ในขณะที่กลุ่มบุคคลลึกลับถูกรั้งตัวเอาไว้โดยเสี่ยวเหมียว
ตัวตนต่างๆ ที่อยู่ในโลก ก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
พวกเขาจึงเร่งตรงมาจากทุกทิศทาง
เริ่มแรกจากประตูแสงบานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นใจกลางชานเมืองอย่างกะทันหัน
แบรี่มองไปทางประตูแสงและกล่าวด้วยความสนใจ “หืม? นั่นก็เป็นเทคโนโลยีใช่ไหม?”
“ใช่ เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมประเภทจั๊มป์มิติ” เสี่ยวเหมียวแสดงความคิดเห็น
เห็นแค่เพียงในประตูแสง ปรากฏถึงร่างของคนสองคนเดินออกมา
เป็นซางหยิงฮ่าวและเย่เฟย์หยู
“ไง กลับมาแล้วเหรอ?” ซางหยิงฮ่าวมองกู่ฉิงซานและกล่าว
“ใช่ แต่พอกลับมา ก็ดันมีเรื่องอื่นให้ต้องไปจัดการพอดี เลยไม่ทันเจียดเวลาติดต่อนายไป” กู่ฉิงซานกล่าว
เย่เฟย์หยูเหลือบมองแบรี่กับเสี่ยวเหมียว และเอ่ยปาก “ฉันได้ยินจากเทพธิดากงเจิ้งแล้วนะ ว่าคนที่นายพากลับมาสามารถกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดได้ในวินาทีเดียว ถ้าเป็นเกม พวกเขาคงระดับเกมมาสเตอร์เลยใช่ไหม?”
“ใช่ โคตรเกมมาสเตอร์เลยล่ะ” กู่ฉิงซานหัวเราะ
แล้วเขาก็แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“นี่คือซางหยิงฮ่าว กับเย่เฟย์หยู พวกเขาเป็นหุ้นส่วนของผม แถมยังเป็นสหายที่ดีมากๆ อีกด้วย” กู่ฉิงซานอธิบาย
แบรี่พยักหน้าให้กับทั้งสองคน “สวัสดี ฉันแบรี่ กำปั้นเหล็กแบรี่”
“ส่วนฉันเป็นน้องสาวเขาชื่อเสี่ยวเหมียว พวกเรามาเที่ยวเล่นที่นี่” เสี่ยวเหมียวเอียงคอและกล่าวทักทาย
ทัศนคติที่พวกเขาแสดงออกมาช่างอ่อนโยน ใจดี และเป็นมิตร
อันที่จริงแล้ว
ทั้งพี่ชายและน้องสาวเติบโตมาอย่างอัตคัด อาศัยอยู่แบบยากจนมาตั้งแต่เด็ก
แต่หลังจากที่ทุ่มเทพยายามอย่างหนัก และในที่สุดก็กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจ หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังไปตลอดโลกเก้าร้อยล้านชั้น…ชีวิตของพวกเขาแม้จะดีขึ้น แต่ก็ยังยากจนอยู่ดี
กล่าวได้ว่าทั้งสองเป็นคนติดดิน ไม่ใช่พวกหยิ่งหรือมากพิธีรีตองใดๆ
ประจวบกับทั้งเด็กหนุ่มทั้งสองตรงหน้ามีความสัมพันธ์อันดีกับกู่ฉิงซาน ดังนั้นสองพี่น้องจึงยิ่งไม่แสดงอคติใดๆ ออกมา
เย่เฟย์หยูทักทายกลับอย่างระแวดระวัง “สวัสดีเช่นกัน”
ขณะที่ซางหยิงฮ่าวน่ะเป็นผู้ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวมามากมาย ดังนั้นเมื่อสบโอกาสพบเจอกับคนเก่งๆ เขาก็เร่งที่จะเอาใจอีกฝ่ายทันที เขายื่นมือออกไป และกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ยินดีต้อนรับพวกคุณทั้งสอง นับจากนี้ไปไม่ว่ากู่ฉิงซานจะพาพวกคุณไปกินอะไร หรือเที่ยวที่ไหน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมจะเป็นคนจัดการให้เอง”
ใจป้ำเสียไม่มี!
