Ep.578 – ทำความรู้จัก(ต้น)
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย
อีเลียเป็นถึงนายพลหนามที่มีชื่อเสียงมานานนม ดังนั้นความแข็งแกร่งของเธอย่อมไม่เพียงอยู่ในขั้นธรรมดา แต่ยังโดดเด่นเป็นพิเศษ
แม้จะได้รับบาดเจ็บ และถูกผีแห่งความอลหม่านกับกองทัพสัตว์ประหลาดผีนับล้านปิดล้อม แต่เธอก็ยังสามารถต้านทาน ปกปักษ์เมืองเอาไว้จนกระทั่งตัวเขามาถึง
ดังนั้น ถ้าหากเธอต้องการจะทุบตีฉันจริงๆแล้วล่ะก็ …
คงมีแต่จะต้องใช้สกิลเทวะ หลบหนีไปเท่านั้น
หลังจากขบคิดคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา สุดท้ายกู่ฉิงซานก็ตัดสินใจยืนรออยู่ที่เดิม
ไม่นานนัก อีเลียก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“เม็ดยารักษาของเจ้าไม่เลวเลย อาการบาดเจ็บของข้าดีขึ้นมากทีเดียว” เธอกล่าวยกย่อง
กู่ฉิงซานพยักหน้า น้อมรับคำชื่นชม
ใช่แล้วล่ะ สำหรับอารยธรรมของโลกผู้ใช้วรยุทธน่ะ ความแข็งแกร่งรายบุคคลของพวกเขามิได้มากมายเท่าไหร่ก็จริง
—โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่กู่ฉิงซานได้พบเจอกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญในโลกตลอดทั้ง 900 ล้านชั้น ประเด็นในเรื่องนี้ก็ยิ่งเด่นชัด
อย่างไรก็ตาม แม้เหล่าผู้ฝึกยุทธจะอ่อนแอ แต่เหตุผลที่ในโลกของพวกเขาสามารถทานรับการบุกโจมตีของเผ่ามารมาได้นานนับสิบปี นั่นก็เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญในอารยธรรมที่เรียกกันว่าหกศิลป์
เทคนิคทำนายชะตา , จัดวางค่ายกล , กลั่นเม็ดยารักษา , หลอมอาวุธ , สร้างยันต์ และสุดท้ายปรุงอาหารวิญญาณ
ซึ่งความแข็งแกร่งของอารยธรรมได้มาบรรจบกันที่หกศิลป์นี้ พวกมันถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยผู้ฝึกยุทธ และกลายมาเป็นรากฐานสำหรับความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
“ตอนนี้ พวกเราคงสามารถเริ่มดำเนินการ ไปตรวจสอบดูว่าพวกสัตว์ประหลาดผีคิดจะทำอะไรต่อไปได้แล้วใช่ไหม?” อีเลียเอ่ยถาม
“ใช่ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
แต่แทนที่จะเริ่มออกเดินทาง เขากลับเรียกดาบยาวเล่มหนึ่งออกมา
-ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา
ดาบยาวสาดประกาย โฉบไปมาในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายร่างเป็นฉานนู่
“นายน้อย ท่านเรียกหาข้า ต้องการให้รับใช้อันใด?” ฉานนู่เอ่ยถาม
“หากผีแห่งความอลหม่านบุกโจมตี คนอื่นๆจะไม่สามารถรับมือกับมันได้ ดังนั้นเจ้าจึงจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ เพื่อปกป้องและดูแลลอร่า”
“เจ้าค่ะ”
“ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะต้องใช้จิตสัมผัสเทวะแจ้งให้ข้าทราบทันที อ้อ และข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถใช้ทักษะทั้งหมดของข้าในการรับมือกับศัตรู”
