นิยาย World domination system
WDS Chapter 158 ชะตากรรม
WDS Chapter 158 ชะตากรรม
ทางตะวันออกของเอลฟาเวน มีสิ่งก่อสร้างที่ชํารุดทรุดโทรมแห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่า เสียงระฆังมรณะแห่งความโศกเศร้า
เครื่องประดับเวทมนต์จํานวนมากถูกวางไว้รอบๆมัน และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของมัน ไม่ว่าจะโดยอุบัติเหตุหรือโดยเจตนา ทหารจะทําการเทเลพอร์ตพวกเขาออกมาในทันที
พื้นที่โดยรอบเกือบว่างเปล่า หลงเหลืออาคารพาณิชย์อยู่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น และทั้งหมดอยู่ในสภาพทรุดโทรม
เหตุผลของสิ่งประหลาดนี้ ได้ถูกบอกเล่าเรื่องราวโดยเหล่าเอลฟ์และมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆกับสถานที่แห่งนี้
คืนหนึ่ง อุกกาบาติลูกหนึ่งได้ตกลงมายังตําแหน่งนั้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
อุกกาบาตไม่ใช่สิ่งใหม่สําหรับเอลดินอร์และเอลฟาเวน สําหรับผลที่ตามมาจากมัน แม้ว่าพื้นที่ที่อกกาบาตตกจะได้รับผลกระทบ แต่มันก็น่ามาซึ่งแหล่งพลังงานที่มั่งคั่งที่ทุกคนสามารถจะช่วงชิงมาได้
สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ อุกกาบาตลูกนี้ได้หลบเลี่ยงอุปกรณ์ตรวจจับทั้งหมดของเมืองหลวง ซึ่งใช้สําหรับติดตามทุกสิ่งที่อาจจะทําอันตรายแก่เมือง
นอกจากนี้ แม้ว่าผลกระทบจากมัน จะทําให้ทุกคนที่อยู่รอบๆตายในทันที แต่สิ่งก่อสร้างกับได้รับความเสียหายเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ในความเป็นจริง จากค่ากล่าวของผู้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่อุกกาบาตตกกระทบสู่พื้นดิน มันไม่มีเสียงใดๆดังออกมาเลย
ด้วยสถานการณ์ที่แปลกประหลาดมากเกินไป รัฐจึงเลือกที่จะปิดล้อมพื้นที่ก่อนจะส่งทีมวิจัยเข้ามาตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่คือตอนที่เหตุการณ์ซึ่งเป็นที่มาของชื่อมันเกิดขึ้น
ทุกคน เวลา 21.00 น. เสียงกรีดร้องจะดังขึ้นจากศูนย์กลางพื้นที่รับผลกระทบ ซึ่งเป็นอาคารหินที่ถูกทําลายไปครึ่งหนึ่ง
เป็นเวลา 12 ชั่วโมง เสียงกรีดร้องนี้จะดังอย่างต่อเนื่องราวกับบุคคลที่เป็นต้นกําเนิดของเสียงไม่จําเป็นจะต้องหายใจหรือหยุดชั่วครู่ขณะส่งเสียง
ยิ่งไปกว่านั้น เสียงกรีดร้องดังกล่าวยังมีคุณสมบัติบางอย่างที่ทําให้ใครก็ตามที่สัมผัสกับมันนานเกินไปจะเป็นลมและล้มทั้งยืน
ไม่ว่าเอลฟาเวนจะพยายามค้นหาสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้มากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่พบสิ่งใด และทุกอย่างก็แสดงให้เห็นว่า พื้นที่นั้นปกติดี ยกเว้นเพียงเสียงกรีดร้องนั้น
ด้วยไม่มีทางเลือกอื่นๆอีก พวกเอลฟ์ตัดสินใจยอมแพ้หลังจากที่ปิดล้อมพื้นที่ทั้งหมดที่ได้ยินเสียงกรีดร้องแล้ว
ทั่วทั้งแอนแกเรีย มีปรากฎการณ์ที่อธิบายเช่นนี้ไม่ได้อยู่หลายแห่ง ดังนั้น ทุกคนในเอลฟาเวนจึงค่อยๆลืมมันไป หลังจากที่พวกเขาพบว่า อุกกาบาตลูกนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างรุนแรงเหมือนดั่งอุกกาบาตลูกอื่นๆที่เคยตกลงมา
สําหรับชื่อของมัน หลายคนรู้สึกได้ว่า เสียงกรีดร้องนี้ฟังดูโศกเศร้า ราวกับคนที่กรีดร้องได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไป
หลังจากเทเลพอร์ตไปยังสถานที่ลับใต้อาคาร 3 ชั้น เอลดราก็พยักหน้าให้ทหารที่ประจําการอยู่ที่นั่น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่มีเก้าอี้วางอยู่ 4 ตัว
ทหารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกองกําลังลับที่รู้จักกันในชื่อ “ผู้เฝ้าดูเงียบ” โดยใช้ คาถาโบราณที่สืบทอดมาตั้งแต่ก่อตั้งราชอาณาจักรของพวกเขา เหล่าเอลฟ์แห่งเอง ฟาเวนได้สร้างกองกําลังที่การสื่อสารทุกประเภทถูกปิดลงอย่างถาวร ผู้ที่เลือกเข้าร่วมกองกําลังนี้จะได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนต่างๆ เช่น ดูแลครอบครัวของพวกเขาตลอดชีวิต
โดยพื้นฐานแล้ว ทหารเหล่านี้ ไม่สามารถจะสื่อสารกับใครได้ พวกเขาทําได้เพียงรับคําสั่งเท่านั้น
ด้วยเป็นทหารสมบูรณ์แบบและจะไม่มีการรั่วไหลใดๆของข้อมูลจากพวกเขา พวกเขาจึงมักจะถูกใช้ให้มาประจําการในสถานที่สําคัญเช่นนี้ ซึ่งมันจะเป็นการรับประกันความลับ
หลังจากเข้าไปในห้องและนั่งลงแล้ว เอลดร้าก็ลูบหน้าตัวเองก่อนจะหวีผมและหายใจเข้าลึกๆ
ผมของเธอเป็นสีน้ําตาลมันวาว แม่ของเธอได้แนะนําให้เธอตัดผมสั้น เพราะผมที่ยาวเกินไป มันอาจจะขัดขวางการต่อสู้ของเธอ
แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่แม่ของเธอมีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตเธอ แต่มันก็ยังคงติด 1 ใน 5 ความทรงจําสําคัญที่สุดเท่าที่เธอจาได้
วางความคิดทั้งหมด การแสดงออกอย่างจริงจังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนที่เธอจะเอนหลังไปพิงเก้าอี้ และเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ
ไม่กี่นาทีต่อมา บุคคล 3 คน ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกัน
2 คน ในพวกเขาเป็นเอลฟ์ ชายหนึ่งและหญิงหนึ่ง ขณะที่คนสุดท้ายเป็นมนุษย์ที่ใบหน้าถูกปกปิดโดยหน้ากากก่ามะหยี่ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะถูกปกปิดเอาไว้ แต่หูของเขาก็สามารถจะเห็นได้ ซึ่งมันได้เผยให้เห็นถึงสายพันธุ์ของเขา
เอลฟ์หญิงมีรูปร่างที่แสดงถึงความสมบูรณ์ พร้อมด้วยจมูกคม ริมฝีปากที่กําลังยิ้มอยู่ในปัจจุบัน และผมหยิกสีแดงที่ยาวจนเกือบจะถึงขาของเธอ มันทําให้เธอเป็นคนที่ทุกคนจะต้องหันมอง
สาหรับเอลฟ์ชาย เขามีผมสั้น พร้อมด้วยจมูกเล็กสั้น และคางเหลี่ยม แตกต่างจากเอลฟ์หญิงที่ดูเหมือนจะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของความเยาว์วัย เขาดูค่อนข้างชรา เนื่องจากผมหงอกบนหัวและท่าทางการเดินค่อมของเขา
เห็นพวกเขาเข้ามา เอลดราก็จดจ้องอย่างเย็นชาไปที่พวกเขาโดยไม่ลุกขึ้น
แม้เอลฟ์ทั้งสองจะยิ้มเมื่อได้เห็นเธอ แต่การแสดงออกของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อเห็นการต้อนรับอย่างเย็นชาของเธอ
หลังจากพวกเขานั่งลงแล้ว ความเงียบก็ปกคลุมทั่วทั้งห้อง
“ราชินีเอลดาราจะต้องชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ระบุค่าขอของพวกเขาเพื่อให้สิ่งนี้เป็นไปได้มา”
มันเป็นชายสวมหน้ากากที่ตอบกลับเป็นคนแรก
“โฮโฮ้ ดูเหมือนว่าราชินีของพวกเราจะเป็นกังวลที่เห็น…”
ปัง!
