Ep.561 – การแตกตัวของผีแห่งความอลหม่าน
“คนเหล่านี้ .. ตายกันหมดเลยหรือ?”
ลอร่าเอ่ยถามด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าศพที่ยังคงอยู่ในกริยานิ่งงันราวกับตายไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย
เขาสัมผัสได้ว่าร่างน้อยๆบนไหล่กำลังสั่นไหว ตนจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “รูปลักษณ์พวกเขาเกือบจะเหมือนกับกระหม่อมเลย ต่างกันก็ตรงที่สีผิวเท่านั้นเอง”
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็เทพบรรพกาลน่ะมักจะสร้างอารยธรรมขึ้นมาโดยอ้างอิงจากลักษณะของตนเอง ดังนั้นในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้น รูปลักษณ์ของมนุษย์จึงเป็นที่เคารพและมักจะนิยมแปลงกายกันเป็นอย่างมากนั่นเอง” ลอร่าอธิบาย เธอถูกดึงดูดโดยหัวข้อใหม่จริงๆ
“เช่นนั้นแล้ว รูปลักษณ์ดั้งเดิมของฝ่าบาทเป็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ก็แบบนี้ไง –”
ขณะกล่าว จู่ๆก็ปรากฏคู่ปีกสีเขียวเข้มออกมาจากหลังของเธอ
“สีเขียวเข้มนี้เป็นที่นิยมกันมาก ในปีที่วิหคหนามแต่ละตนได้รับการฉลองขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พอเราอายุสิบสองปี เราก็เลยย้อมมัน — ซึ่งอันที่จริงแล้ว สีปีกเดิมของเราคือสีเขียวโปร่งใส” เธอตอบ
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยปากถาม “แต่ทั้งสองมันก็มีสีเขียวเหมือนกันมิใช่หรือ แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร?”
“ … ไม่ละเอียดอ่อนเอาเสียเลย เราไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว”
ลอร่าหุบปีกของเธอ และเก็บมันกลับคืน
ถึงจะถูกด่าแต่ก็นับว่าได้ผล เพราะความหวาดกลัวของเธอ ดูเหมือนจะลดน้อยลงไปมากแล้ว
“ข้าคิดว่า — ” ม้าทมิฬสูดหายใจลึก ฝีเท้าของมันหยุดลงอย่างกระทันหัน
ความสนใจของกู่ฉิงซานกับลอร่าก็ถูกดึงดูดไปในเวลาเดียวกัน
“เหตุใดนับตั้งแต่ที่พวกท่านเรียกข้ามา จึงพานพบแต่สถานการณ์อันตรายเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ข้ายังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศร้ายแรง อย่างไรก็ตาม บรรยากาศร้ายแรงกลับหายไปแล้ว … ”ม้าเอ่ยถาม
“ในความเป็นจริง ระหว่างการเดินทางมายังที่นี่ ตัวเราเองก็เฉียดตายอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้”
ลอร่าวางมือของเธอลงบนไหล่ของกู่ฉิงซานและกล่าวต่อ
“—เราเองก็เหมือนกับเจ้า สับสนอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อร่วมเดินทางไปกับเขา รู้สึกตัวอีกที ก็มาถึงที่นี่แล้ว”
“หากเขาไม่สามารถช่วยท่านได้ล่ะ?” ม้าทมิฬเอ่ยถาม
“เช่นนั้นเราคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากความตาย” ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานเมื่อเห็นว่าลอร่าถูกดึงดูดโดยเรื่องอื่นจนหายหวาดกลัวแล้ว เขาก็เบนความสนใจไปยังศพเหล่านั้น
และคิดว่าตนเองสมควรที่จะตรวจสอบมัน
กู่ฉิงซานเอี้ยวตัวจากหลังม้า แล้วตบฝ่ามือตนลงบนหน้าผากของศพร่างสูงที่อยู่ใกล้ๆอย่างแผ่วเบา
พลังวิญญาณจากทั้งร่างกายถูกกระตุ้น มันกวาดเข้าไปสำรวจในศพของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม เขากลับพบว่าอวัยวะของศพยังอยู่ในสภาพดี และไม่มีอาการบาดเจ็บภายในใดๆเลย
ศพนี้ยังคงอบอุ่นอยู่ด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าพึ่งจะตายลงเมื่อไม่นานมานี้เอง
ถ้าเป็นอย่างงั้นล่ะก็ …
หมายความว่านี่เป็นการโจมตีเข้าใส่จิตเทวะโดยตรงใช่หรือไม่?
