ณ โรงแรมอัลเบอัส
ภายในโซนที่นั่งพิเศษ
บรรยากาศเริ่มที่จะเย็นลง
แต่เมื่อเวลาเริ่มผ่านไป ผู้คนก็ค่อยๆ เริ่มตระหนักถึงบางอย่าง
สีหน้าของทริสเต้ยิ่งนานก็ยิ่งซีดเซียวลง
“ไม่นะ นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ…” เธอพึมพำด้วยความสับสน
อีเลียมองเธอและกล่าว “หลังจากที่บดขยี้ระบบของราชามารลงแล้ว ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้พวกเราออกมาเพื่อจับตัวฆาตกร”
“บดขยี้? เจ้าสามารถต่อกรกับระบบได้อย่างไร!” ทริสเต้อุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
อีเลียกล่าว “นั่นเพราะขั้นเชื้อไฟของระบบเป็นขั้นที่อ่อนแอที่สุด ดังนั้นข้าจึงได้ตระเตรียมอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพเอาไว้จำนวนหนึ่ง และเฝ้ารอให้พวกมันเข้ามาติดกับ จากนั้นก็สังหารทั้งหมดลงเสีย”
ทริสเต้จิกสายตามองเธอและกล่าว “โกหก เจ้าไม่มีอะไรแบบนั้นไว้ในครอบครองหรอก”
อีเลีย “ข้าไม่มี แต่ราชวงศ์มี”
ทริสเต้หันขวับไปทางลอร่าอย่างกะทันหัน
มองไปยังสายเลือดราชวงศ์ที่เกือบจะสูญสิ้นลง ต้นกล้าของราชวงศ์เพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่
สายตาของทริสเต้เลื่อนตกลง ชำเลืองมองไปยังกระเป๋าของลอร่า
มันเป็นกระเป๋าสีเขียวมรกตใบเล็กๆ ที่ถูกถักทอจากกิ่งและใบไม้ มิได้ดูโดดเด่นอะไร
ทว่ากระเป๋าใบนี้ แท้จริงแล้วกลับครอบครองพลังอันน่าตื่นตะลึง มันสามารถเชื่อมต่อกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามได้!
นั่นสินะ ลอร่าเป็นสายเลือดราชวงศ์หนามคนเดียวที่เหลืออยู่ และสายเลือดราชวงศ์ทุกคน ล้วนมีความสามารถสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ได้ และเธอคงจะสื่อสารผ่านทางกระเป๋าที่ถูกถักทอโดยกิ่งก้านและใบไม้ของมันใบนี้
มีเพียงลอร่าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ อนุญาตให้สามารถเรียกอาวุธของอาณาจักรหนามที่ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้มายาวนานนับหมื่นปี ข้ามผ่านมิติและเวลาออกมาใช้งานได้โดยตรง
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทริสเต้ก็เริ่มจะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ
สมบัติสะสมของราชวงศ์หนามยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้
แม้ว่าเธอจะถูกมอบหมายให้รับใช้ราชวงศ์มายาวนานหลายปี แต่เธอก็ยังไม่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับราชวงศ์ได้อย่างลึกซึ้งอยู่ดี
บางทีเกรงว่า แม้กระทั่งกษัตริย์แห่งหนามเอง เขาก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าสมบัติที่เขาครอบครองนั้นมีมากมายเพียงใด
บางที บางทีนะ มันอาจจะมีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพมากพอที่จะสามารถสังหารหมู่ผู้เข้าสู่วิถีมารกว่าสองร้อยล้านคนลงในคราวเดียวอยู่ก็เป็นได้?
‘ขั้นเชื้อไฟ…’
หัวใจของทริสเต้ค่อยๆ หม่นทะมึนลง
ในหูของเธอ เสียงอีเลียดังขึ้นอีกครั้ง
“ถึงเรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ข้าคิดว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้ ว่าหากไร้ซึ่งผู้ดาวน์โหลด ระบบก็จะถูกทำลายลง”
เธอมองไปยังทริสเต้ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เพื่อระบบขยะแบบนี้ มันคุ้มค่าถึงขั้นต้องทรยศอาณาจักรเชียวหรือ?”
