื่นมองเลยทำให้ประหม่า น่าจะพูดไปแล้วนี่นา?”
อนึ่งชิโมสึกิยังคงพูดอยู่เรื่อย
คนช่างพูดอย่างเธอนั้น ยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่น่ารักจนกว่าเธอจะพอใจ
ที่คำพูดสำหรับผมเท่านั้น ที่เป็นคนพิเศษของเธอ…..และตอนนี้ผมก็อยากจะตั้งใจฟัง
สติของนางเอก แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ตัวประกอบสามารถครอบครองไว้คนเดียวได้
นั่นทำให้ดีใจอย่างมาก
“แต่ว่า แปลกมากเลยล่ะ ที่ไม่ประหม่ากับแค่นากายะมะคุงคนเดียว……รู้สึกแปลกๆตั้งแต่ที่เห็นครั้งแรกแล้วล่ะ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ตอนที่เห็น แต่’ตอนที่ได้ยิน’ เพราะฉันหูดีไงล่ะ……เสียงที่เล็ดออกมาจากตัวเธอน่ะน่าสนใจมาก จนเผลอหมกมุ่นไปกับมันเลยล่ะ”
ชิโมสึกิพูดด้วยมุมมองที่ไม่เหมือนใครในโลก เหมือนเดิม
เป็นเรื่องถ้าจะเข้าใจทุกคำพูด แต่ว่าเพื่อให้เข้าใจได้มากที่สุด จึงฟังเธออย่างตั้งใจ
“แล้วก็นะ อยากจะลองเป็นเพื่อนกันดู และก็อยากจะรู้จักนากายามะคุงให้มากขึ้นมากขึ้นอีก พอยิ่งได้รู้จักมากขึ้นเท่าไร เสียงก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ…..เวลาที่พูดด้วยกับ จับต้องกัน ยิ้มให้กัน ก็จะบรรเลงโทนเสียงออกมาด้วย ทั้งสนุกและวิเศษ ได้ยินโทนเสียงที่สวยงามมากเลย”
“…..โทนเสียง?”
“ถูกต้อง โทนเสียง ถ้ายกตัวอย่าง คงเป็นเครื่องดนตรีรึป่าวนะ? ถึงจะปล่อยเสียงออกมาด้วยตัวเองไม่ได้ก็เถอะ แต่ถ้ามีผู้เล่นอยู่ด้วยก็จะสามารถบรรเลงเพลงที่สุดยอดออกมาได้? ใกล้เคียงอย่างนั้นแหละ…..และฉันก็เป็นผู้เล่นของเธอ และตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบเสียงเครื่องดนตรีอย่างเธออยู่”
เธอพูดแล้วก็จิ้มมาที่แก้มของผม
จิ้มไปมา ด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา เหมือนเด็กที่สนุกกับการหยอกล้อ
เพราะอย่างนั้น ก็อยากจะจับมากขึ้น อยากคุยด้วยกัน มากขึ้นมากขึ้น จะรู้จักกับนากายะมะคุง อยากจะสนิทกัน….ดังนั้น เลยเป็นเพื่อนกัน สำหรับฉันแล้ว มีแค่เธอที่เป็นคนพิเศษ ตรงส่วนนั้น ทำความเข้าใจไว้ด้วยนะ?”
อย่างงี้เอง เพราะแบบนั้นถึงทำให้ระยะห่างของเธอใกล้ขนาดนั้น
ถึงจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ……แต่ชิโมสึกิดูเหมือนจะกำลังสนใจผมอยู่อย่างมาก
พูดตามตรง ผมยังไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดมาประมาณครึ่ง ที่สำคัญ ส่วนลึกของ ‘โทนเสียง’ มีแค่ส่วนน้อยที่จับความได้ และก็ทำให้สับสนอยู่ในหัว
แต่ว่า เรื่องนั้นคงไม่ต้องใส่ใจก็ได้
อย่างไงก็ตาม ชิโมสึกินั้นคิดกับผมเป็น’คนพิเศษ’
“อืม เข้าใจแล้ว…..ขอบคุณนะ จะว่าไงดี รู้สึกช่วยได้มากเลยล่ะ”
เพียงแค่นั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก……