WDS Chapter 124 ฝ่ายการวิจัย ตอนที่ 1
ด้วยเวลาที่ยังเหลือของวัน แดนีลฝึกฝนอย่างสงบในห้องโถงฝึกอบรมกระตุ้นพลังงาน
เช้าวันรุ่งขึ้น ข้อความหนึ่งมาถึงห้องโถงของเขา ซึ่งกล่าวว่า คําสั่งแรกของเขาได้รับการดําเนินการแล้ว
ช่างตีเหล็กและเอนชานเตอร์ที่มีความสามารถในราชอาณาจักร ได้มารวมตัวกันแล้ว และตอนนี้ พวกเขากําลังรออยู่ที่สนามเดียวกับที่กองทัพการปกครองเคยอยู่
ในครั้งนี้ แดนีลได้ใช้ร่างต้นของเขาเข้าประชุม
ร่างโคลนไม่มีหน่อจอมเวทย์ มันจึงไม่สามารถจะใช้แม้แต่คาถาที่เรียบง่ายที่สุดได้ ดังนั้น แดนีลจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ร่างต้นของเขาหากเขาต้องการจะทําบางอย่าง
เคลเลอร์ยังคงไปประสานงานกับเหล่าเสนาบดีเพื่อเดินเนินการตามคําสั่งอื่นๆของเขา ขณะที่เฟลิกซ์กลับไปยังสํานักฝึกอบรม เพื่อดูแลเรื่องบางอย่าง ดังนั้นจึงมีเพียงแคนีล แฟกซัล และผู้บัญชาการทั้งสองเท่านั้นที่มายังสนามพร้อมกับเหล่าทหารติดตามซึ่งตอนนี้ถูกเรียกว่าองครักษ์หลวง
ตระหนักถึงความโง่เขลาของตัวเองในก่อนหน้านี้ แดนีลตัดสินใจแล้วว่า จะให้เหล่าผู้บัญชาการติดตามเขาให้มากที่สุด สิ่งที่เขาชื่นชมเกี่ยวกับพวกเขามากที่สุดก็คือ อุดมการณ์ที่ไม่ยอมแพ้ของพวกเขา ซึ่งได้ยืนหยัดต่อต้านความบ้าคลั่งของราชาองค์ก่อนเป็นเวลานานโดยไม่พังทลายลง นอกจากนี้เขายังเชื่อว่า
ประสบการณ์ของพวกเขาจะต้องมีค่าอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ผ่านสถานการณ์ต่างๆมามากกว่าตัวเขา
ทั้งแอรันและแคสแซนดร้าก็พบว่า พวกเขาชื่นชอบราชามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาคุ้นเคยกับการซ่อนความคิดของตัวเอง เพื่อที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ในที่สุด พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้ใช้ความรู้เกี่ยวกับราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์สําหรับประชาชน ซึ่งเป็นเหตุผลดั้งเดิมที่พวกเขาเข้าร่วมกองทัพ
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ประสบการณ์ของเหล่าผู้บัญชาการก็ยังทําให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะถลึงตาขณะที่พวกเขามาถึงสนาม
สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาพวกเขาก็คือ กลุ่มคนหลากหลายประเภท ทุกเพศ ทุกวัย และทุกภูมิหลัง
คนยากจน, พ่อค้า, ข้าราชการ, คนสลัม และคนแต่ละประเภทในราชอาณาจักร สามารถจะมองเห็นได้ในกลุ่มนี้
ในความเป็นจริง แดนีลก็ยังสงสัยว่าเขามาถูกสนามแล้วหรือไม่
เมื่อกลุ่มของราชาเดินออกมาจากพระราชวัง พวกเขาก็ลุกขึ้นและยืนตัวตรง
หลังจากโค้งคํานับราชาแล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นความประหลาดใจในดวงตาของเหล่าผู้บัญชาการและราชา
แน่นอน ขณะที่พวกเขามองไปรอบๆ พวกเขาก็สงสัยว่าพวกเขาทําตามคําแนะนําถูกต้องแล้วหรือไม่
