WDS Chapter 111 แฟกซัล ตอนที่ 2
แดนีลไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไร ในความเป็นจริง เขารู้ดีว่า ไม่ว่าเขาจะกล่าวอะไรออกไปในตอนนี้ มันก็ไม่สามารถที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของสหายเขาในตอนนี้ได้
ในความคิดของแดนีล แฟกซัลจะไม่บอกความลับนี้ของเขาอย่างแน่นอน เว้นแต่เขาจะต้องการอะไรบางอย่าง
“ข้าต้องการเข้าฝึกอบรมในนิกายสังหารซ่อนเร้น”
ถูกต้องแล้ว นี่ก็คือเหตุผล
นิกายสังหารซ่อนเร้นนั้น เป็นกองกำลังที่สามารถจะทำให้เขาได้รับพลังในการสังหารราชา นี่คือสิ่งที่แฟกซัลต้องการ
เขามีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาน้อยมาก ทั้งหมดที่เขาจำได้ก็คือ คน 2 คน ที่ยิ้มให้กับเขา และคอยดูแลเขาอยู่เสมอ ภาพที่พร่ามัวของพวกเขาและความรู้สึกอบอุ่มที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่กับพวกเขา เป็นสิ่งเดียวที่แฟกซัลคิถึงสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวของเขา
ผู้ดูแลเขา เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อพ่อและปู่ของเขา แต่ไม่ว่าเขาจะถามไปมากเพียงใด พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัยเด็กของเขา โดยบอกกับเขาว่า พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ทำเช่นนั้น
ด้วยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของเขา แฟซัลจึงทำได้เพียงสันนิษฐานว่า เธอได้เสียชีวิตไปแล้ว
ตลอดชีวิตของเขา เขาคุ้ยเคยกับการอยู่คนเดียว อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับแดนีล
ในวันนั้น ที่สำนักฝึกอบรม ขณะที่แดนีลยื่นมือออกมา แฟกซัลได้เห็นบางสิ่งในดวงตาของแดนีล ซึ่งมันทำให้เขาคิดถึงบางสิ่งในวัยเด็กของเขา
ในความเป็นจริง จนถึงวันนี้ เขาก็ยังคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร อย่างไรก็ตาม มิตรภาพระหว่างพวกเขาก็ได้เบ่งบานขึ้น จนกลายสิ่งที่ทำให้พวกเขา สามารถจะไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ด้วยชีวิตของพวกเขา
ช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ไปกับโรเบิร์ตและมาเรีย มันทำให้เขาสามารถระงับความรู้สึกโศกเศร้าจากการสูญเสียพ่อแม่ของเขาได้
แต่ในวันนี้ เมื่อแฟกซัลได้พบกับชายที่เคยไล่ล่าเขาเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เขาหลบหนีออกมาจากราชอาณาจักรกาดำ เขารู้สึกเหมือนเลือดของเขาเดือดพล่าน และอยากจะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อจัดการกับชายคนนั้น
โลหิตกาดำไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา และมันก็เรียกร้องให้เขาแก้แค้น ทำให้หัวใจของเขาถูกเผาไหม้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถจะทำอะไรได้อย่างแท้จริง
ในสถานศึกษา เขาได้ทำตามสัญชาตญาณของเขา และเลือกเส้นทางแนวหน้า ที่ฝึกฝนทั้งนักสู้และจอมเวทย์
ผู้แนะแนวของเขาบอกกับเขาว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เสียเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศักยภาพของเขา แต่แฟกซัลก็ยังคงเชื่อในสัญชาตญาณของเขา
ตอนนี้ เขาเป็นเพียงนักสู้ระดับมนุษย์ขั้น 2 และเป็นจอมเวทย์ระดับมนุษย์ขั้น 2 คนอื่นๆที่ไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ ได้ทะลวงไปสู่ขั้น 3 กันแล้ว ขณะที่เขายังคงติดอยู่ที่ขั้น 2
แต่ในการต่อสู้จริง เขาอาจจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้เนื่องจากความได้เปรียบของเส้นทางแนวหน้า อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นมดเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่เขาจะต้องเผชิญหน้า
นี่คือสาเหตุที่เขาต้องการจะไปที่นิกายสังหารซ่อนเร้น และเรียนรู้เทคนิคของพวกเขา
“เจ้าต้องการที่จะเป็นมือสังหาร และสังหารราชาแห่งราชอาราจักรกาดำ ที่เป็นผู้สั่งฆ่าครอบครัวของเจ้าใช่หรือไม่?” แดนีลถามขณะที่คิดเล็กน้อย
“ใช่”
“โอ้? ด้วยศักยภาพของเจ้า เจ้าคิดว่า เจ้าจะต้องใช้เวลากี่ปี เจ้าถึงจะได้รับความสามารถในการสังหารราชาได้?”
