นำฟืนใส่เตาถ่าน และก็จุดไฟ
ชิโมสึกินั่งจ้องเปลวไฟที่ระยิบระยับและพริ้วไหวไปมา
“……….”
เธอคิดอะไรของเธออยู่กันแน่นะ?
ผมเพิ่งกลับมาจากไปเอาฟืนมาเพิ่ม แต่ว่าเธอยังไม่สังเกตุเห็นผม
เธอนั่งนิ่งเหมือนกับตอนเรียนคาบพละ จ้องไฟแบบไม่คลาดสายตาเลย
จะว่าไงดี……คิดว่าเหมือนภาพวาดเลยน้า
คนน่ารักไม่ว่าจะทำอะไรก็มีเสน่ห์
แค่นั่งมองไฟเฉยๆ เธอก็ดูมีเสน่ห์จนรู้สึกอยากจะถ่ายภาพเก็บไว้เลย
เปลวไฟที่ระยิบระยับนั้นสะท้อนเส้นผมสีขาวของเธอ ออกมาเป็นแสงอ่อนๆ
แก้มที่แดงกว่าปกติเองก็ น่ารักเหมือนกัน
นี่มัน อาจจะเป็นบุคคลที่ถูกเลือกก็ได้
ชิโมสึกิเป็นผู้หญิงที่ทำให้พระเอกตกหลุมตั้งแต่แรกพบ ไม่มีทางที่จะไม่มีเสน่ห์อยู่แล้ว
“…….คุณม้าที่พลาดโดนไฟเผานั้นร้อง’ฮิฮี้’ออกมาล่ะ ทั้งๆที่มีแค่ไฟ(ฮิ)!!……….อุฟุฟุ”
แต่สิ่งที่เธอคิดนั้น ค่อนข้างจะดูเป็นเด็กบ้าไปหน่อย
อย่าคิดเรื่องไร้สาระตอนที่ทำหน้านิ่งๆแบบนั้นได้มั้ย ผมที่เผลอโดนดึงดูรู้สึกอายขึ้นมา
เอาล่ะ ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน
“……ชิโมสึกิ กลับมาแล้วนะ”
ทำเป็นว่าเพิ่งมาถึงและก็วางฟืนที่ถือมาลง
ชิโมสึกิเติมฟืนลงไปเพิ่ม และมองมาที่ผม
“นากายะมะคุง ถึงจะกระทันหันไปหน่อย แต่ขอพูดแก๊กตลกได้มั้ย อย่างนี้นะอย่างนี้นะ อะแฮ่ม……. ‘คุณม้าที่พลาดโดนไฟเผานั้นร้อง’ฮิฮี้’ออกมาล่ะ ทั้งๆที่มีแค่ไฟ(ฮิ)!!’ อุฟุฟุ ตลกจังเลยนะ ความอัจฉริยะด้านตลกของตัวเองนี่น่ากลัวจริงๆ……..!”
เธอคงจะมั่นใจในผลงานน่าดูเลยทีเดียว
เธอทำหน้ายิ้มอย่างภูมิใจมากเลยทีเดียว
“……..อะ เอ่อ”
พูดตามตรง ไม่รู้จะรีแอคชั่นอย่างไงเลย
เมื่อกี้ก็ได้ยินแล้วด้วย แก๊กมันไม่ตลกเลย จนทำให้หน้าชาไปเลย แต่ว่าก็คิดอยู่ว่าควรจะหัวเราะให้เธอหรือป่าว จนสุดท้ายก็จบลงด้วยท่าทางที่ไม่ชัดเจน
“อะ อาเระ? ไม่ตลกหรอ? หรือว่า นากายะมะคุงจะไม่เข้าใจแก๊กหรอ? คือว่านะ เสียงร้องของคุณม้าเนี่ยคือ’ฮิฮี้’ใช่มั้ยล่ะ? และก็เหมือนคำว่า’ไฟ’ล่ะ จากนั้น คุณม้าที่พลาดโดนไฟเผาก็ต้องรู้สึกอยากกรีดร้องออกมาใช่มั้ยล่ะ? และนั่นก็คือคำว่า’เสียงร้อง’ไงล่ะ”
(มันเป็นการเล่นคำน่ะครับอย่าพยายามไปทำความเข้าใจเลย คนแปลก็งง55 ประมาณว่า เสียงม้าร้องคือひひーん ไปพ้องกับคำว่าไฟคือひ ม้าก็เลยอยากจะร้องออกมาคือ泣くมันเป็นเสียงเดียวกับ鳴くที่แปลว่าเสียงร้องของสัตว์พอดี อะไรทำนองนี้ละครับ)
ถึงจะรู้สึกผิดที่ต้องให้เธอตั้งใจอธิบายแบบนี้ แต่ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้น
นี่มัน อย่างนั้นเองสินะ…..ควรจะพูดออกไปตามตรงจะดีกว่า
ถึงจะไม่อยากขัดใจชิโมสึกิเท่าไร แต่ถ้าเป็นเพื่อนกัน ไม่ก็ต้องไปว่าไม่เลยใช่มั้ยล่ะ
ด้วยเหตุนั้นเอง ผมเลยพูดไปอย่างชัดเจน
“ขะ ขอโทษนะ…….ไม่ตลกเลย”
“…….อึก~!!!”
