นิยาย World domination system WDS Chapter 150 การตัดสินใจตอนที่ 2
WDS Chapter 150 การตัดสินใจตอนที่ 2
ขณะที่เวลาผ่านไป แดนีลก็สังเกตว่ายักษ์ 5 ตนที่อยู่ด้านหน้า จดจ้องมาที่แคสแซนดร้าและผ่านไปที่แผงหน้าจอราวกับกําลังจดจ้องมายังเขาที่อยู่แลนธานอร์
จนถึงตอนนี้ อาราเฟลล์เป็นพันธมิตรที่ยึดมั่นที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาครองราชย์แม้แดนีลจะไม่ใจง่ายมากพอที่จะไว้วางใจพวกเขาอย่างสมบูรณ์แต่เขาก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ไว้วางใจพวกเขา มากกว่าฝ่ายอื่นๆ
ไม่จําเป็นต้องกล่าวถึงแอ็กเซลอเรียนและราชอาณาจักรกาดํา แม้แต่เอลดินอร์ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศของเขามากนัก
สรุปแล้ว ในกรณีที่แย่ที่สุดหากเขาเลือกที่จะไปยืนอยู่ฝ่ายอาราเฟลล์มีโอกาสสู้ที่เขาอาจจะถูกไล่ออกไปแล้วหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น เขาอาจจะสูญเสียความมั่งคั่งทั้งหมดที่เขาอาจจะได้รับจากหลายๆสถานการณ์อย่างไรก็ตามเขาก็จะยังคงรักษาภาพลักษณ์ของการเป็นราชาที่ไม่หันหลังให้กับพันธมิตรเพียงเพื่อเพื่อสมบัติ
ขณะที่เขาตัดสินใจ รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของแดนีล
ตู้ม!
ในพื้นที่โล่ง รถถังเวทมนต์เหมือนที่ลูเธอร์เรียกออกมาก่อนหน้านี้ ปรากฏนบนพื้นที่ข้างๆเหล่ายักษ์
“ไม่ แลนธานอร์ยืนอยู่ข้างราชอาณาจักรอาราเฟลล์”
เห็นเช่นนั้น แคสแซนดร้าก็ไปยืนอยู่ด้านหน้ารถถังเวทมนต์ ซึ่งทําให้เอลฟ์ขมวดคิ้วแน่น
สําหรับอีก 2 คน ที่มาจากแอ็กซ์เลอร์และราชอาณาจักรกาดํามือของพวกเขาขยับไปใกล้ปากขณะที่รายงานสถา นการณ์และรอคําสั่ง
แดนลได้ตัดสินใจแล้วว่า เขาจะยืนข้างพันธมิตรของเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว มันเห็นได้ชัดว่าราชาแห่งแลนธานอร์ผ่อนคลายลงและเขากําลังเฝ้ารอดูสถานการณ์
และในขณะที่เขาทําเช่นนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่ค่อนข้างสําคัญยกเว้นเอลฟ์อีก 2 คนใช้เครื่องประดับเวทมนต์เพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
พวกเขาไม่ได้มีเครื่องประดับเวทมนต์สื่อสารที่แสดงภาพเหมือนกับที่เขามีหรือไม่?