“เข้าใจแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ฉานนู่รับคำ
พอได้ฝากฝังกับคนที่เชื่อถือ กู่ฉิงซานก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย
ดาบบินกับเจ้าของจะมีความรู้สึกที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ด้วยจิตสัมผัสเทวะ ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้น ฉานนู่ก็จะสามารถเรียกตัวเขาได้ตลอดเวลา ขณะที่เธอคอยถ่วงเวลาไปพลางๆ
ด้วยกู่ฉิงซานที่มีสกิลเทวะอันยอดเยี่ยมอย่าง ‘ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว’ ดังนั้นหากจะล่าถอยกลับมาจากสถานที่อื่น ก็คงจะใช้เวลาไม่นานนัก
เมื่อเห็นถึงความรอบคอบของเขา อีเลียก็ลอบพยักหน้าอย่างลับๆ
“พร้อมแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
อีเลีย “เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองบินข้ามผ่านกำแพงเมือง และร่อนมาตามทิศทางที่สัตว์ประหลาดผีล่าถอย
กู่ฉิงซานเดิมคิดจะใช้เรือเหาะเป็นเครื่องทุ่นแรงในการเดินทาง แต่สุดท้ายเขาก็มิได้นำมันออกมา
เพราะอย่างไรเสีย นี่ก็เป็นการสืบสถานการณ์ ดังนั้นจึงสมควรใส่ใจกับการหลบซ่อนตลอดเวลา แน่นอนว่าอีเลียก็รู้ถึงเรื่องนี้ดีเช่นกัน เธอเลยไม่คิดเรียกสัตว์ขี่ของตนเองออกมา
ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืน ทั้งสองบินลงมายังที่ราบลุ่มอย่างรวดเร็ว
และเมื่อใกล้ถึงสุดขอบที่ราบลุ่ม จึงค่อยชะลอตัวลง
บริเวณนี้ คือตำแหน่งที่ภูติผีได้มารวมตัวกัน และถูกข่มจนแตกพ่ายไปโดยกู่ฉิงซาน
ปรากฏถึงร่องรอยเท้าของ สัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไปบนพื้นดิน
“เจ้าคิดว่าพวกมันจะทำอะไรต่อไป?” อีเลียถาม
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมพึ่งได้เจอกับพวกมันแค่ไม่กี่ครั้งเอง เลยยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับอุปนิสัยของพวกมันสักเท่าไหร่”
กู่ฉิงซานกล่าวไปตามความจริง
ผีแห่งความอลหม่านน่ะเป็นอสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลที่พิเศษออกไป มันครอบครองพลังที่สามารถเจาะทะลวงทุกสิ่งได้
หลังจากที่มันเข้าสู่โลกใบนี้ กู่ฉิงซานก็เผลอสังหารมันลงโดยไม่รู้ตัวเลยว่านั่นจะเป็นการปลดปล่อยสัตว์ประหลาดผีจากในปรภพเป็นจำนวนมากออกมา แถมพวกมันยังมีความสามารถในการอัญเชิญสัตว์ประหลาดผีตนอื่นๆจากภายนอกเข้ามาได้อีกด้วย
มอนสเตอร์ที่พิเศษเช่นนี้ กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังพึ่งจะเคยพบเจอเป็นครั้งแรก
อีเลียถอนหายใจและกล่าว “ตัวข้าเองก็พึ่งเคยพานพบกับเหล่าภูติผีจากหกวิถีมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ดูเหมือนว่าเราคงจำเป็นต้องหาพวกมันให้เจอเสียแล้ว จึงจะรู้ว่าพวกมันคิดจะทำอะไรต่อไป“
ว่าจบ เธอก็คว้าสองกริชยาวที่แผ่ไอหมอกเย็นเยียบออกมาจากเบื้องหลัง