หากเป็นในกรณีนี้ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของพวกภูติผีก็เป็นได้
“ว่าแต่พวกผีแห่งความอลหม่านมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ท่านพ่อของเรารู้ ครั้งหนึ่งเราเคยถามท่าน แต่หลังจากถามแล้วท่านก็กินอะไรไม่ลงไปทั้งวันเลย เราจึงไม่คิดจะถามอีก” ลอร่ากล่าว
กู่ฉิงซานมองไปยังดาบพิภพ
ดาบพิภพตอบเขา “มันคือการผสมกันระหว่างผีหลากหลายชนิด เจ้าก็ลองจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเองก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องการจะพูดถึงกระบวนการของมันอีกต่อไป”
“ก็ได้ๆ ถ้าอย่างงั้นขอเปลี่ยนคำถาม ว่าหลังจากที่ผีแห่งความอลหม่านตายลง พวกมันจะหายไปโดยสมบูรณ์เลยไหม? เจ้าน่าจะรู้นะ เพราะอย่างในเรื่องที่ว่ามันถูกสังเคราะห์มาจากผีหลากหลายชนิดผสมกันเจ้ายังรู้เลย” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง
“สำหรับเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่กระจ่างนัก เพราะมันแทบจะไม่มีใครเคยสังหารผีแห่งความอลหม่านได้มาก่อนเลย” ดาบพิภพกล่าว
“ใช่ เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครรู้คำตอบที่ว่านั่นหรอก” ลอร่าเสริม
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงฉากที่เขาสังหารผีแห่งความอลหม่านลง
มันถูกรังสีดาบตัดออกเป็นชิ้นๆ และหายไปอย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ
ทว่าทุกคนที่นี่ ทั้งหมดกลับเสียชีวิตโดยการถูกโจมตีจิตเทวะ
และพวกภูติผีน่ะ มักจะเชี่ยวชาญในการโจมตีจิตเทวะมากเป็นพิเศษ-
ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้านี้ มันอาจจะหมายความว่า …
มีผีตนใหม่เกิดขึ้นมาจากร่างที่แตกสลายของผีแห่งความอลหม่านใช่รึเปล่านะ?
หรือว่ายังมีผีตนอื่นๆที่สามารถบุกโจมตีโลกใบนี้ได้อีกกันแน่?
ไม่น่าใช่ เพราะโลกใบนี้มีกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพคอยขัดขวางอยู่ มันสมควรที่จะหนาแน่นและทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ต้นกำเนิดจะสามารถคิดหาวิธีจัดการกับกำแพงอุปสรรคนี้ลงได้
ภูติผีอย่างงั้นหรือ ….
พอคิดมาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็กระตุ้นพลังวิญญาณปกคลุมทั้งร่างกาย และระเบิดกำลังรบออกมาเต็มทั้งสิบส่วนในทันใด
เขาเป็นผู้ที่สามารถปลดผนึกธาตุสายฟ้าซึ่งอยู่ในห้าธาตุจำเพาะได้ ดังนั้นเมื่ออยู่ในสภาวะพร้อมรบ ตลอดทั้งร่างของตนจึงถูกห่อหุ้มไปด้วยชั้นแสงสีน้ำเงินขาวทันที
นี่คือแก่นแท้พลังวิญญาณของธาตุ หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันว่า ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าสิ่งชั่วร้าย!
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร?” ลอร่าตกใจ
“พวกภูติผีน่ะ โดยเนื้อแท้แล้วมันกลัวสายฟ้า และกระหม่อมต้องการที่จะตรวจสอบสถานการณ์ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
มองไปยังกู่ฉิงซานที่ตะคอกคำหนึ่ง “จงกระจายตัวออกไป!”
ดาบเช่าหยิน ดาบพิภพ และดาบขุนเขาเทวะหกโลกา กระจายตัวออกเป็นสามทิศทาง และหายไปในทันที
สามดาบบินไปอย่างรวดเร็วในความว่างเปล่า
พวกมันตีวงไปบริเวณโดยรอบ ขณะเดียวกันก็ทยอยกันปลดปล่อยเทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จู่ๆเสียงระเบิดดังสนั่นของปราณดาบก็ปะทุออกมา
ร่างเงาดาบสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดกำลังผลิดอกดั่งบัวบานสะพรั่งในอากาศ
สถานที่ใดก็ตามที่ดาบบินพุ่งผ่านไป พื้นที่โดยรอบของมันจะถูกเติมเต็มไปด้วยรังสีดาบทันที
กู่ฉิงซานเริ่มขับเคลื่อนสายฟ้าอย่างเงียบๆ ปลดปล่อยเทคนิคดาบออกไปอีกครั้ง!
คราวนี้ร่างเงาดาบสีดำที่ผลิบาน พลันถูกห่อหุ้มปกคลุมไปด้วยสีน้ำเงินขาวอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า พื้นที่ทั้งหมดที่ดาบบินพุ่งผ่านก็ถูกปกคลุมไปด้วยรังสีดาบสายฟ้าโดยสมบูรณ์!
