ชื่อเรื่อง:Konbini gōtō kara tasuketa jimi ten’in ga, onaji kurasu no ubude kawaii gyarudatta
ตอนที่ 9
“เหนื่อยสุดๆ”
หลังจากเล่นแอร์ฮอกกี้เสร็จ จนเหงื่อไหลอาบผมก็ไปนั่งพักในจุดพักผ่อน ช่วงนี้รู้สึกเหมือนเคลื่อนไหวเยอะเลยแฮะ
“แหม เหงือออกมาหน่อยๆเลยเน๊าะ”
โฮชิมิยะที่ไปซื้อเครื่องดื่มกลับมาแล้ว
เสียงที่ออกมานั้นเห็นได้เลยว่าสดชื่นแถมอิ่มใจแบบสุดๆ
“นี่ เครื่องดื่ม”
“ขอบใจ—นะ!”
พอรับถุงกระดาษที่ใส่น้ำสตรอว์เบอร์รี่แล้วเงยหน้าขึ้น ก็ได้รับรู้
ว่าเสื้อของโฮชิมิยะ—-ถูกเหงื่อทำให้มองผ่านได้อยู่!
เค้าโครงของชั้นในสีขาวมองเห็นบนเสื้อได้อย่างชัดเจน
“หืม มีอะไรเหรอคุโรมิเนะคุง?”
“โฮชิมิยะ…เหงื่อออกมาเต็มเลย! ข้างล่างเห็นทะลุแล้ว!”
“เอ๊ะ….ว้ ว้ายยย!”
ขณะที่กรี๊ดก็กอดร่างกายของตัวเองแล้วก็ขดตัวลง
จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้เห็นแบบชัดๆอยู่หรอกนะแต่ว่าโฮชิมิยะเหงื่อออกท่วมเลย
ผมหน้าม้าก็ติดกันส่วนเสื้อก็ซับเหงื่อเหมือนกับเน้นส่วนที่ไม่สม่ำเสมอของร่างกายที่ยื่นออกมา นี่มันโคตรจะสุด
ถ้าให้เดินไปรอบๆเกมเซ็นเตอร์ด้วยสภาพนี้คงจะอายแหง
ผมมองดูรอบๆเพื่อหาที่หลบ
“โฮชิมิยะ ตรงนู้นมีตู้ถ่ายรูปอยู่แหนะ”
“แล้วมันทำไมอะ!? เอ๊ะ รึจะถ่ายรูปเค้าตอนนี้สินะ!? เลวที่สุด!”
“ไม่ใช่เฟ้ย ถ้าเป็นตู้ถ่ายรูปก็เหมือนเป็นห้องลับๆแล้วก็ไม่เป็นที่สังเกตุใช่มั้ยละ? ไปหลบจนเหงื่อแห้งเถอะ”
“…ย อย่างงั้นเองสิเน๊าะ ก็พูดมาก่อนสิ”
“นี่ความผิดฉันเหรอ?”
แล้วก็ย้ายไปที่ตู้ถ่ายรูปพร้อมด้วยความรู้สึกซับซ้อน
โชคดีที่ไม่มีใครเห็นสักคน
ดูเหมือนว่ามุมตู้ถ่ายรูปจะไม่เป็นที่นิยม ไม่มีคนอยู่เลยด้วย
ถ้างั้นก็คงไม่ต้องห่วงเรื่องรอต่อแถวแล้วละมั้ง
ผลักม่านแล้วก็เข้าไปข้างใน แคบกว่าที่คิดไว้ซะอีก
เลือกกล่องที่ดูน่าจะใหญ่ที่สุดแต่ว่าถ้ายืดแขนไปอีกหน่อยก็จะโดนโฮชิมิยะแล้ว
เอาเถอะ เข้ากันสองคนก็คงแบบนี้แหละ
“……..”
โฮชิมิยะหลบไปที่มุมแบบเงียบๆ
“มีอะไรเหรอ?”
“เหม็นเหงื่อ..ใช่มั้ยละ?”
“ไม่เลย ได้กลิ่นที่สมกับเป็นผู้หญิงซะมากกว่า”
“ร โรคจิต!”