เอลดราตบไปที่โต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นและยกมือขึ้นกลางอากาศขณะชี้ไปยังชายคนนั้น ซึ่งมันทําให้เขาหยุดคํากล่าวของเขา
“ข้าไม่ต้องการจะได้ยินอะไรทั้งนั้น จําไว้ว่า ลาคอของพวกเจ้าอยู่ในมือของข้า หากความต้องการของพวกเจ้ามากเกินไป หรือพวกเจ้าเปิดเผยการติดต่อของพวกเรา พวกเจ้าจะตายก่อนที่จะรู้ตัว แล้วก็การซื้อและการขายเด็กเอลฟ์เป็นอาชญากรรมที่ มีบทลงโทษรุนแรงมากที่สุดในราชอาณาจักรของพวกเรา”
ได้ยินคํากล่าวของเธอ การแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจเล็กน้อยที่ปรากฎบนใบหน้าของเอลฟ์ทั้งสองหายไป และมันถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
แลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งสามเงยหน้าขึ้นไปมองเอลดร้าและกล่าวว่า “จานวนจะต้องเพิ่มเป็น 2 เท่าจากครั้งก่อน”
แม้เอลดราต้องการจะทุบตีใบหน้าของพวกเขา แต่เธอก็อดทนพยักหน้า และจะกล่าวว่า “ตกลง และจะไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว
เห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา เธอรู้สึกสะอึกสะเอียนจนอยากจะอาเจียน
หลังจากพวกเขาลุกขึ้นและจากไปทั้งหมดแล้ว เธอก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ของเธอ และหลับตา ขณะที่น้ําตาไหลลงมาอาบแก้มของเธอ
ทาสเอลฟ์ แม้ว่ามันจะถูกห้ามอย่างเป็นทางการ แต่มันเป็นธุรกิจที่ทํากาไรได้มาก เป็นล่าดับที่สองในแอนแกเรียรองจากทาสยักษ์
เนื่องจากพวกเขากําเนิดมาพร้อมความเข้าใจที่ดีตามธรรมชาติ พวกเอลฟ์จึงสามารถจะมั่นใจได้ว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นจอมเวทย์ได้ ทําให้มูลค่าของพวกเขาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่นที่ส่วนมากจะเป็นนักสู้
ไม่ว่าอย่างไร ในสนามรบ จอมเวทย์ที่อ่อนแอที่สุด ก็ยังมีค่ามากกว่านักสู้ศักยภาพปานกลาง
บุคคลทั้งสามนี้เป็นผู้ทรงอิทธิพลในองค์กรข่าวกรองใหญ่ทั้งสามในเอลฟาเวน เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ถือทุนใหญ่ที่สุด พวกเขาจึงสามารถจะแทรงแซงองค์กรเพื่อให้รายงานในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
เพื่อแลกเปลี่ยน รัฐจะมองข้ามธุรกิจของพวกเขาในขณะที่ยกเว้นภาษีและจ่ายเงิน จํานวนมหาศาลซึ่งเทียบได้กับเงินนับล้านๆแลนทองให้
ในความเป็นจริง เงินเหล่านี้ถูกยักยอกออกมาโดยราชินีเอลดารา ผ่านโครงการพัฒนาปลอม
แม้บางครั้งมันจะเป็นบางสิ่งที่น่าตะขิดตะขวงใจ แต่มันก็อาจจะถูกมองว่าเป็นโครงการที่ท่าประโยชน์ให้กับประเทศได้
สิ่งที่ทําให้เอลดร้าร้องไห้ออกมาก็คือ ภาพของใบหน้าของเด็กน่ารักๆราว 60 คนที่มองมาที่เธอและเรียกเธอว่า พี่สาวเอลดรา” หลังจากที่เธอช่วยพวกเขาออกมาจากตู้สินค้าทาสด้วยตัวเอง
ในชีวิตของเธอที่ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยความมืด นั่นเป็นวันแห่งแสงสว่างที่ขับไล่ความมืดออกไปและทําให้เธอยิ้มได้เหมือนเด็กที่มีความสุข
ตอนนี้ เด็กหญิงและเด็กชายเอลฟ์เหล่านั้นจะถูกนําตัวไปอย่างแน่นนอนแล้วเนื่องจากข้อตกลงนี้
ขณะที่เธอกําลังพยายามจะควบคุมน้ําตาเพื่อที่จะกลับไปยังพระราชวัง เครื่องประดับเวทมนต์สื่อสารในประเป๋าของเธอก็กระพริบขึ้น เมื่อเธอเปิดมัน ข้อความก็ดังขึ้นที่หูของเธอ
“ท่านหญิง คนที่เรียกตัวเองว่า เดวอน เดินเข้ามาในพระราชวังและบอกว่าต้องการจะพบท่าน เขาบอกว่า เขามีข้อมูลสําคัญที่อาจจะช่วยราชอาณาจักรของพวกเราได้ท่านต้องการให้พวกเราขับไล่เขาออกไปหรือไม่?”