“คํานับฝ่าบาท ข้าชื่อซัลลิแวน หันหน้าคนใหม่ของฝ่ายRnDแห่งแลนธานอร์ ข้าเพิ่งจะได้รับการแต่งตั้งเมื่อเช้า หลังจากการสอบสวนในฝ่ายได้แสดงให้เห็นว่า อดีตหัวหน้าและอดีตรองหัวหน้ามีความผิดฐานยักยอกเงินและถูกจําคุก ก่อนหน้านี้ ข้าถูกกําหนดให้เป็นตัวแทนรองหัวหน้า ดังนั้นในตอนนี้ ข้าจึงกลายเป็นตัวแทนของฝ่าย”
คนที่กล่าวคือชายในชุดคลุมสีน้ําเงินที่มีสัญลักษณ์ค้อนแปลกๆที่มีดาว 1 ดวง ลอยอยู่เหนือมันบนหน้าอกของเขา เขาดูเหมือนชายวันกลางคน เพราะเขาเริ่มมีผมหงอกและผิวหนังก็เริ่มจะมีริ้วรอย
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเขาเฉียบคมมากที่สุดเท่าที่แดนีลเคยเห็นมา
เมื่อครั้งที่ศึกษาเกี่ยวกับการเอนชานท์ด้วยตัวเอง เขาจึงได้รู้ว่า สัญลักษณ์นี้มีความหมายของการเอนชานท์
เอนชานเตอร์จําเป็นจะต้องมีความรู้สึกที่เฉียบคม เพื่อให้ได้ทักษะการสลักรูปแบบที่จําเป็น ดังนั้นผู้ที่ก้าวเดินในเส้นทาง เอนชานเตอร์ จึงสามารถจะแยกแยะออกจากผู้คนได้ง่าย เว้นแต่พวกเขาเลือกที่จะปกปิดตัวตนด้วยเหตุผลบางอย่าง
รอบๆซัลลิแวน มีอีก 15 คน ที่สวมชุดคลุมสีน้ําเงินคล้ายๆกัน แต่สัญลักษณ์ของพวกเขาไม่มีดาวลอยอยู่เหนือค้อนเหมือนของซัลลิแวน
เมื่อเขาจําได้ว่า เขาเคยเห็นสัญลักษณ์เช่นนี้มาก่อน แดนีลกประหลาดใจเมื่อตระหนักเกี่ยวกับชายคนนี้
“ท่านเคยเข้าเรียนที่สถานศึกษาการเอนชานท์แห่งเอลดินอร์ และได้รับการรับรองว่าเป็นเอนชานเตอร์ขั้น 1?”
“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท ข้าผ่านการทดสอบสําหรับการเป็นเอนชานเตอร์ขั้น 1 ในขณะเดียวกัน เพื่อนร่วมงานทั้ง 15 คน นี้ของข้าก็เข้าเรียนที่สถานศึกษานั้นด้วยเช่นกัน”
ได้ยินคําตอบ แดนีลก็อดไม่ได้ที่จะสั่งให้ระบบบอกข้อมูลทั้งหมดที่บันทึกไว้เกี่ยวกับสถานศึกษาแห่งนี้
สถานศึกษาการเอนชานเตอร์แห่งเอลดินอร์ เป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่รู้กันทั้ง 6 ราชอาณาจักรว่าเป็นสถานศึกษาที่ผลิตเอนชานเตอร์ที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม สถานศึกษาดังกล่าวค่อนข้างแปลกประหลาด แทนที่มันจะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถ สิ่งเดียวที่สถานศึกษาแห่งนี้ต้องการก็คือ เงิน
บุคคลที่สามารถจะจ่ายเงินหรือวัสดุพลังงานได้จํานวนหนึ่งจะได้สิทธิ์ในการเข้าศึกษาสําหรับเอนชานเตอร์ระดับต่ํากว่า 1
ราคาไม่เคยคงที่ เนื่องจากมีที่ว่างจํากัด ซึ่งทําให้คนที่เข้ามาที่ว่างถัดไปจะยิ่งต้องจ่ายราคาสูงขึ้น อาจจะมากกว่าที่ว่างลําดับแรกๆหลายเท่า
ดังนั้น ไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม ตราบเท่าที่พวกเขามีเงินในกระเป๋ามากพอ พวกเขาก็สามารถจะเข้าศึกษาที่นี่ได้ 4
ด้วยวิธีนี้ มันทําให้ราชอาณาจักรเอลดินอร์ได้รับเงินก้อนใหญ่ในแต่ละปี
เอนชานเตอร์ขั้น 1 สามารถจะสร้างเครื่องประดับเวทมนต์สําหรับผู้ฝึกหัดระดับมนุษย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันเป็นงานที่สามารถทํากําไรได้อย่างมาก และไม่ว่าที่ใด เอนชานเตอร์ก็เป็นที่ต้องการอย่างมาก
