หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.434 – มารโลกา
“ฟังดูเหมือนว่าโลกกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น” ว่านเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของกู่ฉิงซานแลดูหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย
“ความสิ้นหวัง … มักจะทำให้ผู้คนเป็นบ้า”
เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและผุดลุกขึ้นจากฟูก
ขณะที่สองสาวพอได้ฟังก็นิ่งงันไป จมหายเข้าสู่ห้วงความคิด แล้วก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวไม่เพียงตรงกับอุปนิสัยของผู้คนบนโลกใบนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังตรงกับตัวของพวกเธอเองอีกด้วย
กู่ฉิงซานเอ่ยถามต่อ “ในเมื่อนี่เข้าสู่ช่วงเวลาลางดีแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราสามารถไปที่นิกายกวงหยางกันได้แล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้วนายน้อย ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเริ่มออกเดินทางกันเสียที” ฉินรั่วกล่าว
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
สองสาวใช้ผุดลุกขึ้น และเริ่มเก็บข้าวของ
ว่านเอ๋อปล่อยเรือเหาะออกมา
นี่เป็นเรือเหาะขนาดเล็กที่ดูเพรียวลม มีความคล่องตัวสูง เพียงแค่มองก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าความเร็วของมันจะต้องน่าทึ่งมากอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ภายในเรือเหาะก็ดูจะแคบเกินไป แคบไปมากทีเดียว …
กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางหญิงงามทั้งสาม แออัดเบียดเสียดกัน ไม่ว่าจะขยับไปซ้ายหรือขวามันก็แลดูไม่งามและเหมาะสมเอาเสียเลย
จนในที่สุดเขาก็จำต้องยกมือขึ้นและโอบไหล่สัมผัสเนื้อตัวของคนอื่นๆจึงจะสามารถยืนอย่างสะดวกสบายได้
“เรือเหาะนี่ทำไมถึงได้สร้างมันมาให้แคบขนาดนี้กันนะ” เขาบ่น
“นายน้อย นี่คือเรือเหาะชั้นสูง และมีเพียงเรือชั้นสูงเท่านั้นที่ครอบครองความเร็วมากพอที่จะสามารถหลบหนีจากร่างแยกไร้จิตสำนึกของมารโลกาได้” ว่านเอ๋ออธิบาย
“ปากใหญ่สีดำที่ข้าเห็นเมื่อครู่นี้คือร่างไร้จิตสำนึกสินะ แล้วหากเป็นร่างที่มีจิตสำนึกเล่า?”
“ไม่มีใครอยากพบเจอกับร่างที่มีจิตสำนึกหรอก – เพราะมันว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ และไม่มีเรือเหาะลำใดสามารถหลบหนีได้ เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายถึงความตาย” ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าว
ในขณะนั้นเอง ท่าทีการแสดงออกของฉินรั่วก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น
“นายน้อย โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ท่านเป็นชายที่มักมากในกาม ฉะนั้นท่านจะต้องไม่เหนียมอายเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ท่านจะต้องล้วงมือมาจาบจ้วงพวกเราทันที” ฉินรั่วกล่าว
กู่ฉิงซานกล่าวรับคำด้วยความกลัดกลุ้ม “เข้าใจแล้ว”
เพราะกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่ามือของตนสมควรจะไปอยู่ในตำแหน่งใดดี
ฉินรั่วจับมือของเขา ปากเอ่ยเฉียบขาด “ข้าทราบดีว่าเจ้าไม่ใช่ฉีหยาน และยังรู้ดีว่าเจ้าให้เกียรติพวกเราเป็นอย่างมาก แต่นี่คือเรื่องร้ายแรงถึงชีวิต เจ้าจะต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติเข้าไว้”
ว่านเอ๋อจับอีกมือหนึ่งของเขา และพยักหน้ากึ่งเตือนกึ่งจริงจัง
กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “การแสดงออกของข้ามันดูผิดธรรมชาติมากเลยหรือ?”