ประโยคข้างต้นนี้ ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็รู้สึกพอใจ เป็นประโยคที่สามารถสำแดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณมากนะ”
พี่ชายและน้องสาวรับเอาความปรารถนาดีนี้ไว้ด้วยความเต็มใจ
การแสดงออกและคำพูดคำจาของซางหยิงฮ่าวช่างมีไหวพริบ ขณะเดียวกันการแสดงออกของเย่เฟย์หยูเองก็ดูซื่อสัตย์ ส่งผลให้สนทนากันต่อเพียงไม่นาน แบรี่กับเสี่ยวเหมียวก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกับทั้งสอง และเกิดความรู้สึกประทับใจในตัวพวกเขามากยิ่งกว่าเดิม
สำหรับกลุ่มคนลึกลับที่น่าสงสาร ทั้งหมดถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ไร้ซึ่งคนสนใจหรือไยดีใดๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ราชาผีเพลิงน้ำแข็ง เทพสวรรค์ กษัตริย์อาชูร่า และราชันจ้าวอสูร ก็เริ่มทยอยกันปรากฏตัวขึ้นตามลำดับ
พวกเขาตรงมาจากคนละทิศทาง และมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป
เทพสวรรค์องค์ใหม่ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ปากเอ่ยงึมงำ “แข็งแกร่งเกินไป มีการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? ”
ราชาผีเพลิงน้ำแข็งนิ่งอึ้ง ไม่พูดอะไรออกมาอยู่นาน แต่ในที่สุดสายตาของเขาก็ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน ปากอ้าขยับด้วยความสับสน “ชัดเจนว่าเป็นมนุษย์ แต่เหตุใดถึงได้ส่งกลิ่นอายนั่นออกมากัน…”
กษัตริย์อาชูร่ายิ้มอย่างขมขื่น “แท้จริงแล้วพวกเราล้วนเป็นเพียงกบในก้นบ่อ แต่โชคดีเสียจริง ที่ดูเหมือนว่าหนึ่งในตัวตนแข็งแกร่งเหล่านั้นจะเป็นมิตรกับพวกเราอาชูร่า”
วิสัยทัศน์ของเขาก็ตกลงบนร่างของกู่ฉิงซานเช่นกัน
ส่วนราชันจ้าวอสูร สายตาของมันติดตรึงอยู่กับแบรี่ตลอดเวลา ทั้งตนทั้งร่างสั่นสะท้าน สูดหายใจยังยากลำบาก ยิ่งจะให้เอ่ยคำใดออกมาก็คงเป็นไปไม่ได้
มันน่ะเป็นสัตว์ป่า ดังนั้นสัญชาตญาณจึงดีเป็นพิเศษ มันสามารถรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าหวาดกลัวของคนแปลกหน้าผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
ในช่วงเวลานี้เอง เกือบทั้งหมดก็ได้มาเผชิญหน้ากัน
ซางหยิงฮ่าวหัวเราะเสียงดัง “คุณพี่ทั้งสอง เอาไว้รอให้พวกคุณจัดการเรื่องนี้ให้จบลงเสียก่อน แล้วผมจะพาไปเที่ยวบาร์ที่ดีที่สุดในโลกใบนี้เอง ผมจะเลี้ยงต้อนรับพวกคุณทั้งคืนเลย”
“บาร์? งั้นก็คงต้องรบกวนนายแล้ว” แบรี่ยิ้ม
เสี่ยวเหมียวขอบ้าง “แต่ฉันสนใจเกี่ยวกับเทคนิคการทำอาหารของที่นี่เสียมากกว่า เพราะกู่ฉิงซานทำอาหารได้อร่อยมาก ฉะนั้นอาหารของที่นี่ก็คงจะอร่อยไม่แพ้กัน”
ซางหยิงฮ่าวตอบรับทันที “เรื่องนี้ง่ายมาก ผมมีพ่อครัวส่วนตัวกว่ายี่สิบคน ผมจะติดต่อพวกเขาให้เดี๋ยวนี้เลย”
ว่าจบ เขาก็หยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลออกมา และทำการเชื่อมต่อกับวิลล่าบนภูเขา
ซางหยิงฮ่าวจัดการเมนูให้ด้วยตัวเอง อาหารกว่าสามสิบจานถูกเลือกโดยเขาในลมหายใจเดียว
กระทั่งกู่ฉิงซาน เพียงได้ยินชื่อเมนูที่อีกฝ่ายพูดออกมา เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหิว
เสี่ยวเหมียวตบไหล่ของซางหยิงฮ่าวด้วยความสุข พูดกึ่งจริงกึ่งเล่น “ต้อนรับกันได้ดีจริงๆ ฉันชักจะรู้สึกชอบนายเสียแล้วสิ”
“แล้วเราจะเอาอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ดี?”
เย่เฟย์หยูถาม พลางมองไปยังกลุ่มคนลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง
“คนพวกนี้ดูท่าจะผิดปกติอยู่นะ” แบรี่พูดเบาๆ
เสี่ยวเหมียวตื่นตัว และเอ่ยถามทันที “ทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้น?”