ทริสเต้ราวถูกทุบตีอย่างรุนแรง เธอมิอาจโต้เถียงคำใดออกไปได้เป็นเวลานาน
ปืนกลทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเอ่ยถามเสียงดังออกมา “ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา หมายความว่าพวกเราไม่ต้องสนใจเชื้อไฟแล้วใช่ไหม?”
“ใช่”
“สรุปว่า เจ้าได้ทำลายระบบของราชามารไปแล้วใช่หรือไม่?” เลดี้เทสส์ถามย้ำ
“ใช่” อีเลียยืนยันหนักแน่น
“ให้ตายสิ…กี่ปีมาแล้วนะที่เราไม่ได้รู้สึกกังวลมากมายถึงขนาดนี้”
เธอลูบอกของตัวเอง และผ่อนลมหายใจยาว
ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานจึงได้มีจังหวะเอ่ยถามออกมา “เลดี้เทสส์ คุณพอจะสามารถอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันให้กับฝ่าบาทลอร่า และนายพลอีเลียหน่อยจะได้ไหม?”
“ได้สิ”
“สงครามขั้นแตกหักได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และสนามรบก็อยู่ห่างจากอัลเบอัสไปเพียงสามชั้นโลกเท่านั้น”
“ตัวตนทรงอำนาจของโลกเก้าร้อยล้านชั้น กองทัพขององค์กรและพันธมิตรจากที่ต่างๆ ทั้งหมดได้เข้าสู่สนามรบแล้ว”
“เวลานี้มารที่แท้จริงได้มาถึง ส่งผลให้สภาพการณ์ของสนามรบอยู่ในจุดที่ก้ำกึ่ง”
“แต่จากข้อมูลที่พวกเราเพิ่งได้รับมา ดูเหมือนว่าจอมมารที่แท้จริงก็กำลังมาเดินทางมาสมทบด้วยเช่นกัน”
“ดังนั้น นี่จึงเป็นสงครามขั้นแตกหักที่จะตัดสินชะตาของโลกทั้งเก้าร้อยล้านชั้น!”
เลดี้เทสส์วางสำเนาข้อมูลลงบนโต๊ะ และหันไปกล่าวกับเหล่าวิหคหนาม “นี่คือข่าวทั้งหมดที่ได้รับมา พวกเจ้าสามารถค่อยๆ อ่านมันได้”
“ในเมื่อเรื่องตรงส่วนนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว คงได้เวลาที่พวกเราจะไปยังสนามรบเสียที”
เธอเริ่มท่องคาถา และกำลังจะจากไป
ปืนกลเร่งกล่าว “ฉันขอไปด้วย!”