จากโลกเดิม แดนลค่อนข้างคุ้นเคยกับการเห็นเทคโนโลยีเช่นนี้จากในสงครามนี่เป็นเพราะการถ่ายทอดข้อมูลเป็นสิ่งที่สําคัญ
ดังนั้นเขาจึงพยายามจะสร้างเครื่องประดับเวทมนต์ที่ใช้งานเช่นนั้นได้ขึ้นมาซึ่งริปลีย์ได้บอกกับเขาว่าพวกมันมีใช้งานอยู่ในกองกําลังที่เชี่ยวชาญในการสร้างพวกมันเท่านั้น
แน่นอนว่า แดนีลได้พัฒนามันขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือจากระบบ เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ทางทหารเท่านั้นนอกจากนี้พวกมันยังได้รับการออกแบบให้คล้ายกับกองกําลังที่สร้างสร้างพวกมันขึ้นมา
เห็นโอกาสทางธุรกิจ แดนีลเริ่มการวางแผนการในทันทีขณะที่คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่น
ในเวลานั้น ดูเหมือนว่าทั้งสามจะได้รับคําสั่งของพวกเขาแล้ว
“แลนธานอร์พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือ?หากพวกเจ้าเลือกที่จะตัดสินใจเช่นนั้น กองกําลังทั้งสามของพวกเราจะไม่มีทางเลือกนอกจากขับไล่พวกเจ้าออกไปมีพื้นที่สําหรับ 4 ที่เท่านั้นและสําหรับ 5 ที่ มันมากเกินไป”
“ราชาของพวกเราตัดสินใจแล้วไม่ว่าจะออกไปหรือเตรียมพร้อมต่อสู้”
ตุ้ม!
เดิม ยักษ์ 5 ตน จากอาราเฟลยืนนิ่งอย่างสงบราวกับมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าคํากล่าวของเอลฟ์จะข้ามข้อจํากัดบางอย่างของพวกเขา
คฑาขนาดยักษ์ที่อยู่ในมือยักษ์ทั้ง 20 ตนถูกทุบลงกับพื้นในเวลาเดียวกันทําให้เกิดเสียงที่ดังสนั่นจนน่าหวาดกลัว
หลังจากที่ฝนจางลงทุกคนสามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มันทําให้เกิดหลุมลึก 1 ฟุตบนพื้นที่พวกเขาทุบคฑาลง
ในช่วงเวลานี้เอง ที่ทุกคนตระหนักได้ว่าอาวุธเหล่านี้ไม่ได้มีไว้โชวเท่านั้น
จากยักษ์ทั้ง 5 ตน ชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีเขียวคอปกทองก้าวไปข้างหน้าเพื่อยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม
เขาหันไปคํานับให้แคสแซนดร้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ราชอาณาจักรอาราเฟลล์ชื่นชมการสนับสนุนของแลนธา นอร์อย่างไรก็ตามปล่อยให้พวกเราแสดงให้ดูเถิดว่า พวกเราต่อสู้กันอย่างไร”
แดนีลรู้สึกตกตะลึงแต่เขาก็บอกให้แคสแซนดร้าพยักหน้ารับ
ได้ยินเช่นนั้น ราชอาณาจักรทั้งสามก็ดูเหมือนจะตัดสินใจว่ามันถึงเวลาที่จะทําการข่มขู่แล้ว
ด้วยเสียงตูม 3 ครั้งกลุ่ม 3 กลุ่ม ที่ดูเหมือนกับที่ยืนอยู่ข้างผู้บัญชาการอีก 2 คนก็ปรากฏตัวขึ้นในฉับพลันพร้อมกับเครื่องประดับเวทมนต์ในมือและกําลังร่ายคาถา
เห็นภาพดังกล่าวปรากฎขึ้นในแผงหน้าจอทุกคนในห้องสถานการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกันด้วยความตกใจ
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ทหารจากทั้ง 3 กลุ่มเทเลพอร์ตไปที่นั่น หอกที่ทําจากวัสดุที่ดูเหมือนก้อนหินก็งอกออกมาจากพื้นพุ่งตรงไปยังพวกเขา