หากใครต้องการจะเป็นเอนชานเตอร์ขั้น 2 พวกเขาจะต้องสาบานตนว่า จะรับใช้เพียงเอลดินอร์ จากนั้นพวกเขาก็จะได้รับความรู้ที่จําเป็นสําหรับการฝึกฝนขั้นต่อไป
ด้วยสิ่งนี้ พวกเขาจะมั่นใจได้ว่าความรู้หลักของพวกเขา จะยังคงอยู่กับพวกเขาเท่านั้น
สิ่งนี้ทําให้แดนีลคิดย้อนกลับไปถึงสถานศึกษาต่างๆในโลกเดิมที่เรียกเก็บเงินมหาศาลสําหรับความรู้และบริการที่พวกเขาให้
หลังจากรู้เกี่ยวกับทั้ง 16 คนเหล่านี้แล้ว แดนีลก็หันไปมองคนอื่นๆ
มีอย่างน้อย 1,000 คน ในหมู่พวกเขา และเห็นได้ชัดว่า หลายคนมาจากชนบท
“ช่างตีเหล็กทั้งหมดยกมือขึ้น”
ด้วยคําสั่งของแดนีล 3 ใน 4 ส่วนของพวกเขายกมือขึ้น ทําให้ราชาถอนหายใจเมื่อเขาเห็นว่าความสงสัยของเขาถูกต้อง
การย่างก้าวลงบนเส้นทางการเอนชานท์ จําเป็นจะต้องเป็นจอมเวทย์ให้ได้เสียก่อน และมันเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด ซึ่งมันหมายความว่ากลุ่มคนที่สามารถจะเป็นได้ ถูกลดจํานวนลงอย่างมาก
พร้อมกันนั้น มีคนเพียง 2 ประเภท ที่เลือกจะเดินในเส้นทางการเอนชานท์ ได้แก่ จอมเวทย์ที่มีพรสวรรค์สูง ซึ่งมีความมั่นใจว่าจะฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือผู้ที่มีพรสวรรค์ต่ํามาก ที่หันไปเดินในเส้นทางการเอนชานท์ ด้วยหวังว่าจะได้รับเงินจํานวนมากจากมัน
นอกเหนือจากคนที่สวมชุดคลุมสีน้ําเงินที่เป็นคนประเภทแรกแล้ว คนที่เหลือเป็นคนประเภทหลัง
อย่างไรก็ตาม การถอนหายใจของแดนีลไม่ใช่เพราะเขาเศร้าเสียใจ แต่มันตรงกันข้าม
คนเหล่านี้คือสิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง
ตลอดหลายวันหลายปีที่ผ่านมา แดนีลกําลังคิดว่าแนวคิดใดจากโลกเดิมที่เขาจะนํามายังแอนแกเรียเมื่อเขาได้เป็นราชา
ในฐานะคนที่มีความสามารถด้านการศึกษาเล่าเรียน แดนีลจดจําสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจนถึงวิทยาลัยได้เกือบทั้งหมด
ปัญหาที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เขาไม่มีวิธีที่ทําให้แน่ใจว่า สิ่งที่เขาออกแบบจะอยู่กับตัวเขาเท่านั้น การสร้างสิ่งใหม่ๆนั้นไม่ยาก แต่หากเขาไม่ระมัดระวัง มันเป็นไปได้ที่จะเป็นการเสริมสร้างอาวุธที่ก้าวหน้าให้กับศัตรูของเขาเอง
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะหันไปใช้สิ่งที่ไม่สามารถลอกเลียนได้ อย่างน้ํายากับดักน้ําผึ้ง
แม้ทุกคนจะรู้เกี่ยวกับแนวคิดทั่วไป แต่ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะพัฒนาคาถาที่สร้างขึ้นโดยระบบ อย่างน้อยก็ในระยะเวลาสั้นๆ
ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องการก็คือแนวคิดที่เขาจะนํามาจากโลก ซึ่งสามารถจะนําไปใช้ได้แต่ไม่สามารถจะลอกเลียนแบบได้ โดยการใช้ให้ระบบเพิ่มเอกลักษณ์พิเศษเข้าไป
หลังจากคิดอย่างหนักมาเป็นเวลานาน เขาก็ได้แนวคิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรษที่ 19 และเครื่องมือหลักที่ใช้ในการพัฒนาโลกในเวลานั้น ในความเป็นจริงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ที่วางขายบนโลกเดิม ต่างก็ต้องผ่านกระบวนการนี้ในระหว่างการพัฒนาบางอย่างของมัน