“มาเถิด” เลดี้เทสส์ตอบรับ
ปืนกลหันไปเรียกพรรคพวกของเขา มาหยุดยืนข้างเลดี้เทสส์อย่างรวดเร็ว
รังสีแสงกะพริบไหว
แล้วทั้งหมดก็จมเข้าไปในความว่างเปล่า และหายตัวไป
โซนที่นั่งพิเศษจมลงสู่ความเงียบ
อีเลียก้าวไปข้างหน้า และเริ่มร่ายคาถาผนึกลงบนตัวทริสเต้ ทับเพิ่มลงไปอีกกว่าสองถึงสามชั้น
ขณะที่ท่าทีของลอร่าแลดูสงบจนน่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่
กู่ฉิงซานค่อยๆ วางลอร่าลงบนโซฟา และปลีกตัวออกไปด้านข้าง
“กู่ฉิงซาน นั่นเจ้าจะไปไหน?” ลอร่าเอ่ยถามทันที
“ไม่ได้ไปไหนหรอก” กู่ฉิงซานตอบ
เขาเดินไปที่ถังน้ำแข็ง และหยิบขวดไวน์สีดำบริสุทธิ์ขึ้นมา
มันเป็นขวดที่เขาเพิ่งจะดื่มไปก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่โลกสมบัติของทริสเต้
เวลานี้ ในที่สุดเขาก็จะได้พักผ่อนเสียที
กู่ฉิงซานเอนตัวลงพิงบนโซฟานุ่มอย่างสบายๆ ขวดไวน์ถูกยกขึ้น และก้อนเค้กชิ้นใหญ่จากเค้กยี่สิบชั้นตรงหน้าถูกตัดออก
เขาได้ทำสิ่งต่างๆ ไปมากมายก่อนหน้านี้ ดังนั้น ปัจจุบันจึงเหนื่อยล้าเกินไป
ในเมื่อทริสเต้เองก็ถูกจับตัวได้
และระบบของราชามารก็ถูกทำลายลงแล้ว
มันจึงถึงเวลาที่กู่ฉิงซานจะได้หยุดพักเสียที
เขาทั้งกินและดื่ม เติมเต็มพลังงานให้แก่ร่างกาย และบรรเทาความตึงเครียดทางจิตวิญญาณของตนเองลง
ส่วนผสมของสิ่งที่เขากำลังกินดื่มอยู่นี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี มันเป็นของชั้นยอดจากในโลกตลอดทั้งเก้าร้อยล้านชั้น ดังนั้นการรับประทานมันย่อมมีผลดีต่อร่างกายเป็นธรรมดา
เพราะผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่เทพเทวดาที่ไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มแต่อย่างใด หากเหน็ดเหนื่อยก็ต้องเติมเต็มพลังงาน ยิ่งเพิ่งตัดผ่านขอบเขตใหญ่มาแล้วก็ยิ่งต้องกินให้มากกว่าปกติ
ดังนั้น ในบรรดาหกศิลป์จึงมีสิ่งที่เรียกกันว่า กลั่นเม็ดยาและปรุงอาหารวิญญาณรวมอยู่ด้วยนั่นเอง
“เฮ้ กู่ฉิงซาน ทำไมเจ้าถึงได้ดูขี้เกียจจัง ไม่เห็นจะมีแรงจูงใจเลย?”
ลอร่าเอียงศีรษะ มองไปที่เขา
“ก็มันไม่มีงานอะไรให้ทำแล้วนี่นา” กู่ฉิงซานเทไวน์ลงแก้ว และกระดกเข้าปาก “ฝ่าบาทก็รู้นี่ว่ากระหม่อมเพิ่งจะผ่านพ้นประสบการณ์อะไรมาบ้าง ฉะนั้นการมอบเวลาพักผ่อนเล็กน้อยให้แก่ตนเอง คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกระมัง?”
“แต่สงครามขั้นแตกหักกำลังเกิดขึ้นข้างนอกนะ” ลอร่ากล่าว
“นั่นก็จริงอยู่” กู่ฉิงซานเค้กชิ้นหนึ่งโยนเข้าไปในปากของเขา “แต่มันเป็นสงครามที่มีแต่เหล่าตัวตนทรงอำนาจของตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้นใช่ไหมล่ะ เพราะแข็งแกร่งพวกเขาจึงมีสิทธิ์เข้าสู่สนามรบ ขณะที่ความแข็งแกร่งของกระหม่อมช่างน้อยนิด…ฝ่าบาทคงไม่คิดจะให้กระหม่อมไปเข้าร่วม แส่หาเรื่องตายหรอกนะใช่ไหม?”