แบรี่ขมวดคิ้ว “ก็จริงอยู่ที่ว่า มันเป็นเรื่องปกติที่คนจำนวนมากในโลกเก้าร้อยล้านชั้นจะรู้จักฉัน แต่พอเห็นฉัน คนพวกนี้กลับแสดงท่าทีตื่นตระหนกมากเกินไป ฉันเลยคิดว่าพวกเขาน่าจะมีปัญหาบางอย่าง”
เสี่ยวเหมียวมองดูคนเหล่านั้น
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ทั้งหมดยังคงพยายามหนีอย่างสิ้นหวัง
“อืม…ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แค่เห็นพี่ชายก็รีบหนีเสียแล้ว ทั้งๆ ที่พี่ไม่เคยฆ่าใครแบบไร้เหตุผลมาก่อนเลย” เสี่ยวเหมียวพึมพำ
เธอพ่นลมหายใจไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น
พรึบ!
สายลมกรรโชกพัดผ่าน
ในพริบตา เสื้อคลุม อุปกรณ์ และอาวุธของกลุ่มคนลึกลับทั้งหมดก็หายไป
กลุ่มคนที่เมื่อครู่แลดูลึกลับ บัดนี้ราวกับคนวิตถาร หลงเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวไว้ให้สวมใส่ ทั้งหมดต่างหยุดที่จะหลบหนี และเริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวออกมาแทน
“อย่าขยับ ขอพูดตรงๆ เลยนะ ขอให้พี่สาวคนนี้สำรวจให้มันชัดๆ หน่อย” เสี่ยวเหมียวตะโกน
แต่แล้วเธอก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน กระทั่งสีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พี่ชาย ดูนั่นเร็ว”
ใบหน้าของแบรี่หม่นทะมึนลง เขากล่าวเสียงเย็น “เข้าใจแล้ว เพราะแบบนี้เองสินะ พวกเขาถึงตื่นตระหนกเวลาที่ได้เห็นฉัน”
ทั้งหมดหันไปมองกลุ่มคนลึกลับพร้อมกัน
เห็นแค่เพียงบนร่างกายของคนลึกลับเหล่านั้น ทุกคนจะมีรอยสักแบบเดียวกันประทับอยู่
มันเป็นรอยสักรูปใบหน้ามนุษย์สีดำ ครึ่งชายครึ่งหญิง แต่ไม่ว่าจะครึ่งไหนก็ล้วนกำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวดอยู่ดี
ทันทีที่รอยสักถูกเปิดเผย เกือบทุกคนที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหนาวเหน็บขึ้นในส่วนลึกในจิตใจของพวกเขา
กษัตริย์อาชูร่าถึงขั้นต้องส่งเสียงฮึฮะด้วยความรำคาญจากความรู้สึกหวาดกลัวนี้อย่างช่วยไม่ได้
“พวกเขาเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“เป็นคนจากสถาบันเทพ” แบรี่กล่าวเสียงจม
“สถาบันเทพคือกลุ่มคนที่คลั่งไคล้บูชาเทพ พวกเขามักจะพยายามเก็บรวบรวมสิ่งลึกลับทั้งหมด โดยมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นคืนชีพเทพบรรพกาล” เสี่ยวเหมียวอธิบาย
“พวกเราเองก็เคยรู้จักกับผู้นำของพวกเขามาก่อนเหมือนกัน” แบรี่กล่าว
“รู้จักกันมาก่อน?”
“ใช่ ผู้นำของพวกเขาแข็งแกร่งมาก ไม่เพียงเป็นตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ แต่ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ มากมาย เป็นคนที่สามารถตระเตรียมการต่างๆ ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาดันทำสิ่งสำคัญที่สุดผิดไป”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานถาม
“สิ่งที่พวกเขาต้องการจะฟื้นคืนชีพ แท้จริงแล้วไม่ใช่เทพบรรพกาล”
“ไม่ใช่เทพบรรพกาล? ถ้าเช่นนั้นพวกเขาต้องการจะคืนชีพอะไร?”