ขณะที่กู่ฉิงซานคว้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า เรียกเช่าหยินออกมาไว้ในมือ
อีเลียจ้องไปยังดาบเช่าหยิน
“ลอร่ากล่าวว่าเจ้าครอบครองดาบยาวชั้นตำนานถึงสามเล่ม เธอรู้สึกอิจฉาไม่น้อยเลย“
โดยทั่วไปแล้ว วัตถุในดินแดนอัศจรรย์ จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับชั้น ได้แก่ : ประหลาด , มหากาพย์ , ตำนาน และสุดท้าย สิ่งประดิษฐ์เทวะ
ไอเท็มระดับชั้นประหลาด ในสายตาของวิหคหนามจะมองว่ามันเป็นของธรรมดาชิ้นหนึ่งเท่านั้น ขณะที่ในโลกอื่นมันจะถูกเรียกว่าเป็นไอเท็มชั้นหนึ่ง
ส่วนไอเท็มระดับชั้นมหากาพย์ ไม่ว่ามันจะปรากฏขึ้นที่ใดในโลก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติที่ทุกคนปรารถนา
ดาบพิภพ เช่าหยิน และหกขุนเขาเทวะ ทั้งสามดาบนี้ ได้ถูกตัดสินโดยลอร่าว่าเป็นอาวุธระดับชั้นตำนาน
ดังนั้น ยามใดก็ตามที่กู่ฉิงซานกุมดาบขึ้นมา ลอร่าจึงมักจ้องมองดาบของเขาด้วยน้ำลายสออยู่เสมอ
“โอ้ใช่ เธอต้องการที่จะแลกเปลี่ยนมันกับผมอยู่เสมอ แต่สามดาบนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีไว้ใช้หากินสำหรับผม ดังนั้นคงจะมอบมันให้แก่เธอไม่ได้” กู่ฉิงซานหัวเราะ
“แต่จากนี้ไป ขอเจ้าจงระมัดระวังตัวให้ดี อาวุธดาบเลอค่าเช่นนี้ ย่อมสามารถดึงดูดผู้คนที่ปรารถนาในมันได้อย่างง่ายดาย” อีเลียเตือน
“ผมเข้าใจแล้ว”
อีเลียเปลี่ยนหัวข้อสนทนากระทันหัน “ต่อจากนี้ไปพวกเราจะแทรกซึมเข้าไปในค่ายศัตรู แต่เนื่องจากทั้งเจ้าและข้ายังไม่กระจ่างในความแข็งแกร่งของกันและกัน ดังนั้นหากจะร่วมมือกันทั้งๆแบบนี้มันคงไม่ดี”
“คุณต้องการจะสื่ออะไร?”
“ก็ทำไมพวกเราถึงไม่ทำสิ่งที่โลกของเจ้าเรียกกันว่า ‘แลกเปลี่ยนวรยุทธ’ กันเล่า จะได้เข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้นไง?” อีเลียกล่าว
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ความคิดของเขาโบยบินออกไป
อีเลียเป็นถึงนายพลสงครามแห่งอาณาจักรหนาม และถูกเรียกว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเคียงคู่ไปกับทริสเต้
กล่าวได้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของเธอ ไม่ว่าจะไปที่โลกใดก็ย่อมเป็นตัวตนที่โดดเด่น
แต่จู่ๆเธอก็มาท้าเข้าสู้อย่างกระทัน …
ชิบหายแล้วไง สงสัยว่าจะยังคงเคืองเรื่องขี้แตกอยู่จริงๆด้วย …
“แล้วผมจะไปเอาชนะคุณได้ยังไง” กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวต่อ “ตอนนี้พวกเราสมควรที่จะตรวจสอบศัตรูกันไม่ใช่หรือ เรื่องแลกเปลี่ยนวรยุทธอะไรนั่นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน”
“ก็แค่แลกเปลี่ยนกันเล็กๆน้อยๆน่า วางใจเถอะ พวกเราจะสู้กันแค่สิบกระบวนท่าเท่านั้น หลังจากจบกระบวนที่สิบ เราจะหยุดทันที”
อีเลียมองกู่ฉิงซานและกล่าว “มาเถอะ ข้าจะระงับความแข็งแกร่งของตนลง ให้มันอยู่ในขอบเขตเดียวกันกับเจ้าเป็นอย่างไร?”