“……”
เห็นได้ชัดเลยว่าทำพลาดในการคล้อยตาม
ไม่ว่าจะดีหรือแย่เหมือนว่าการรู้แค่การคบค้าสมาคมกับเพื่อนจะส่งผลร้ายออกมาซะแล้ว
กับผู้หญิงธรรมดาๆแล้วต้องคบค้าการด้วยความรู้สึกแบบใหนดีกันละเนี้ย
ถ้าเกิดหยอกเล่นได้ล่ะก็ต้องกลบเกลื่อนไปตามความเหมาะสม
ผมอาจจะสื่อสารได้แย่กว่าคิดเอาไว้ซะอีก หรือไม่ก็เป็นพวกกินพืชไม่คุ้นกับผู้หญิง
“……..”
“……..”
พูดอะไรไม่ได้เลยมีเพียงแค่ความเงียบงัน
เสียงBGMของเกมเซ็นเตอร์ที่ได้ยินมาจากข้างนอกมันคือทุกๆอย่างของที่นี่
ผมกับโฮชิมะหันหลังให้กันไม่แม้แต่จะพูดจากัน
อาจจะเป็นเพราะห้องปิดเลยทำให้ประหม่ามากขึ้นไปอีก
….จะว่าไป ผมไม่จำเป็นต้องเข้าก็ได้นิ?
ผมรอข้างนอกก็ได้ไม่ใช่รึไง เผลอปล่อยเลยตามเลยเข้ามาด้วยกันซธได้
“ฉัน ออกไปข้างนอกนะ”
“ทำไมละ?”
“ทำไมละเนี่ย…”
“มัน…เหงาอะ เพราะงั้น อยู่…ด้วยกันนะ”
“……”
แล้วผมก็หยุดณ ที่แห่งนี้ ต้องทำยังไงดีกันครับเนี่ย?
เอาตรงๆเลยคืออยากหนีแต่ว่าแผ่นหลังของโฮชิมิยะที่โชกเหงื่อดูเหงาเลยไม่มีทางเลิกนอกจากต้องอยู่
…..ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเลยก็ได้นิ
ตอนผมคุยกับเพื่อนสมัยเด็กก็เหมือนจะไม่ได้คิดอะไรตอนที่คุยกับโฮชิมิยะก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มันต่อกันไปเรื่อยๆก็ได้นี่นา
ถ้าเกิดว่าอยู่ด้วยกันแล้วมีแค่ความเงียบนั่นแหละคือบรรยากาศแบบธรรมดาๆ
แล้วในตอนที่อยากพูดก็พูดไป
“นี่โฮชิมิยะ”
“อะไรเหรอ?”
พวกเราคุยกันโดยที่กันหลังเข้าหากัน
ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่ว่าแบบนี้แหละดีแล้ว
“วันนี้น่ะขอบใจนะ รู้สึกว่าไม่ได้..ส่งเสียงดังๆมานานเลย”
“…..”
“ขอบใจนะ สดชื่นสุดๆเลยล่ะ”
เพียงแค่ค่อยๆดึงความรู้สึกจริงๆออกมา
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ที่ผมไม่ได้พูดออกมาด้วยอารมณ์ความรู้สึก
ตอนที่อยู่กับเพื่อนสมัยเด็กรู้สึกว่าผมไม่ได้ส่งเสียงดังๆออกมาเลย
“ทางเค้ามากกว่า…ขอบคุณนะ สนุกมากๆเลย”
“จริงเหรอ?”
“จริงสิ กับเพื่อนๆปกติไม่ได้ปลดปล่อยขนาดนี้หรอกนะ”
“งั้นเหรอ”
“งั้นแหละ”
แล้วความเงียบก็เข้ามาเยือนอีกครั้ง
แต่ก็ไม่ได้เกลียดความเงียบนี้อะไร
◯
“อืม~~ วันนี้สนุกจังเลยเน๊าะ~~”
“นั่นสินะ”
ในขณะที่พยักหน้ารับคำของโฮชิมิยะก็บิดขี้เกียจ
พวกเราเดินข้างกันในเมืองที่ถูกย้อมด้วยสีส้มของอาทิตย์อัสดง
เสียงรถเสียงของผู้คนตามทางเป็นเสียงกลุ่มเดียวที่ได้ยินจากรอบๆข้าง
ที่ถนนมีรถต่อแถวรอไฟจราจรกันเป็นแนว
“ได้ถ่ายรูปกับคุโรมิเนะคุงที่ตู้ถ่ายด้วยเน๊าะ”
“นั่นสินะ มีความหมายอะไรลึกซึ้งด้วยเหรอ?”