แฟกซัลมองเข้าไปในดวงตาของแดนีล แม้มันจะเป็นคำถามที่ตรงไปตรงมา แต่เขาก็ไม่สามารถจะตอบได้
คนที่มีศักยภาพระดับเขา จำเป็นจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการเลื่อนระดับขั้น และเขาก็ไม่แม้แต่จะรู้ระดับที่สามารถจะคุกคามราชาได้ เขาจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ
“แฟกซัล ข้ารู้ว่าที่เจ้าอยากจะไปที่นิกายสังหารลับ เพราะเจ้ารู้สึกสิ้นหวัง แต่เจ้าจะไม่ฟังข้าก่อนหรือ?”
แฟซัลพยักหน้า มองไปยังสหายของเขาที่ก้าวขึ้นมาจากสถานะคนทั่วไปจนกลายเป็นราชาแห่งแลนธานอร์ อย่างไรก็ตาม เขาจะสามารถให้อะไรที่มีค่ามากกว่าโอกาสในการกลายเป็นมือสังหารที่เป็นดั่งหายนะสำหรับเหล่าผู้ปกครองทั่วทวีปได้หรือ?
แดนีลมองผ่านคำถามนี้จากในดวงตาของแฟกซัล เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา และส่งมันให้กับสหายของเขา ก่อนจะกล่าวว่า “ศึกษาสิ่งนี้ และตัดสินใจด้วยตัวเองว่า เจ้าต้องการจะออกเดินทางเพื่อฝึกฝนเป็นมือสังหาร หรือจะอยู่เคียงข้างข้า”
แดนีลเดินไปที่ประตู ก่อนที่เขาจะออกไป เขาหันไปมองความแน่วแน่ของสหายเขา
การตัดสินใจทั้งหมดอยู่ในมือของตัวเขาแล้ว หลังจากปิดประตู แดนีลก็กลับไปยังห้องโถงของราชา
เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงและผล็อยหลับไปในทันทีจากความเหนื่อยล้า เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เขาทำการฝึกฝนครั้งล่าสุด และแดนีลเริ่มรู้สึกเอื่อยเฉื่อยแล้ว
เขามีสิ่งที่จะต้องทำการตัดสินใจในวันพรุ่งนี้ สำหรับคืนนี้ เขานอนกรนผ่านค่ำคืนโดยไม่ได้ฝันใดๆ
……………………………………………………………………………..
ประตูพระราชวังเป็นดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และถนนด้านหน้าก็ว่างเปล่าเกือบจะตลอดเวลา
ดังนั้น เมื่อมีคนผลัดหลงเข้ามา เหล่าทหารองครักษ์ก็จะสามารถสังเกตเห็นได้ในทันที
ในขณะนั้นมีคนกลุ่มเดินเข้ามา และสายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่พระราชวัง พวกเขาเดินราวกับพวกเขาเป็นเจ้าของสถานที่ มองไปรอบๆขณะสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวา พวกเขามีอยู่ทุกเกือบเพศทุกวัย โดยที่อายุน้อยที่สุดเป็นชายที่อายุราว 25 ปี ขณะคนที่แก่ที่สุดเป็นผู้หญิงผมสีขาว
แอรัน ผู้บัญชาการกองกำลังชั้นสูง ได้รับการแจ้งเตือนจากพระราชวัง
เมื่อเขาได้ยินว่า มีกลุ่มคนที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้เดินผ่านเส้นทางกลาง มันก็ได้ดึงดูดความสนใจของเขา
เขาเป็นคนที่ชื่นชอบสิ่งต่างๆที่ไม่ธรรมดา เขาจึงตัดสินใจไปตรวจสอบสถานการณ์ด้วยตัวเองในทันที
แต่ในทันทีที่เขามาถึงประตู เขาก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นทหารองครักษ์ที่เป็นคนรายงาน ถูกล้อมรอบโดยทหารองครักษ์คนอื่นๆนับสิบ
“เจ้ากล้ารายงานว่าอาจารของพวกเราเป็นคนที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?”