แบรี่กับเสี่ยวเหมียวเงียบไปครู่หนึ่ง
แต่สุดท้ายแบรี่ก็เอ่ยปากออกมา “ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร”
“แต่เดชะบุญ ที่สิ่งมีชีวิตที่ว่า ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ไม่นานก็ตายไป”
“ที่พูดมาคงจะหมายถึงสิ่งนั้นใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานชี้ไปยังใบหน้าครึ่งชายครึ่งหญิงที่สักอยู่บนร่างของคนเหล่านั้นและกล่าว
“ใช่ ถึงแม้ว่ามันจะตายลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ในชั่วพริบตาที่ฟื้นตื่นขึ้นมา พฤติกรรมของทั้งสถาบันก็ผิดปกติไป ห้วงอารมณ์ของคนในสถาบันก็แปรเปลี่ยน แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง”
“จู่ๆ พวกเขาทำการปิดสถาบัน ไม่ให้ใครเข้าใกล้ และไม่ให้ใครออกไปข้างนอก และเริ่มทำแต่เรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้”
“ตัวอย่างเช่นคราวนี้ ที่จู่ๆ ก็เดินทางมายังโลกกระจัดกระจายเพื่อทำการค้นหาสุสานแห่งโลกใช่ไหม?”
แบรี่ “ใช่ โลกกระจัดกระจายคือสถานที่ที่ทุกคนไม่ยินดีจะมาเยือน แต่พวกเขาจู่ๆ ก็กลับให้ความสนใจเกี่ยวกับมันอย่างไม่คาดคิด”
เสี่ยวเหมียวอธิบายเพิ่มเติม “ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น มีอิทธิพลจำนวนมากเริ่มหวาดกลัวสถาบันเทพมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนพวกนี้ผิดแผกเกินไป ใครก็ตามที่ตกอยู่ในมือพวกเขาจะจบลงโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิตวิญญาณหายไปอยู่ที่ไหน”
แบรี่ตบไหล่กู่ฉิงซานและกล่าว “แต่นายไม่ต้องกังวลไป ตัวฉัน กำปั้นเหล็กแบรี่ เป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เก้าร้อยล้านชั้น ฉะนั้นต่อให้พวกคนบ้าจากทั้งสถาบันเทพทั้งหมดดาหน้าเข้ามาพร้อมกัน พวกมันก็ไม่สามารถกดดันฉันได้”
กู่ฉิงซานโล่งอก “ได้ยินประโยคนี้ของคุณ ผมมั่นใจขึ้นเยอะเลย”
“แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยพอใจพวกเขาเลยนะ” ซางหยิงฮ่าวแทรก
แบรี่พยักหน้าและกล่าว “มีคนอยู่สองประเภทที่ฉันมักจะฆ่าอยู่บ่อยๆ หนึ่งคือประเภทที่มักจะชอบทำลายโลกตามอำเภอใจ อีกหนึ่งคือพวกที่ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์ และเจ้าพวกคนบ้าอย่างสถาบันเทพก็เป็นหนึ่งในนั้น เอาล่ะ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว นายจะเอาอย่างไรต่อไป”
“ขอผมคิดก่อนนะ” กู่ฉิงซาน ตอบกลับไป
เขาก้มหน้าลง และเริ่มไตร่ตรองอยู่สักพัก
ขณะที่แบรี่และเสี่ยวเหมียวกำลังเฝ้ารอให้กู่ฉิงซานตัดสินใจอย่างเงียบๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็เงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างช้าๆ “ผู้หญิงที่พวกเขาสังหารไป ผมเคยเจอเธอมาก่อนครั้งหนึ่ง เธอคือผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลใหญ่ ”
“อืม” แบรี่รับคำ และส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
“แต่เดิม ปากของเธอถูกเย็บ ทำให้โดยปกติแล้วเธอมักจะสื่อสารผ่านทางความคิดเท่านั้น”
“แต่คราวนี้ผู้พิทักษ์เก้าตระกูลกลับเลือกที่จะเปิดปากพูด จุดประสงค์นั่นคงจะเพื่อให้เทพธิดากงเจิ้งสามารถบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นเอาไว้”
“เมื่อผู้พิทักษ์ตายไป เธอก็ยังไม่วายปลดปล่อยความตั้งใจสุดท้ายออกมา โดยหวังว่าจะให้เทพธิดากงเจิ้งปกป้องซูเซี่ยเอ๋อ”
“ผมคิดว่าผู้พิทักษ์ได้ทำหน้าที่ในฐานะผู้อาวุโสของซูเซี่ยเอ๋อเป็นอย่างดี”
“เพราะฉะนั้น ผมจะฆ่าคนพวกนี้ เพื่อล้างแค้นให้กับท่านผู้พิทักษ์”
เสี่ยวเหมียวพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เดี๋ยวก่อนสิ นายจะแก้แค้นให้ผู้พิทักษ์งั้นเหรอ? เพียงเพราะแค่ว่าเธอเป็นผู้อาวุโสของซูเซี่ยเอ๋อเนี่ยนะ?”
กู่ฉิงซานเงียบลง ก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน “ถูกต้อง เพราะเรื่องของซูเซี่ยเอ๋อ ก็คือเรื่องของผม”
………………………………….