ขอโทษทุกคนด้วยนะที่ตอนก่อนหน้านี้แปลแบบเมาๆไป เดี๋ยวจะมาแก้อย่างแน่นอน:)))
—21.30 น. ผมกลับมาจากการทำงานพาร์ตไทม์ และยืนอยู่หน้าห้อง 707 ซึ่งเป็นห้องของผมเอง
… วันนี้ไม่เหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา แต่วันนี้มันกลับรู้สึกประหม่ามากกว่าปกติ!
ไม่เป็นไรๆ…ผ่อนคลายเข้าไว้…
ทำตัวตามสบายจะดีที่สุด ทำตัวใหม่เหมือนปกติในทุกๆวัน..
ผมกลืนน้ำลายแล้วก็กดอินเตอร์คอม ทันใดนั้นเองก็มีเสียงที่น่ารักของริโกะตอบกลับมาพร้อมกับประตูที่เปิดออก
“ยินดีค้อนรับกลับมาค่ะคุณมินาโตะ❤️”
เช่นเคย..เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วเอื้อมมือมาหยิบกระเป๋าของผม
…แต่ว่ามันต้องไม่ใช่วันนี้สิ..
ผมไม่สามารถให้กระเป๋าใบนี้กับเธอได้
“อ่าา…ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจะเก็บมันเอง..แค่นี้สบายมาก…เอ่อ..ผมหมายความว่าต่อจากนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องช่วยถือกระเป๋าของผมแล้วนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง!”
เมื่อผมบอกเธอด้วยคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจจะคิด ริโกะเธอมองมาที่ผมด้วยแววตาที่ดูผิดหวังเล็กน้อย
“..อ๊ะ..ฉันขอโทษค่ะ!…ฉันคิดว่าคุณมีความสุขที่ฉันคอยถือกระเป๋าให้..”
“..เดี๋ยวก่อน!!..ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ….ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบ วันนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ..”
เดี๋ยว..ผมไม่อยากเห็นเธอที่มีใบหน้าหดหู่เช่นนี้ มันรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าที่จะทนดูได้…
“….”
“ไม่เป็นไรนะ…ว่าแต่นี่ช่วยถืออันนี้ให้ผมหน่อยได้มั้ย”
เมื่อมีเด็กผู้หญิงที่ใกล้จะร้องไห้แสดงว่ามันเป็นสัญญาณของความสิ้นหวังที่ผู้ชายจะต้องจัดการกับเรื่องดังกล่าวด้วยการทำอะไรสักอย่าง ในช่วงเวลานั้น
ริโกะ เธอไม่ได้พูดตำหนิผมแต่อย่างใด เธอส่ายหัวอย่างจริงจังแล้วพูดว่า”ฉันขอโทษค่ะ ที่ทำให้คุณไม่สบายใจ”
ผมจำได้ว่าริโกะเป็นห่วงผมแค่ไหน และมันก็อดไม่ที่จะรู้สึกเขินออกมา แต่ผมกลับทำเรื่องไม่เป็นเรื่องและพูดจาทำร้ายจิตใจเธอออกไป..
เรื่องสิ่งของในกระเป๋าเอาไว้ก่อน..สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือพูดขอโทษเธอ..
” เอ่อ..คุณริโกะ..ผมขอโทษ..ผมเสียใจจริงๆ ขอแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น..”
“…อึม..ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณต้องเป็นกังวล”
ริโกะตอบพร้อมกับยิ้มด้วยสีหน้าเฝื่อนๆด้วยความที่ไม่รู้จะทำยังไงดีเลยเผลอพูดสิ่งที่ตัวเองไม่คิดจะพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
“แต่ว่า..ต่อจากนี้ไปได้โปรด ช่วยถือกระเป๋าของผมตลอดไปด้วยนะครับ….”
พอนึกได้อีกทีผมก้มหน้าลงพร้อมกับบ่นในใจกับตัวเองว่า*นี่ฉันพูดอะไรที่มันน่าอายลงไปเนี่ยดันตามอารมณ์ไปซะได้!!* ผมรู้สึกเสียใจกับตัวเองจริงๆ…
“ตลอดไป…?”
อ่า…ผมพูดอะไรที่ดูไม่เข้าท่าซะแล้ว…
ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความแปลกใจ หน้าของเธอเริ่มค่อยๆเปลี่บนเป็นแดงจนไปถึงใบหูและเธอกก็ใช้มือทั้งสองข้างปิดปาก..
ผมไม่สามารถบอกได้ว่าปฏิกิริยาของเธอตอนนี้หมายความว่ายังไง
“..คุณพูดจริงๆเหรอคะ…”
ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เลย แต่ผมรู้ได้เลยว่าควรจะตอบว่ายังไงให้เหมาะสมที่สุด..
“อะ..อึมม ผมขอโทษนะที่งี่เง่าเกินไป..และขอโทษที่ทำให้คุณริโกะต้องรู้สึกไม่ดี..”
“ไม่เลยค่ะ..”
ผมอยากจะขอบคุณเธอที่แสดงสิ่งดีๆให้เห็นตลอดมา แต่นี่!! ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดแบบนั้น..