สายฟ้าแผ่ขยายตัว สาดแสงระยับ ขับไล่ความมืดมิดออกจากผืนดิน
ช่วงเวลาหนึ่ง ตลอดทั้งใจกลางเมืองก็สว่างไสวไม่แตกต่างจากกลางวัน
ผ่านไปสักพัก จู่ๆร่างศพตนหนึ่งที่นิ่งงันอยู่บนพื้นดินก็เริ่มกระติกไหว
และกู่ฉิงซานก็สามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนั้นได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาสาดประกายคมกล้าขึ้นทันที
พร้อมกันกับเสียงสายฟ้าฟาด! ดาบพิภพจะโฉบเข้ามา และสะบั้นสับดาบสายฟ้าลงไปทันที
ขณะที่ดาบเช่าหยินโคจรรอบร่างศพ เวียนวนตัดอากาศโดยรอบจนกลายเป็นเส้นแสงสายฟ้าอันงดงาม
ส่วนดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็คอยสนับสนุนทั้งสอง
สามดาบร่วมมือกัน ก่อร่างกับดักกรงสายฟ้าขึ้นมา และปกคลุมรอบตัวศพโดยสมบูรณ์
ภายในกับดักกรงสายฟ้า ร่างศพเริ่มเคลื่อนไหวฉับพลัน
เงามืดขนาดใหญ่บินออกจากศพ และปะทะเข้ากับดาบสายฟ้า
เปรี๊ยะ! ซี่ ซี่ ซี่!
รังสีดาบที่เวียนวน ตัดเฉือนลงบนตัวของเงามืดจนเกิดควันสีขาวคลุ้งลอยออกมา
เงามืดกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
–มันเป็นผีจริงๆด้วย!
มีเพียงผีเท่านั้ที่จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหากสัมผัสโดนกับพลังธาตุสายฟ้า!
กู่ฉิงซานเริ่มมั่นใจในการคาดเดาของเขามากขึ้น
เห็นแค่เพียงเงามืดที่ดีดตัวกลับ และเดินวนไปมาด้วยความกระวนกระวายภายใต้กับดักกรงสายฟ้า
กู่ฉิงซานเพ่งสำรวจมันอย่างระมัดระวัง และพบว่าเงามืดตนนี้ ประกอบไปด้วยเงามืดหลากหลายตัวที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดกลับซ้อนทับๆลงในร่างเดียวกันอย่างน่าฉงน
ฉานนู่ปรากฏกายขึ้น แล้วหันไปพูดกับกู่ฉิงซาน “นายน้อย นี่คือมอนสเตอร์จากในปรภพ มันคือร่างที่ควบรวม ผีร้ายกลืนวิญญาณทั้ง 13 ชนิดเข้าด้วยกัน พวกมันมักจะกัดกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร”
“ทำไมในปรภพถึงมีสิ่งที่น่ากลัวแบบนี้อยู่? ครั้งก่อนที่ข้าไปไม่เห็นจะเจอมันเลย” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“คราก่อนที่ท่านไป หอกหลากสีได้สังหารทุกสิ่งในปรภพไปจนสิ้นแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ท่านจะไม่ได้เห็นมัน”
“แล้วเราพอจะสามารถสื่อสารกับพวกมันได้ไหม?” กู่ฉิงซานถาม
“ไม่ได้ พวกมันได้สูญเสียจิตนึกคิดไปแล้ว พวกมันรู้จักเพียงแต่การฆ่าเท่านั้น” ฉานนู่ส่ายหัว
“พวกมันเป็นผลที่เกิดมาจากการแตกตัวของผีแห่งความอลหม่านใช่รึเปล่า?”
“มีความเป็นไปได้ แต่หากเป็นในกรณีนั้นแล้วล่ะก็ … ”
ใบหน้าของฉานนู่เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว
กู่ฉิงซานตระหนักได้อย่างรวดเร็ว เขาเร่งเอ่ยถามดาบพิภพ “ผีแห่งความอลหม่านเกิดจากการผสานรวมของภูติผีหลากหลายชนิดใช่หรือไม่ แล้วภายในตัวมันมีภูติผีอยู่กี่ชนิดกัน?”
ดาบพิภพกล่าว “ในนรกมี 808 ผีนักรบ และอีก 1600 สัตว์ประหลาดผีร้าย มีหลากชนิดมากที่ผสมกันในตัวของผีแห่งความอลหม่าน ไม่อาจคาดคำนวณอย่างแม่นยำได้ ทว่าที่แน่ๆคือไม่น้อยกว่าครึ่งของที่กล่าวมา มิฉะนั้นกระบนการสังเคราะห์ผีแห่งความอลหม่านคงไม่มีทางสำเร็จ”
หัวในของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง
หากสันนิษฐานตามที่กล่าวอ้างอิงมา นั่นหมายความว่าภายในร่างของผีแห่งความอลหม่าน … อย่างน้อยก็ต้องมีผีร้ายกว่า 1204 ตนอยู่ในตัว!