ขณะกล่าว แรงกดดันในร่างกายเธอก็ค่อยๆถดถอยลง ความผันผวนของพลังจากทั้งคนทั้งร่างลดต่ำลงจนเท่าเทียมกับกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
ดูเหมือนว่างานคงจะไม่เริ่ม ถ้าการต่อสู้ยังไม่เกิดขึ้นสินะ?
เขาขบคิดอยู่สักพักจึงกล่าว “ถ้าคุณระงับความแข็งแกร่งลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับผม มันอาจจะเป็นปัญหาเอาได้นะ”
“ปัญหาที่ว่านั่นมันอะไร? หรือเจ้าอยากจะให้ข้าลดระดับความแข็งแกร่งลงยิ่งกว่านี้อีก?” อีเลียจ้องมองเขา
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก จริงๆแล้วผมคิดว่าคุณอาจจะพ่ายแพ้น่ะ” กู่ฉิงซานเฉลย
อีเลียที่กำลังมองเขา หัวเราะออกมา
“อ้อ งั้นเอาอย่างนี้เป็นไร เจ้าจับสิบกระบวนท่าของข้าให้ได้ แล้วค่อยเอ่ยประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง”
ทันทีที่เสียงของเธอตกลง มือของเธอก็กระพริบไหว สองกริชเริ่มถูกกวัดแกว่งออกไป
ใบมีดกริชสาดแสงพร่างพราว คล้ายกับผีเสื้อกำลังร่ายรำ บ้างปรากฏคมแหลมขึ้นในสายตา บางเวลาหายไปอย่างลึกลับ ดูเหมือนว่าหากคิดโจมตีจริงๆ เธอก็สามารถสร้างหลุมเลือดบนตัวของกู่ฉิงซานได้ตลอดเวลา
แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ ในทุกๆครั้งเมื่ออีเลียวาดสะบัดกริชทั้งสอง ทั้งคนทั้งกริชราวกับผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ร่ายระบำไปด้วยท่วงทำนองที่ยอดเยี่ยม
การเคลื่อนไหวของเธอยิ่งนานก็ยิ่งลำบากที่จะแยกแยะทิศทาง ยากนักที่จะระบุถึงความว่องไวของมันได้
กู่ฉิงซานชื่นชมเธอ ขณะเดียวกันก็เพ่งสมาธิทั้งหมดมายังดวงตาของเขา
เพื่อจะปกปิดไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นถึงการโจมตี การเคลื่อนไหวร่างกายตามปกติของเธอ จึงสอดคล้องกับท่วงท่าในการโจมตีของกริช ผสมผสานไปกับความเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร
แม้ว่าอีเลียจะจำกัดความแข็งแกร่งของเธอเอาไว้แล้วก็ตาม
แต่ทักษะและประสบการณ์ต่อสู้ของเธอก็มิได้ลดน้อยลงเลย
กู่ฉิงซานถอยห่างไปไม่กี่ก้าว เพื่อเพิ่มระยะวิสัยทัศน์ เพ่งมองมันอย่างรอบคอบ
เห็นแค่เพียงอีเลียที่มิได้ใช้ออกด้วยสกิลหรือเทคนิคมนตราใดๆ เธอเพียงอาศัยกริชในการโจมตีเท่านั้น
… แถมยังไม่ปรากฏถึงเจตนาฆ่าแม้แต่น้อย
เหมือนกับว่าเธอกำลังประเมินสถานการณ์อยู่
ขณะที่ตัวกู่ฉิงซานไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคลับของกริช และกลยุทธ์การโจมตีต่างๆของมันเลย
อีเลียที่เห็นเขาเดินถอยหลังไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะหนีไปทำไม? ขนาดข้าระงับความแข็งแกร่งเอาไว้แล้ว เจ้าก็ยังไม่กล้าอีกหรือ?”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ยิ้ม และยกดาบยาวขึ้น