“..คุณอยากถือกระเป๋าให้ผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันอยากจะดูแลคุณมินาโตะที่เหนื่อยจากการทำงานพาร์ทไทม์ นอกจากนี้ยังเป็นหน้าที่ของภรรยาทที่ต้องคอยดูแลเรื่องนี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมีความสุขเสมอเวลาที่ได้ทำอย่างนั้นค่ะ”
ริโกะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงใจ…
“คุณริโกะอยากทำหน้าที่ภรรยามากขนาดนั้นเลยเหรอ…”
เด็กชายที่อยากเป็นนักบินมาโดยตลอดต้องรู้สึกตื้นตันใจในตอนที่เขานั่งในห้องนักบินตอนโต หรือเด็กผู้หญิงที่อยากเป็นครูมาโดยตลอดจะรู้สึกเบิกบานเมื่อเธอยืนอยู่ในห้องเรียน ผมสงสัยว่ามันเป็นอารมณ์แบบเดียวกันรึเปล่าผมไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังมีผู้หญิงที่อยากเป็น “ภรรยา” แบบริโกะอยู่หรือเปล่า แต่นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ผมนึกออก
“เอ่อ…เรื่องภรรยาอะไรนั่นเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ”
“เอ๋…”
“ป..เปล่าค่ะ..ไม่อะไรต้องคิดมากว่าแต่ทำงานวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ?คนเยอะรึเปล่า..”
นั่นรู้ได้เลยว่าตอนนี้เธอกำลังเบี่ยงเบนหัวข้อการสนทนาของพวกเราอยู่..แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากต้องคุยไปตามสถานการณ์
“เอ่อ…รู้สึกว่าคนจะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นะครับ..แต่ว่าดูเหมือนวันสตรีที่จะมาถึงนี้จะเริ่มมีคนเข้ามาเยอะขึ้นเหมือนทุกทีแล้วล่ะ..”
การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบนี้ผ่อนคลายกว่าตอนที่พูดถึงสิ่งที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้รู้สึกประหม่าเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้เลย ถึงแม้เรื่องราวของผมจะน่าเบื่อก็ตามแต่มันก็ดีกว่าวิธีอื่น ริโกะก็ฟังผมอย่างตั้งใจและยิ้มอย่างมีความสุขเสมอ…
ผมลืมเรื่องกระเป๋าสนิทเลย….
“ทำไมคุณมินาโตะถือกระเป๋าด้วยท่าทางแบบนั้นละคะ?ทำไมไม่ถือดีๆ..”
“เอ่อ….คือว่าผมถนัดแบบนี้น่ะ”
“อ่อ..อย่างนั้นหรอกเหรอคะ…”
ทำไมผมถึงยืนกรานที่จะถือมันอย่างงั้นล่ะ ขณะมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนอาหารค่ำฉผมเปิดดูกระเป๋าและตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ในนั้นอย่างรวดเร็ว…
“..ค่อยยังชั่วที่มันยังไม่เป็นไร”
พลางพึมพำกับตัวเอง ผมหยิบเค้กสตรอว์เบอรี่ออกมาด้วยความระมัดระวังอย่างมาก ซึ่งผมไปซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อระหว่างทางกลับบ้าน
..อยากจะขอบคุณริโกะสำหรับสิ่งที่เธอทำเพื่อผม แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ….เมื่อเวลาผ่านไปผมก็ไม่สามารถทำอะไรตอบแทนเธอได้นอกจากกังวลกับมัน
ท้ายที่สุดผมรู้สึกไม่กล้าเวลาที่ต้องพยายามให้ของขวัญเธอคืนบ้าง ไม่รู้ว่าริโกะเธอชอบอะไร วิธีที่ง่ายที่สุดคือการเข้าไปถามตรงๆว่าเธอชอบอะไร แต่นั่น..ไม่ใช่นิสัยของผมซะด้วยสิ..
ไม่มีอะไรยากไปกว่าการถามผู้หญิงในสิ่งที่เธอชอบ ผมกังวลว่าการที่ถามคำถามแบบนี้อาจทำให้เธอสงสัย
ท้ายที่สุดผมก็นึกถึงช่วงเวลาที่ริโกะซื้อเค้กให้ผมเพื่อเฉลิมฉลองวันแรกที่ผมเรียกชื่อของเธอ ในตอนนั้นดูเหมือนว่าเธอจะชอบกินเค้กเป็นอย่างมาก
ไม่แน่ใช่ว่าเธอชอบรึเปล่า แต่ที่รู้ๆคือเธอไม่ได้เกลียดมันแน่นอน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจซื้อเค้กมา
ผมมองไปที่กล่องบรรจุเค้กและรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่เพราะมันดูธรรมดามากจนไม่ดูพิเศษอะไรเลย..
เค้กที่ผมซื้อมาโดยหวังว่าจะทำให้เธอมีความสุข ตอนนี้กลับดูน่าผิดหวังอย่างไม่น่าเชื่อ
…ปกติแล้วเค้กควรจะซื้อที่ร้านเค้กใช่มั้ย…
แม้แต่ริโกะเองที่ซื้อมาให้ผมยังถูกบรรจุไว้ในกล่องสีขาวที่ดูสวยงามเหมาะกับการซื้อเป็นของวัญให้ใครบางคน..
ทำไมผมถึงไม่สังเกตุเห็นรายละเอียดเพียงเล็อกน้อยแบบนี้
ในชีวิตนี้ผมไม่เคยซื้อเค้กให้ใครเลย…ไม่มีทางที่ผมจะมอบสิ่งนี้ให้เธอได้เพื่อเป็นการขอบคุณ
ใครก็ตามที่ได้รับเค้กแบบนี้คงจะมีปฏิกิริยาตอบรับได้ยาก
ไม่มีประโยชน์แล้ว…ผมจะต้องกินมันให้หมดเองในระหว่างที่ริโกะกำลังอาบน้ำอยู่ ว่าแต่..ทำไมผมถึงซื้อของพวกนี้มาเป็นแพ็คคู่กันนะ…
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรเลยจู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
แย่ล่ะ…ริโกะ!! จะทำยังไงดีละทีนี้..
===
ขอตัดจบแบบนี้ไว้ก่อนเดี๋ยวขอไปแก้ตอนก่อนหน้านี้ก่อนนะ55555