“เมื่อกี้นี้ฉันสังหารผีแห่งความอลหม่านไปทั้งหมด 11 ตัว … ”
เขาบ่นพึมพำ
หากผีแห่งความอลหม่านทั้งหมดที่ถูกสังหารไป แตกตัวกองทัพผีร้ายในร่างมันได้แล้วล่ะก็ ในสถานการณ์แบบนี้ …
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลอร่าก็ลองโน้มตัวลง ลองเงี่ยหูฟัง และร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้
เพราะดูเหมือนว่าจะมีเสียงแปลกๆดังอยู่บริเวณมุมถนนตรงหน้า
“พวกเราคงต้องพักการสนทนากันเอาไว้ก่อนชั่วคราว”
กู่ฉิงซานวางลอร่าบนหลังม้า และพลิกตัวลงไป
เขาโบกมือในทันใด สามดาบพลันระเบิดกระโจมตีอย่างรุนแรง สังหารผีร้ายกลืนวิญญาณทั้ง 13 ชนิดที่ซ้อนทับกันลงทันที
สามดาบบินกลับมา และแขวนอยู่ในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ
“กระหม่อมจะออกไปสำรวจดู ขอฝ่าบาทเฝ้ารออยู่ที่นี่” เขาพูดกับลอร่า และหันไปส่งสัญญาณให้ม้าทมิฬ
ลอร่าหันไปมองรอบๆ
นอกเหนือไปจากกู่ฉิงซานและเธอ ก็ไม่มีใครที่ยังมีชีวิตอยู่อีกเลย แถมไม่ใกล้ไม่ไกลก็ยังเต็มไปด้วยซากศพมากมาย
และศพเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในกริยาเคลื่อนไหวก่อนตาย อยู่ในท่วงท่ากิจวัตรช่วงที่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่
การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาแม้จะดูเรียบเฉย แต่หากสังเกตดีๆจะพบว่ามันดูเจ็บปวดยิ่ง คล้ายกับจู่ๆก็พบเจอกับอาการหวาดกลัวสุดขีด
เป็นความเงียบงันแห่งความตาย
ท่ามกลางความมืดมิด มันเงียบชนิดตลอดทั้งเมืองได้ตายไปแล้ว
สายลมเย็นพัดหวิว
ถ้าหากผีแห่งความอลหม่านแตกตัวผีร้ายนับไม่ถ้วนออกไปจริงๆ …
ลอร่าเพียงแค่คิด ตัวของเธอก็สั่นกลัว ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
“กู่ฉิงซาน เรากลัว” ลอร่าเริ่มจะร้องไห้
“ไม่ต้องวิตกไป กระหม่อมแค่แวะออกไปดู และจะรีบกลับมาทันที” กู่ฉิงซานกล่าว
แต่ลอร่ากลับน้ำตาเริ่มไหล ซู้ดน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูกของเธอ “เรากลัวจริงๆนะ”
กู่ฉิงซานจึงต้องเดินกลับมา และวางเธอลงบนไหล่ของเขาอีกครั้ง
“สบายใจรึยัง?” เขาถาม
ลอร่าพยักหน้าอย่างแรง
“ฉันจะไปตรวจสอบกับเธอ ส่วนเจ้าก็รออยู่ที่นี่นะ เข้าใจไหม” กู่ฉิงซานหันไปพูดกับม้าทมิฬ
แล้วเขาก็พาลอร่าตรงไปข้างหน้า
ม้าทมิฬจ้องมองแผ่นหลังของทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองสำรวจรอบๆ
ทางด้านขวาของมัน อยู่ห่างออกไปราวๆสามสิบเมตร เป็นร่างศพที่กำลังจ้องมองมาพอดิบพอดี ภายในดวงตาของศพเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ามุมปากของศพจะยกสูงขึ้นเล็กน้อย
หือ? เจ้าศพนั่นมันกำลังยิ้มอยู่งั้นรึ?
ม้าทมิฬเบิกตากว้าง เพ่งมองไปอย่างรอบคอบ แต่ก็พบว่าสีหน้าของร่างศพมีเพียงความหวาดกลัว และสิ้นหวัง มิได้เผยออกมาถึงรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย
ม้าทมิฬเงียบไปและถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าม้ากลัวไม่เป็นกันรึไง?”
ว่าจบ มันก็เร่งร้อนตามกู่ฉิงซานกับลอร่าไปอย่างรวดเร็ว