ในเสี้ยววินาที เห็นแค่เพียงคมกล้าของดาบและกริชปะทะเข้าหากัน กดดันกันไปมา ไม่มีฝ่ายใดยินยอมล่าถอย หลังจากนั้น ทุกสิ่งที่เห็นก็เหลือเพียงภาพติดตาที่ไม่อาจบอกบรรยายได้
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ในพริบตา สิบกระบวนท่าก็ผ่านพ้นไป
เห็นแค่เพียงกริชคู่ที่ไขว้เข้าหากัน ทานรับดาบยาวที่โถมกดทับลงมา และหากสังเกตดีๆจะพบว่าด้ามกริชกำลังสั่นสะท้านอยู่
สุดท้าย อีเลียกับกริชคู่ถูกผลักออก เธอจำต้องชักฝีเท้าถอยหลังไปกว่า7-8ก้าว จึงจะสามารถรักษาสมดุลร่างกายได้
เธอมองไปยังกดู่ฉิงซานด้วยความเหลือเชื่อ “ดูเหมือนความสามารถของเจ้าจะเป็นของจริง”
-นี่เขาสามารถค้นพบจุดอ่อนในกระบวนท่าของข้าได้อย่างงั้นหรือ?
จะให้มันจบลงแค่สิบกระบวนท่าจริงๆน่ะหรือ?
ไม่ ข้าต้องการที่จะยืนยันอีกครั้ง
ในจิตใจของอีเลียได้ทำการตัดสิน พลังจากทั้งคนทั้งร่างของเธอเริ่มลุกโชนเป็นฟืนเป็นไฟ
และกู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงมัน
ปัจจุบันนี้ ความผันผวนของฝ่ายตรงข้าม มันทะลุไปไกลเกินกว่าขอบเขตประทับเทพแล้ว
มองไปยังอีเลียอีกครั้ง ปรากฏถึงการแสดงออกที่ดูกระตือรือร้น หมายมั่นตั้งใจจะทดสอบเขา
‘เฮ้อ … เอาเถอะ ลองตั้งใจสู้ดูก็แล้วกัน’ เพราะในเมื่อการต่อสู้ตามปกติ มันมักจะมีความเป็นความตายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ จึงไม่มีศัตรูเก่งๆหน้าไหนเลยที่ยอมลดขอบเขตวรยุทธของตนเพื่อมาประมือกับเขา
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากอีกฝ่ายอีกด้วย
กู่ฉิงซานเมื่อคิดถึงจุดนี้ เขาก็วาดดาบยาวชี้ไปทางเธอ “ต้องการแลกเปลี่ยนกันอีกสักครั้งหรือไม่?”
“แน่นอน มาลองกันอีกครั้ง!”
อีเลียหายวับไปจากสถานที่เดิม และปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังกู่ฉิงซาน
ในมือเธอวาดกริชที่สาดประกายเย็นเยียบออกไป
เคร้ง!
กู่ฉิงซานเหวี่ยงดาบกลับไปเบื้องหลังโดยไม่คิดหันมอง พอปัดป้องได้เขาก็ปลีกตัวไปอีกทาง
“คิดจะหนีหรือ?” อีเลียยิ้ม และเริ่มโฉบตามไล่ล่า
เห็นแค่เพียงร่างสองร่างที่วูบไหวไปๆมาๆในพื้นที่แคบ และบ่อยครั้งที่มักจะปรากฏเสียงปะทะหนักทึบของคมอาวุธขึ้นเป็นครั้งคราว
ทั้งสองต่อสู้กันไปกว่าสามสิบกระบวนท่า จนท้ายที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถโถมกดดันกริชคู่ได้อีกครั้ง และระเบิดกำลังเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไป
พร้อมกับอีเลียที่กระเด็นถอยหลังตามแรงปะทะ