หอกเหล่านี้ดูราวกับมีชีวิตแต่ตะอันพุ่งไปในอากาศราวกับอสรพิษ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่คอของพวกเอลฟ์และมนุษย์ที่เป็นเป้าหมายของพวกมันซึ่งทําให้พวกเขาไม่กล้าที่จะขยับเคลื่อนไหวใดๆ
ในความเป็นจริง มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาอาศัยพลังของจํานวนและพวกเขาก็ไม่ได้เตรียมรูปแบบป้องกันที่ทรงพลัง อย่างรถถังเวทมนต์ของแลนธานอร์ก่อนที่จะเทเลพอร์ตมาตามคําสั่งของผู้บัญชาการของพวกเขา
ขณะที่เข้ามา พวกเอลฟ์แต่ละคนได้ร่ายคาถาต่างๆอย่างสายฟ้าขนาดใหญ่หรืออุกกาบาตไว้ที่บนหัวของพวกเขาก่อนแล้วเพื่อที่จะโจมตีออกไปได้ทุกเมื่อ
แดนีลตกตะลึงอีกครั้งนี่เป็นเพราะเขาสังเกตเห็นว่าถาคาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะต้องเป็นอย่างน้อยจอมเวทย์ผู้น่า ยกย่องระดับมนุษย์เท่านั้นถึงจะสามารถร่ายได้
ในที่สุด เขาก็เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่มีระเบียบวินัย
เอลฟ์ 20 คนที่ปรากฏตัวขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นจอมเวทย์ผู้น่ายกย่องระดับมนุษย์ทั้งหมด
กล่าวอีกอย่างก็คือจอมเวทย์ผู้น่ายกย่องระดับเอลฟ์
พิจารณาจากความจริงที่ว่า ทั่วทั้งแลนธานอร์มีบุคคลระดับนี้ไม่ถึง 10 คนมันจึงค่อนข้างน่าตกใจที่เอลดินอร์ครอบครองกองกําลังที่เต็มไปด้วยบุคคลระดับนี้
ในความเป็นจริงแล้ว อย่างน้อยก็ในด้านความสามารถทางด้านเวทมนต์ เอลดินอร์สามารถจะเอาชนะราชอาณาจักรอื่นๆได้อย่างง่ายดาย
แอ็กเซลอเลียนตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขามีทหารนักสู้ 100 นายขณะที่มีทหารจอมเวทย์เพียง 10 นายเท่านั้นอย่างไรก็ตามในหมู่พวกเขาก็มีนักสู้ผู้น่ายกย่องระดับมนุษย์ถึง 50 นาย
แม้จะเป็นที่รู้จักกันว่า แอ็กซ์เลอร์เป็นที่รู้จักในนามราชอาณาจักรแห่งนักสู้แต่แดนีลก็ไม่เคยคาดหวังว่าพวกเขาจะมีกองกําลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้
นับทหารในระดับนี้จากทั้งกองกําลังสํารองและกองกําลังที่ยังอยู่สถานที่ที่ค้นพบเหมืองแดนลตระหนักได้ว่าแลนธานอร์ยังคงด้อยกว่าเมื่อเทียบกับพวกเขา
สิ่งเดียวที่ปลอบใจของเขาได้ก็คือไม่มีนักสู้หรือจอมเวทย์ผู้น่ายกย่องจากราชอาณาจักรกาดําพวกเขาดูเหมือนจะเป็นเพียงนักสู้หรือจอมเวทย์ทั่วไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงปัจจัยที่ยังไม่แน่ชัดของสัตว์ร้ายกาดําแล้ว พวกเขายังคงเหนือกว่าแลนธานอร์หากเปรียบเทียบกันในด้านทหารตามลําพัง
“ฝ่าบาทสิ่งพิเศษของกองกําลังของพวกเราก็คือรูปแบบของพวกเราแต่ละราชอาณาจักรล้วนแล้วแต่มีสิ่งพิเศษที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณสําหรับพวกเรามันก็คือรูปแบบรถถังเวทมนต์ซึ่งช่วยให้พวกเราสามารถจะปล่อยพลังที่แทบจะไม่มีกองกําลังใดสามารถจะเปรียบเทียบได้รูปแบบเหล่านี้เป็นเส้นเลือดของราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสาเหตุที่แม้แต่ราชาริชาร์ดก็ไม่ได้พิจารณาที่จะขายพวกมัน เพื่อรับทรัพยากรที่มากขึ้น”