“กล่าวตามตรง เวลานี้เจ้าดูเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่พร้อมจะวิ่งหนีได้ตลอดเวลา” ว่านเอ๋อกล่าว
“ … เข้าใจแล้ว”
“นายน้อย ท่านรีบดูข้างล่างเร็ว” ฉานนู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
กู่ฉิงซานโผล่หัวของเขาออกไป และมองลงไปยังใต้เรือเหาะ
เห็นแค่เพียงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทว่าเบื้องล่างมัน ไม่มีผืนดินอยู่เลย
ผืนดิน ภูเขา แม่น้ำ ที่ราบลุ่ม การดำรงอยู่ของสิ่งพื้นฐานต่างๆ แต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อโลกทั้งสิ้น
ทว่าในโลกใบนี้ กลับไม่มีสิ่งที่ว่ามาอยู่เลย
ตลอดทั้งผืนดินถูกแทนที่ด้วยมัดกล้ามเนื้อสีแดงเข้มที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา
มันคือเส้นใยกล้ามเนื้อสีแดงที่เรียวบางม้วนรวมกัน
กล้ามเนื้อทั้งหมดซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เคลื่อนไหวขึ้นๆลงราวกับคลื่นที่ซัดสาด และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
กู่ฉิงซานมองไกลออกไปจนสุดสายตา และค้นพบว่ากล้ามเนื้อเหล่านี้แพร่ขยายตัวกินพื้นที่กว้างออกไปไร้ที่สิ้นสุด
ซึ่งนี่แหละคือร่างหลักของมารโลกา!
ตามข้อมูลที่กู่ฉิงซานได้รับมา ไม่เคยมีใครเลยที่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้มัน เพราะมันคือร่างหลักสุดแสนทรงพลัง!
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตจะสามารถโค่นร่างไร้จิตสำนึกและร่างมีจิตสำนึกลงได้
ทว่าเมื่อร่างหลักของมารโลกาได้ปรากฏกาย ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตก็ทำได้เพียงหลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลบหนีได้
แม้จะตระหนักดีว่าอีกฝ่ายมีร่างกายมโหฬาร แต่ครั้งแรกที่กู่ฉิงซานเห็น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยถึงความประหลาดใจออกมา
“ทำไมมันถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้ … ” เขาบ่นงึมงำ
ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากสาวใช้ทั้งสอง ในอดีตที่ผ่านมาหลายพันปี มารโลกาได้กลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่อยู่รอบโลกไปจนหมดสิ้นแล้ว
และตอนนี้ มันก็กำลังเริ่มที่จะกลืนกินโลก
ผืนดินของโลกล่องเวหาคือการผสานหลอมรวมกันของโลกนับไม่ถ้วน ซึ่งผืนดินนี่แหละคือแหล่งพลังงานของรากฐานโลกล่ะ!
สรุปง่ายๆว่าเมื่อมารโลกาได้กินผืนดินจนสิ้นแล้ว โลกก็จะล่มสลายลงโดยสิ้นเชิง
และนั่นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของโลกล่องเวหา
ราวกับถูกแดกดันอย่างแสบสัน , เหล่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ได้ยึดครองและแย่งชิงสิ่งต่างๆโดยการพิชิตชัยโลกอื่นๆมามากมาย
แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นพวกเขาซะเองที่จะไม่มีโลกให้อาศัยอยู่อีกต่อไป
ว่านเอ๋อหยิบเอายันต์สีดำออกมาและมองมันอีกครั้ง
อักษร ‘ดี’ ยังคงเสถียร และเปล่งรังสีแสงออกมาตลอดเวลา
พอได้เห็น เธอก็รู้สึกโล่งใจ
เมื่อไหร่ที่มารโลกาตื่นขึ้น มันก็จะกลายเป็น ‘ลางร้าย’
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าใครๆก็มิกล้าที่จะปลดปล่อยพลังวิญญาณ เพราะจะเป็นการดึงดูดร่างแยกไร้จิตสำนึกมา จากนั้นก็จะถูกกลืนกิน
—เมื่อไหร่ที่มารโลกาหลับไหล นั่นคือช่วงเวลา ‘ลางดี’ และมนุษย์ก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณและกระทำการใดๆได้อย่างอิสระ
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังมารโลกา และอดไม่ได้ที่จะลองพิจารณามัน
หลังจากการวิเคราะห์และเทียบเปรียบแล้ว กู่ฉิงซานก็ตัดสินได้ว่า มารตนนี้อยู่เหนือยิ่งกว่าขอบเขตของอสูรกายทั่วๆไป
มันมิได้เป็นอสูรกายดัดแปลงชนิดเจาะทะลวงแนวข้าศึก แต่ก็ไม่ใช่อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเช่นกัน … นี่มันยากที่จะคาดเดานัก
มารโลกาคงจัดได้ว่าเป็นอสูรกายที่พบเจอได้ยากที่สุด
มันคือหนึ่งในสามการดำรงอยู่ของอสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งถูกดัดแปลงมาจากร่างกายของเทพวิญญาณในสมัยโบราณ
ด้วยจิตสัมผัสเทวะและระยะสายตาของมนุษย์ ย่อมไม่สามารถมองเห็นร่างกายทั้งหมดของมันได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้แค่เพียงเพ่งมองส่วนหนึ่งของร่างกายมันเท่านั้น – นี่มันราวกับกำลังเผชิญหน้ากับผืนดินอันกว้างใหญ่อยู่เลย
นี่คือร่างกายที่แท้จริงของเทพโบราณ!
เรือเหาะบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ทิ้งระยะห่างจากมารโลกา
เกาะทั้งหมดยังต้องพึ่งพาค่ายกลล่องลอย เพื่อพยายามรักษาตนเองไว้ในอากาศ ออกห่างจากมารโลกาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
มีเพียงเฉพาะเกาะที่ศิลาวิญญาณกำลังจะหมดลงในเร็วๆนี้เท่านั้นที่จะต้องลดระดับความสูงของค่ายกลล่องลอยลง เพื่อรักษาศิลาวิญญาณเอาไว้
และพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมากยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุดนี้ กล่าวได้ว่ายิ่งเข้าใกล้กับโลกมารเท่าใด มันก็จะยิ่งเป็นการง่ายที่จะถูกพบตัวมากขึ้นเท่านั้น
บนเรือเหาะ
“พวกเรากำลังจะถึงในเร็วๆนี้” ว่านเอ๋อกล่าวเสียงกระซิบ
กู่ฉิงซานถอนสายตาออก และมองไปยังเบื้องหน้า
ภูเขากำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
ที่นั่นคือนิกายกวงหยาง
ในที่สุดก็มาถึงที่นี่เสียที
กู่ฉิงซานหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้น ทำเช่นนี้อยู่ซ้ำๆหลายครั้ง
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” ฉินรั่วเอ่ยถาม
“กำลังพยายามเข้าสู่สภาวะนักแสดงอย่างเต็มรูปแบบน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ
ณ ขณะนี้ บนภูเขา ได้ปรากฏสองกระแสแสงบินเข้ามา
หนึ่งในสองกระแสแสง ภายในมีผู้คนอยู่หลายคน มันค่อยๆบินผ่านไปอย่างช้าๆ ก่อนจะพุ่งออกสู่ท้องฟ้าอันกว้างไกล
เมื่อครูู่คือเรือเหาะขนาดใหญ่ที่บรรทุกวัสดุและสินค้าจำนวนมาก
ฉินรั่วอธิบายว่า “นั่นเป็นเรือสินค้าที่ใช้แลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาชนิดพิเศษของอาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจำเป็นต้องพึ่งเม็ดยาพิเศษเหล่านั้นเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้”
สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง ปากเอ่ยถาม “แล้วมีนิกายใดบ้างที่เรือสินค้าลำนี้มุ่งไป?”
“ ‘ลั่วชาเฟิง’ เป็นนิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้”
“แล้วนิกายใหญ่อื่นๆล่ะ?”
“ไม่ตายจากก็หลบหนีไปแล้ว”
“หลบหนี?”
“มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป นั่นคือการให้เกาะทั้งเกาะทะลุความว่างเปล่าและออกจากอาณาเขตของโลกใบนี้ไป แต่วิธีการดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรขนาดใหญ่และผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังมากๆ ดังนั้นจึงมีเพียงนิกายใหญ่เท่านั้นที่ทำได้”
กู่ฉิงซานเริ่มขบคิด
อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต
แต่ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าจำเป็นต้องใช้ยารักษาระดับสูง ซึ่งนิกายกวงหยางไม่อาจกลั่นออกมาได้
และนิกายก็ทำการจัดส่งเรือสินค้าออกไปยังนิกายลั่วชาเฟิงอยู่เสมอทำการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษา
แต่กลับเห็นแค่เพียงกระแสแสงแรกที่บินผ่านไป ขณะที่อีกกระแสแสงหยุดลงตรงหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ
พร้อมกับร่างของผู้ฝึกยุทธที่สวมหมวกไม้ไผ่ปรากฏกายขึ้น โค้งคำนับให้แก่เขา
“ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี” ผู้ฝึกยุทธกล่าวด้วยความเคารพ
พวกเขามองไปทางฉีหยานเพียงวูบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ดวงตาของทั้งหมดจะถูกดึงดูดโดยฉานนู่ที่กำลังปลอมตัวเป็น ‘กู่ฉิงซาน’ อยู่ในขณะนี้
คนแปลกหน้า?