ลอร่าพอได้ฟังก็คิดว่า ‘เอ่อ ก็จริงของเขานะ’
เป็นเพราะกู่ฉิงซานมักจะเฟ้นหาหนทางคว้าชัยชนะในการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตสำนึกของเธอคิดไปเองโดยอัตโนมัติว่าในครั้งนี้เขาก็คงจะคิดหาวิธีรับมือเช่นกัน วิธีรับมือที่จะช่วยให้สามารถคว้าชัยชนะในสงครามครั้งนี้มาได้
ลอร่าถอนหายใจ เธอจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างไม่พอใจ
“มีอะไรอีกล่ะ?” หลังจากจิบไวน์ไปอึกใหญ่ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถาม
“เจ้าไม่คิดว่าการกินเค้กต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ มันไม่เป็นการหยาบคายหรือ?” ลอร่ากล่าวถึงปัญหาในที่สุด
“กินเค้กต่อหน้าทุกคน…มันเป็นเรื่องหยาบคาย?” กู่ฉิงซานงง
“ใช่” ลอร่าพยักหน้า
กู่ฉิงซานหันไปมองอีเลีย
อีเลียพยักหน้าและกล่าว “มารยาทเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และฝ่าบาทลอร่าก็ทรงบอกเรื่องนี้กับเจ้าด้วยความหวังดี”
กู่ฉิงซานมองไปยังทหารพิทักษ์
ทหารพิทักษ์พยักหน้าด้วยความสุภาพ
ทหารพิทักษ์หญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะกินต่อหน้าผู้อื่น”
ตอนนี้กู่ฉิงซานก็เข้าใจในที่สุด
เขาจดจำได้ว่าวิหคหนามนั้นไม่เคยรับประทานอาหารต่อหน้าผู้อื่นเลย
ลูกพี่ไก่เองก็บอกว่าเกลียดพฤติกรรมนี้ของวิหคนามมากที่สุด
ห้ามกินต่อหน้าคนอื่นอย่างงั้นหรือ…ก็ได้จัดให้
กู่ฉิงซานถือเค้กขึ้นมา หันหลังให้แก่ทุกคนและเริ่มกินมันต่อไปอย่างเงียบๆ
“…” ทุกคน
“นี่ ต่อให้เจ้าหันหลัง แต่พวกเราก็ยังเห็นว่าเจ้ากำลังกินอยู่นะ!” อีเลียกล่าวอย่างไร้หนทาง
“แต่ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อเสียพลังงานมากเกินไป พวกเขาก็ต้องกินเพื่อเสริมสร้างพลัง!”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างขอไปที และเริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม
เขาเอื้อมไปคว้าไวน์อีกขวดขึ้นมา และคราวนี้ยกซดมันจนหมดขวดเลยในลมหายใจเดียว
…สดชื่น!
ต้องกินและดื่มแบบนี้นี่แหละ มันถึงจะช่วยขจัดความเหนื่อยล้าของร่างกายให้หมดไป
“เจ้าไม่กังวลเกี่ยวกับสงครามขั้นแตกหักเลยหรือ?” ลอร่าเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้
“มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย มีตัวตนทรงอำนาจอยู่มากมาย แล้วยังมีอะไรให้กระหม่อมต้องกังวลอีกหรือ? พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้กระหม่อมช่วยเหลือหรอก ” กู่ฉิงซานส่ายหัว
เขากระดกนิ้ว และทันใดนั้นขวดไวน์ฤทธิ์แรงอีกขวดก็ลอยจากถังน้ำแข็งมาตกลงในมือของเขา
“เราทนไม่ไหวแล้ว” ลอร่าพ่นลมหายใจฟึดฟัด
เธอลุกขึ้น เดินไปยังเค้กยี่สิบชั้น ตัดมัน และค่อยๆ เริ่มกินบ้าง
“ไม่ใช่ฝ่าบาทบอกว่าหากอยู่ต่อหน้า…” กู่ฉิงซานกำลังเอ่ยปากถาม
“ฝ่าบาทกำลังเสวย!” ทหารพิทักษ์ตะโกน
ทันใดนั้นทหารพิทักษ์ทั้งหมด อีเลีย แม้กระทั่งทริสเต้ก็หันศีรษะของพวกเธอออกไปอีกทาง พร้อมกับหลับตาลง ไม่มองลอร่า
“เอะ? อะไร? เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ลอร่าถามกู่ฉิงซาน
“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก กินต่อเถอะ”
………………………………………