“ไม่มีหรอก ก็แค่จะพูดอะไรสักอย่างเอง”
โฮชิมิยะพูดอย่างซุกซนพลางจ้องไปที่รูปขณะที่ชูไว้เหนือหัว
หลังจากนั้นเราได้ถ่ายรูปกันตอนที่เหงื่อแห้งแล้ว
เป็นความลับที่ทำเอาใจเต้นตึกตักอยู่นิดหน่อยเลย
“ฮ่ะฮ่ะ คุโรมิเนะคุงเนี่ยไม่คุ้นกับการถ่ายรูปใช่มะ ยิ้มแหย่ๆเชียว ฮ่ะฮ่ะ”
“ช่วยไม่ได้นี่นา ก็ไม่ค่อยมีเรื่องให้ยิ้มเท่าไหร่ด้วย…”
“ถ้างั้น…จากนี้ก็ต้องยิ้มเยอะๆเลยนะ”
“——-”
โดยที่ไม่ทันรู้ตัว หัวใจมันก็เต้นโครมครามโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวแล้ว
รอยยิ้มของโฮชิมิยะที่ถูกสาดส่องไปด้วยแสงอาทิตย์อัสดงช่างดูงดงามเสียจริง
จากนั้น ในอึดใจต่อมา—
ก็มีเสียงแตรดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ปี๊บบบบ!
หัวใจแทบจะวาย ทำเอาความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาในสมองเลย
ต่อหน้าต่อตาครอบรัวถูกรถเพียงคันเดียว—
พอผมรู้สึกตัวก็กำลังกอดโฮชิมิยะแน่นราวกับว่าปกป้องจากรถที่อยู่ข้างหลัง
“คุ คุโรมิเนะคุง!?”
“……”
“คุโรมิเนะคุง! ป ปป เป็นอะไรไปเหรอ!?”
“….เหะ?”
ความกลัวที่หวาดหวั่นไว้ก็ไม่มา
“ค คือว่า…..แบบนี้น่ะยังเร็วเกินไปนะ! ต้องรู้จักกันให้ดีกว่านี้อีกหน่อย…”
“….รถละ?”
“ใช่รถ…รถ?”
พอสบตากันใกล้ๆ ก็ทำตาปริบๆ ….เอ๊ะ?
“ไม่สิเมื่อกี้ เสียงแตรมัน…”
ในขนะที่พุดแบบนั้นก็มองดูด้านหลัง ก็มีทิวทัศน์ของเมืองกำลังขยับขยายอยู่
ไม่มีปัญหาบนถนนอยู่เลยและรถจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังส่งเสียงดังอยู่
“อ อ่อ เสียงแตรเมื่อกี้สินะ มีรถที่ไม่ยอมขยับทั้งที่ไฟเขียวแล้วเหมือนว่าคันหลังจะบีบแตรใส่น่ะ”
“ป เป็นงั้นเองหรอกเหรอ…”
เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นความเข้าใจผิดของผมเอง
“แล้วก็นะคุโรมิเนะคุง……คงพอได้แล้วแหละ…..”
โฮชิมิยะมีสีหน้าแดงสดสะท้อนอยู่ในการมองเห็นของผมทั้งหมด
ยังกอดอยู่เลยเฮ้ย!
“ท โทษที!”
แล้วก็รีบปล่อยในทันที นี่มันทำไปจนได้~
ผมทำท่าเตรียมก้มหัวกราบขอขมา
“ขอโทษจริงๆนะ! เพราะเข้าใจผิดไปว่ามีรถพุ่งมาจากข้างหลังน่ะ…ขอโทษจริงๆ!”
“ก ก็คือ พยายามจะปกป้องเค้าสินะ?”
“อือ ก็นะ”
ผลกระทบที่ตามมาก็คือกลายเป็นโรคจิตที่จู่ๆก็เข้าไปกอดสินะ!
นี่มันแย่ยิ่งกว่าสตอล์กเกอร์ซะอีก
“ง งั้นเหรอ….”
“โฮชิมิยะ?”
“……..”
โฮชิมิยะเบือนหน้าหนีแล้วก็เริ่มเดินเร็วขึ้น
–อ่า คงจะไม่ชอบแหละ พลาดแล้วสิ
จะอึดอัดเอานา แถมยังต้องกลับไปบ้านเดียวกันด้วย
“………”
ผมเดินรักษาระยะห่างตามหลังโฮชิมิยะอยู่ประมาณ5ก้าว
แน่นอนว่าไม่ได้พูดอะไรกันเลย
แล้วโฮชิมิยะก็ไม่ได้หันกลับมาด้วย
นี่คือการนิ่งเงียบของคนไม่ได้เรื่อง….