ปรมาจารย์ตำหนักฉี จู่ๆก็นำคนแปลกหน้ากลับมายังภูเขาอย่างกระทันหัน
ชายแปลกหน้าผู้นี้มีสถานะอันใดกัน?
ขณะขบคิด ว่านเอ๋อก็ควบคุมเรือเหาะบินผ่านพวกเขาไป
เหล่าผู้ฝึกยุทธได้สติกลับคืน และรีบร้อนใช้ออกด้วยหลายวิชาลับ เพื่อทำการเปิดประตูนิกายที่ถูกปกปักษ์ไปด้วยค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาทันที
เรือเหาะกลายเป็นกระแสแสงบินผ่านประตูไป มุ่งตรงสู่ส่วนยอดของภูเขาลอยฟ้า
ระหว่างทาง ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่พบเห็นเรือเหาะนี้ ต่างหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม โค้งกายคารวะ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพทันที “ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี”
แต่กู่ฉิงซานกลับมิได้ตอบอะไรกลับไปสักคำ
ใบหน้าของเขาถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่ ขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยร่องรอยจางๆของเจตนาฆ่าออกมา ท่าทีการแสดงออกแลดูมืดมนและหยิ่งผยอง
ทุกคนเห็นแค่เพียง ‘ฉีหยาน’ ที่มองออกไปเบื้องหน้า ขณะที่มือข้างหนึ่งยื่นออกไปคว้าจับมือเล็กๆของฉินรั่วและลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา
ฉินรั่วที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาส่งยิ้มกลับมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างยกถ้วยชาวิญญาณขึ้นมาป้อนลงบนริมฝีปากของเขา
นี่เป็นฉากธรรมดาที่พบเห็นได้เป็นประจำ
ฉีหยานทำเช่นนี้เสมอมา
เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็คุ้นเคยกับมันดี
พวกเขาเพียงเหลือบมอง และเบนสายตาออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงเกินฉีหยาน
จากนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็หันมาให้ความสนใจกับ ‘กู่ฉิงซาน’ ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า คนแล้วคนเล่าเริ่มกวาดจิตสัมผัสเทวะลงใส่เขา
—ชายผู้นี้คือใครกัน? เหตุใดปรมาจารย์ตำหนักฉีจึงถึงขั้นต้องนำพามายังภูเขาด้วย?
เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดคำถามนี้ขึ้นในจิตใจ
พวกเขาเพ่งมอง ‘กู่ฉิงซาน’ อย่างรอบคอบ เพื่อต้องการที่จะได้ทราบบางสิ่งบางอย่างจากเขา
แต่กลับเห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่ยืนอยู่บนเรือเหาะด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก
เรือเหาะบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสายตาและจิตสัมผัสเทวะของเหล่าผู้ฝึกยุทธเอาไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ช่วงบนของเกาะลอยฟ้า
แล้วว่านเอ๋อก็ทำการเก็บเรือเหาะกลับคืน
ที่นี่คือพื้นที่ศูนย์กลางของนิกายกวงหยาง และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นบิน
ทั้งสี่คนลดระดับลง เดินผ่านสิ่งปลูกสร้างหลายหลัง ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าลานกว้าง
ฉินรั่วโบกมืออย่างอ่อนโยน ใช้ออกด้วยวิชาลับ
เหนือลานกว้างขึ้นไปบังเกิดประกายสาดแสงลงมาทันใด
“นายน้อย พวกเรากลับมาถึงบ้านแล้ว” ฉินรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
กู่ฉิงซานแค่ส่งเสียงรับเบาๆลอดผ่านโพรงจมูก “หึ”
เขาก้าวนำไปข้างหน้า ตามด้วยฉานนู่ และสองสาวใช้ที่อยู่หลังสุด
เมื่อว่านเอ๋อที่เป็นคนสุดท้ายเข้ามาในประตู เธอเร่งหันหลังกลับไปแล้วจีบเข้าด้วยวิชาลับทันที
แสงสวรรค์สาดประกาย ลานกว้างหายไปในความว่างเปล่า
ค่ายกลเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง
ประตูถูกปิดลง
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อถอนหายใจยาวโล่งอก
“พวกเราได้ผ่านด่านแรกเข้ามาโดยสมบูรณ์แล้ว” ว่านเอ๋อตบหน้าอกตนเองด้วยความยินดี