จากนั้น ชิโมสึกิก็ลุกขึ้น แก้มป่องปุดปุดขึ้นมาทันที ทำหน้าดูเหมือนปลาปักเป้าเลย
“บ้าบ้าบ้า นากายะมะคุงที่ไม่เข้าใจมุกตลกของฉัน ไม่มีเซนส์เอาซะเลย มันตลกถึงขั้นที่ถ้าโปรมาได้ยินต้องขำกลิ้งแท้ๆ นากายะมะคุงนี่ล่ะก็ ใช้ไม่ได้เลยนะ……อุฟุฟุ”
ถึงจะดูไม่พอใจ แต่เธอก็ดูสนุกอย่างน่าประหลาดใจ
ว่าไปนั่น นะ? ทะเลาะกับเพื่อนแบบนี้ก็เป็นความฝันเหมือนกันล่ะ….. อยู่ในท๊อป200ของลิสต์สิ่งที่อยากทำกับเพื่อนเลยนะ? อีกอย่าง หลังจากทะเลาะกับเพื่อนแล้วก็จะสนิทกันมากขึ้นใช่มั้ยล่ะ? ไชโย สนิทกับนากายะมะคุงมากขึ้นแล้ว♪”
อืーม……จะบอกว่าทะเลาะ มันดูเหมือนหยอกล้อกันเล่นๆมากกว่านะ แต่ว่าช่างเถอะถ้าเธอบอกว่าทะเลาะเอาเป็นทะเลาะก็ได้
เอาเป็นอย่างนี้ละกัน
“……อะ อาเระ? ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ? หรือว่า จะคิดว่าว่าโกรธอยู่จริงๆ? ละ ล่อเล่นนะ นากายะมะคุง……โอ๋โอ๋ ฉันไม่ได้โกรธอยู่หรอกนะ ไม่ต้องกลัวไปหรอก เด็กดีเด็กดี”
……แล้วก็ ระยะห่างยังคงใกล้ชิดกันเหมือนเดิม
อีกอย่าง ผมเพิ่งจะรู้สึกตัว แต่พักนี้นั้นชิโมสึกิเริ่มจะมีแตะเนื้อต้องตัวกันแล้ว
สกินชิพละมั้ง……ตอนนี้เองเธอก็ทำท่าจะลูบหัวผมเหมือนกับพี่สาว แต่เพราะความเตี้ยของเธอทำให้ดูเหมือนจะยื่นมือขึ้นไปที่หัวผมไม่ได้ เลยกลายเป็นลูบหลังแทน
มีอะไรอยากจะพูดหลายอย่างเลย
แต่ว่า เพราะทุกการกระทำของเธอมันน่ารักไปหมด ทำให้ผมเขินจนสุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก
“มะ ไม่ใช่ว่ากังวลอยู่ซักหน่อย……”
ผมตอบไปได้แค่นั้น แต่ว่าชิโมสึกิยิ้มอย่างซุกซน และครั้งนี้ก็เอานิ้วจิ้มแก้มผม
“อาเร๊ー? แต่ว่า หน้าแดงอยู่นะ อุฟุฟุ หรือว่าจะเขินอยู่หรอ? พอถูกพี่สาวลูบก็แดงกร่ำเลยสินะ? อาระอาระ นากายะมะคุงก็มีส่วนที่น่ารักเหมือนกันสินะ……อยากจะแกล้งอีกขึ้นมาเลย”
นั่นน่ะขอเถอะนะ
ในเวลาแบบนี้ ผมไม่ชินกับคนน่ารักเกินคาดแบบชิโมสึกิเลย พอถูกคนแบบเธอแกล้งเอา ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเขิน
“ดะ ได้โปรด ช่วยเบามือหน่อยเถอะ”
พอผมยกมือสองข้างยอมแพ้ ชิโมสึกิก็ยิ้มร่าเริง
ผมหลงให้กับ รอยยิ้มที่ทำให้คนที่มองมีความสุขนั่นอีกแล้ว
“เอะเฮะเฮะ ~ “
ผมไม่เคยพบเจอคนที่น่ารักแลบนี้มาก่อนเลย
ราวกับกว่า เป็นตัวตนที่ถูกเติมเต็มไปด้วย’ความน่ารัก’…….