ทั้งที่เป็นวันที่สนุกแท้ๆแต่สุดท้ายผมก็พังมันจนได้
◇
“หวา….ทำไงดีอะ มองหน้าของคุโรมิเนะคุงไม่ได้เลยอ่า…”
ตอนเย็นหลังกินอาหารเย็นเสร็จ
เค้าก็เปล่งเสียงออกมาตอนที่แช่น้ำอยู่
ที่หน้าร้อนๆคงไม่ใช่เพราะอาบน้ำแต่คงเป็นเพราะอารมณ์ความรู้สึกแน่ๆ
“โดนกอดแบบเต็มที่เลยน้า”
จำเรื่องหลังจากที่เสียงแตรดังได้แม่นเลย
จำควมรู้สึกจากการถูกคุโรมิเนะกอด การหายใจ การเต้นของหัวใจได้แม่นเลย
“คุโรมิเนะคุง….คงจะเอาร่างกายมาปกป้องสินะ แถมยังแบบไม่รู้ตัวด้วย….”
ถึงจะเป็นการเข้าใจผิด แต่การที่เอาชีวิตไปเสียงเพื่อปกป้องมันก็ไม่เปลี่ยน
พอคิดแบบนั้น ก็รู้สึกได้ว่าหัวใจมันเต้นแรงขึ้น
ไอ้ความรู้สึกแปลกๆนี้รุ้สึกว่จะมีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
จริงด้วย ตอนที่ถูกช่วยจากการถูกปล้นร้านสะดวกซื้อ…….
แค่ไม่กี่วัน คุโรมิเนะก็ให้เห็นใบหน้าที่หลากหลาย
ใบหน้าที่ดุสนุกสนาน ใบหน้าที่เจ็บปวด ใบหน้าที่หมดอาลัยตายอยากและใบหน้าที่อ่อนโยนที่แสดงออกมาให้เค้าเป็นบางครั้ง…
“ใจเต้นตึกตักสุดๆเลย….”
วางมือลงบนอกของตัวเองเพื่อตรวจการเต้นของหัวใจ
เพราะซ่อนความงุนงงของความรู้สึกครั้งแรกไม่ได้เค้าเลยแช่น้ำร้อนลงไปจนถึงปาก
“บุ๋งบุ๋ง บุ๋งบุ๋ง”
ในขณะที่พ้นลมหายใจออกแล้วดูผิวน้ำที่ผุดออกมา ก็สงสัยว่าไอ้ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน…..แล้วเค้าก็เวียนหัว
◇
นี่ก็คือ—เหตุการณ์ก่อนที่เสียงแตรจะดังขึ้น
“เอ๊ะ ริคุจัง?”
ในตอนที่ฉันไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนในเมืองก็มองไปเห็นเพื่อนสมัยเด็กคนสำคัญแล้วก็หยุดเท้า
ถึงจะรีบเข้าไปหาก็เถอะแต่พอเห็นอายานะจังที่อยู่ข้างๆก็เลยหยุด
“…วันนี้ ริคุจังมีธุระอยู่งั้นสินะ? แล้วทำไม?”
ดูยังไงก็ไม่ใช่บรรยากาศที่ทั้งสองคนบังเอิญเจอกันเลย
ทั้งคู่เดินข้างกันพร้อมด้วยแสงอาทิตย์อัสดงจนไหล่ใกล้จนแทบจะชนกันเห็นได้ชัดเลยว่าสนิทสนมกัน
และทันทีที่เสียงแตรดังขึ้นริคุจังก็กอดอายานะจัง!!
“——”
เหมือนกับโดนมีดแทงเข้ามาที่กลางอก
“ท ทำไมละ….วันนี้….มาเล่นไม่ได้เพราะมีธระไม่ใช่เหรอ?”
หรือว่าเพราะเที่ยวเล่นกับอายานะจังก็เลยปฏิเสธคำชวนของฉันงั้นเหรอ?
ถ้างั้นเมื่อคืนก่อนก็ด้วย…?
“ริคุจัง…”
ตอนที่ฉันยืนอึ้งอยู่ก็เห็นเพียงแค่หลังเล็กๆของทั้งคู่แล้ว
======จบตอน======
คนหนึ่งสับสนกับความรู้สึกอีกคนก็อึ้งกับภาพที่ได้เห็น
ーーーーーーーーーーーー