“อาจารย์ช่วยฝึกฝนให้พวกเราเพื่อเข้าร่วมกองทัพ ข้าแทบจะไม่สามารถตอบแทนอะไรเขาได้ แต่เขาก็ยังคงฝึกฝนให้กับข้าอย่างเต็มที่ เพียงเพราะพ่อของเจ้าเป็นพ่อค้า ที่สามารถส่งเจ้าไปฝึกฝนในสำนักฝึกอบรมได้ แล้วเจ้าคิดว่า เจ้าจะสามารถทำลายชื่อเสียงของอาจารย์พวกเราได้?”
“คุกเข่าและขอโทษเดี๋ยวนี้”
ทหารองครักษ์ที่อยู่ตรงกลางทำได้เพียงก้มหัว ขณะที่ถูกเหล่าสหายร่วมงานของเขาตำหนิด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องปฏิบัติตามหน้าที่ พวกเขาก็คงจะไม่สนใจใดๆและทำการทุบตีเขาไปแล้ว
เห็นผู้บัญชาการเดินมาที่ประตู ใบหน้าของทหารองครักษ์นายนั้นก็เปร่งปรายขึ้น ราวกับเขาได้เห็นแสงอาทิตย์
เหมือนเด็กร้องไห้ที่ฟ้องพ่อ ทหารองครักษ์คนนั้นตะโกนออกให้ดังที่สุดเท่าที่เขาสามารถจะทำได้ และหวังว่า ผู้บัญชาการจะช่วยเขาจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องอ้าปากข้างเมื่อเห็นการกระทำของแอรัน ผู้บัญชาการกองกำลังชั้นสูงแห่งแลนธานอร์ ที่ฟังคำสั่งของราชาเพียงเท่านั้น ขณะที่เขาเดินเข้าไปในกลุ่ม เขาก็ไปพบกับชายร่างใหญ่ที่สวมเสื้อกั๊กบนร่างซึ่งยืนอยู่หน้ากลุ่ม
ด้วยการแสดงออกของเขา ผู้บัญชาการทำการคำนับอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะลุกขึ้นและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านควรจะแจ้งให้พวกเราทราบว่าท่านกำลังจะมา พวกเราจะได้เตรียมการสำหรับการต้อนรับ ทหารองครักษ์คนนี้ทำให้ท่านขุ่นเคืองหรือไม่? เพียงแค่กล่าวมา แล้วข้าจะขุดแม้แต่ความผิดพลาดที่น้อยที่สุดที่เขาทำ และทำให้เขาถูกลดระดับไปอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยพ่อครัว”
ผู้ช่วยพ่อครัว?
ในขณะนั้น ทหารองครักษ์คนนั้นกำลังจินตนาการว่าตัวเองกำลังล้างจาน และช่วยเหลือพ่อครัวและแม่หัว หั่นผักและเนื้อสัตว์ตลอดทั้งวัน ในฉับพลัน เขาสาบแช่งความโชคร้ายของตัวเองที่เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นคนกลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของเขาฟื้นคืน เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปถึงราชาองค์ใหม่แห่งแลนธานอร์ ที่สัญญาว่าจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม
‘แม้ผู้บัญชาการจะเกี่ยวข้องกับชายผู้นี้ แต่เขาจะต้องไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับราชาอย่างแน่นอน’ ทหารองครักษ์คิดภาพชะตากรรมของคนเหล่านี้อย่างสนุกสนาน เพราะเขามั่นใจว่า ชายตรงหน้าเขานี้ จะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาองค์ใหม่อย่างแน่นอน