แน่นอน มันสมเหตุสมผลแล้ว
นี่ค่อนข้างจะคล้ายกับประเทศต่างๆในโลกเดิมของเขาที่มีสิ่งพิเศษของกองทัพพวกเขาเองยกตัวอย่างเช่นกองทัพของอินเดียแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและไม่ได้มีอาวุธที่เทียบได้กับประเทศมหาอํานาจอย่างอเมริกาแต่ก็อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาสามารถจะเปรียบเทียบได้ด้วยกําลังพลที่มีมากกว่าอย่างมากของพวกเขา
ในสถานการณ์สงครามใดๆแต่ละประเทศจะใช้ข้อได้เปรียบของพวกเขาให้เป็นประเทศและทําการปิดข้อด้อยของ
พวกเขาด้วยการใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีเพื่อให้ได้รับชัยชนะ
แดนี้ลรู้สึกแปลกประหลาดกับตัวเองขณะที่เขาดูดซับประสบการณ์และความรู้ทั้งหมดเหมือนดั่งฟองน้ํา
อย่างไรก็ตาม เขายังคงสงสัยว่าอาราเฟลจะจบเรื่องที่เลยเถิดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
หากทหารของกองกําลังอื่นๆขยับแม้แต่นิ้วเดียวพวกเขาจะถูกเสียบด้วยหอกหินที่จ่อคอพวกเขาแม้แต่การเทเลพอร์ตก็ไม่สามารถจะทําได้แคสแซนดร้าได้แจ้งต่อเขาว่ามีหอกหินยื่นขึ้นมาจากบนพื้นดินห่อหุ้มเท้าของพวกทหารเอาไว้
กัดฟันของเขาแน่น เอลฟ์สูญเสียความสงบเป็นครั้งแรกและตะโกนออกไปว่า “อาราเฟลล์พวกเจ้าทํามากเกินไปแล้วและแม้ว่าพวกเจ้าจะจัดการกับกองกําลังสํารองที่นี่ได้แต่พวกเราก็ยัง คงมีทหารอีกมากอยู่ที่สถานที่ค้นพบ”
ได้ยินเช่นนั้น ยักษ์ชายในชุดสีเขียวก็เกาจมูกอย่างเฉยชาและกล่าวว่า “โอ?แล้วพวกเจ้าจะทิ้งมดพวกนี้หรือ? หลีกทางหรือลืมเกี่ยวกับทหารเหล่านี้ของพวกเจ้าเลือกมา”
…..
ในเวลานั้น บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่ที่สถานการณ์อาจจะปะทุจนเกิดเป็นสง
มีคน 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งกําลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทํามาจาก
ในขณะที่ผู้ชายจดจ้องไปยังสถานการณ์ด้านล่างผู้หญิงก็เสกก้อนน้ําแข็งขึ้นมาจากอากาศก่อนจะปล่อยให้มันตกลงไปในแก้วที่เธอถือไว้ในมือ
จิบน้ําในแก้ว การแสดงออกที่เบื่อหน่ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของเธอทําให้ทุกคนคิดว่าเธออายุไม่เกิน 25 ปีอย่างแน่นอน
“เจแร็กซ์ ปลูกข้าหลังจากที่เสร็จแล้วผู้อาวุโสกล่าวเพียงว่าต้องทําการทดสอบและจัดทํารายงานว่ามีใครที่มีคุณค่าอยู่ในหมู่บ้านที่ลึกเข้ามาในแผ่นดินหรือไม่น่าเบื่อ!ตกลงแล้วนะ?”
เห็นการแสดงออกที่น่ารักราวกับสุนัขบนใบหน้าของเธอผู้ชายก็ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า
ในไม่ช้า เสียงกรนของเธอก็ดังขึ้นบนอากาศที่พวกเขายืนอยู่ ผู้ชายยังคงสั่งเกตต่อไปแล้วเขาก็ทําการบันทึกและรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่าง