พร้อมกันกับการเลือกของกู่ฉิงซาน บนหน้าต่างก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรใหม่เด้งขึ้นมา
“ระบบจะทำการอธิบายดังต่อไปนี้”
“ประเภทของพลังขั้นพื้นฐานของคุณคือ พลังวิญญาณ”
“ซึ่งพลังวิญญาณสามารถกระตุ้นเทคนิคฝึกยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ได้เท่านั้น มันไม่สามารถใช้ในการกระตุ้นสกิลลึกลับได้”
“ในโลกนับล้านล้าน มีเพียง ‘แต้มพลังวิญญาณ’ หรือพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้นที่สามารถใช้กระตุ้นเทคนิคมนตราของสกิลลึกลับได้”
“ดังนั้น เมื่อคุณได้เรียนรู้สกิลอื่นๆ นอกเหนือไปจากเทคนิคมนตราของผู้ฝึกยุทธ์ โปรดทำความเข้าใจไว้ด้วยว่าคุณต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการกระตุ้นสกิลเหล่านั้น”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็เข้าใจในที่สุด
‘พลังวิญญาณ’ เป็นพลังงานบริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก แต่สำหรับในโลกนับล้านๆ มันไม่สามารถใช้ในการกระตุ้นสกิลทั้งหมดได้
ณ ขณะนี้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ จึงมีความสำคัญมากยิ่งกว่าเดิม
คำอธิบายของหน้าต่างเทพสงครามค่อยๆ หายไป
แต่แล้วบรรทัดตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้น
“คุณได้ใช้แต้มพลังวิญญาณ หนึ่งหมื่นแต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณส่วนเกินในปัจจุบัน 86000/600”
“คุณได้เรียนรู้สกิลลึกลับ การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์แล้ว”
“การค้นหาแห่งปาฏิหาริย์ เมื่อคุณเปิดใช้งานสกิลนี้ คุณจะสัมผัสได้ถึงการรังสรรค์ของเทพบรรพกาล และสามารถรับรู้ถึงตำแหน่งที่แน่นอนของวัตถุได้”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างลับๆ
นี่มันเป็นสกิลสำรวจที่พิเศษอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม สายตาของเขาก็ยังคงติดตรึงอยู่บนแต้มพลังวิญญาณ ในจิตใจรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
แน่นอนว่าเรื่องที่มีแต้มพลังวิญญาณกว่า แปดหมื่นหกพันน่ะมันไม่น่าสงสัยหรอก แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ ขีดจำกัดของมันน้อยเกินไปหรือไม่?
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงวันที่เขาต่อสู้กับฉีหยานในโลกเทวะ ตอนนั้นหลี่อันได้ขอหยิบยืมแต้มพลังวิญญาณจากเขา หกร้อยแต้ม เขาจดจำได้ว่าเธอกล่าวอย่างชัดเจนว่า ‘แต้มพลังวิญญาณหกร้อยแต้ม น่ะมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตประทับเทพเท่านั้น ถึงจะสามารถครอบครองแต้มพลังระดับนี้ได้’
แต่ปัจจุบันเขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตร่างเทวะ แล้วทำไมขีดจำกัดแต้มพลังถึงยังมีอยู่แค่ หกร้อยเท่านั้น?
เป็นระบบที่นำมันไปใช้ทำอย่างอื่นหรือไม่?
กู่ฉิงซานเอ่ยถามถึงเรื่องนี้กับระบบเทพสงคราม
ติ๊ง!
หลังจากเสียงแจ้งเตือนอันคมชัดดังขึ้น ระบบเทพสงครามก็ถามกลับ “การลดขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณลง ก็เพื่อทำลายข้อจำกัดในการสั่งสมแต้มพลังวิญญาณที่เกินมาของคุณไป สิ่งนี้มันได้ก่อปัญหาอะไรให้คุณอย่างงั้นหรือ?”
“รู้หรือเปล่าว่าขีดจำกัดดั้งเดิมของแต้มพลังวิญญาณ มันคือกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของโลก มิใช่สิ่งที่สามารถทำลายได้โดยง่าย”
“แต่ถ้าคุณต้องการขีดจำกัดพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีก หนึ่งร้อยจุดเพื่อความสบายใจ งั้นก็ต้องแลกกับว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณจะไม่สามารถกักเก็บแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดได้อีกต่อไป”
ระบบเทพสงครามเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคารพลึก “ว่าอย่างไร? คุณต้องการเพิ่มขีดจำกัดแต้มพลังวิญญาณให้สูงขึ้นจริงๆ หรือไม่?”
กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของตนที่มากกว่า แปดหมื่นแต้ม เขาก็หดตัวกลับทันที
อย่ามาล้อเล่นนะ! ถ้าไม่มีแต้มพลังวิญญาณจำนวนมากแบบนี้ แล้วในอนาคต เวลาที่เขาต้องการจะใช้สกิลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแต้มพลังวิญญาณ เขาจะไปสามารถใช้มันได้อย่างไร?
ในกรณีนี้ การใช้ชีวิตมันจะไม่ยากยิ่งไปกว่าเดิมอีกหรือ?
เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ฉันก็แค่ถามเรื่องขีดจำกัดแต้มพลังไปอย่างนั้นเอง คุณไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ฉันแค่ถาม แต่ไม่ได้บอกว่าต้องการมันเสียหน่อย”
ระบบขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจเขา มันจึงไม่คิดเอ่ยคำใดอีก
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนหน้าต่างระบบ
กู่ฉิงซานพอเห็นว่าแต้มพลังวิญญาณตนที่มากกว่า แปดหมื่นว่ายังคงอยู่ดี เขาก็ถอนหายใจโล่งอก
ช่วงเวลานี้เอง เขาก็ตระหนักได้ว่าแต้มพลังวิญญาณสำคัญขนาดไหน ในการต่อสู้ภายภาคหน้า
เขาลองกะน้ำหนักของนาฬิกาเทพ และโยนมันกลับไปให้เสี่ยวเหมียวอีกครั้ง
“นี่คืออุปกรณ์สำรวจแน่นอน งั้นขั้นต่อไป สิ่งที่พวกเราจะทำก็คือการผสานรวมโลกของผีร้าย” เขากล่าว
“นายคิดว่าถ้าพวกเราทำการผสานรวมโลก เบาะแสที่เกี่ยวข้องกับสุสานแห่งโลกจะปรากฏออกมาไหม?” เสี่ยวเหมียวถาม
“สำหรับเรื่องนั้น อีกไม่นานเดี๋ยวพวกเราก็จะได้รู้คำตอบเอง ตอนนี้ผมคงต้องไปหาใครบางคน ให้ช่วยบอกว่าแหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้าของโลกผีร้ายมันอยู่ที่ไหน” กู่ฉิงซานกล่าว
“นายกำลังคิดที่จะไปหาใคร?”
“ราชาผีเพลิงน้ำแข็งที่เพิ่งตายลงเมื่อกี้”
“จะกลับไปที่ปรภพอีกแล้วเหรอ? งั้นคราวนี้ฉันขอไปด้วยสิ ฉันอยากจะสำรวจมัน” เสี่ยวเหมียวขอด้วยความตื่นเต้น
“เอ่อ ต้องขอโทษจริงๆ นอกเหนือไปจากผมแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่โลกปรภพได้” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
เขาคว้าจับไม้เท้าแห่งการจองจำ เริ่มกระตุ้นพลังในมัน และกลับไปที่นรกโดยตรง
ผ่านพ้นไปยังไม่ถึงสิบนาที
กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมเร็วจัง?” แบรี่อุทาน
“อืม พอดีว่าราชาผีเพลิงน้ำแข็งแม้จะเป็นความชั่วร้ายที่ฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตไปมากมาย แต่มันกลับไม่อาจทานทนต่อความเจ็บปวดทรมานในนรกเอาเสียเลย มันก็เลยยอมปริปากบอกผมอย่างง่ายดาย”
“งั้นตอนนี้ นายก็ไปที่โลกผีร้ายเถอะ” แบรี่กล่าว
เสี่ยวเหมียว “พี่ชาย พี่ไม่คิดจะไปสำรวจที่นั่นด้วยกันหน่อยเหรอ?”
แบรี่ชี้ไปยังรังไหมเลือดบนพื้นและกล่าว “ฉันต้องอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องโลก ในเมื่อมันมีสถาบันเทพเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเด็กเย่เฟย์หยูก็กำลังอยู่ในระหว่างวิวัฒ ในช่วงเวลานี้เขาไม่สมควรที่จะถูกรบกวนใดๆ”
“เอาเถอะ งั้นรอก่อนนะ ไม่นานเดี๋ยวพวกเราก็กลับมาแล้ว” เสี่ยวเหมียวกล่าว
เธอคว้าจับมือของกู่ฉิงซาน และเริ่มเปิดช่องว่างมิติ
ทั้งสองหายวับไปในทันที
ส่วนแบรี่ เขาย้ายเก้าอี้แล้วมานั่งอยู่ตรงข้ามกับเย่เฟย์หยู
บางที มันอาจจะเป็นเพราะระหว่างนี้มันเบื่อเกินไป เขาเลยหยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อตัวเอง
เมื่อเปิดฝาขวดออก กลิ่นของมันก็ฟุ้งขึ้นมาแทรกเข้าไปในจมูกเขา สองตาของแบรี่เปล่งประกายทันที
เขายกคอขึ้น และเริ่มซดมัน อึก อึก อึก อย่างตะกละตะกลาม
“ฮ่า! นี่มันเยี่ยมไปเลย!”
แบรี่สรรเสริญ
นี่คือสุราวิญญาณที่กู่ฉิงซานมอบมันให้แก่เขา เป็นสุราที่ถูกเก็บไว้ในนิกายร้อยบุปผา มันถูกหมักบ่มด้วยผลไม้นานาชนิดที่นำมาจากหุบเขาวิญญาณ ดังนั้นรสชาติจึงสดชื่น และส่งเสริมพลังบางอย่างในร่างกาย
ต้องบอกว่ากระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ สุราวิญญาณชนิดนี้ก็ยังนับว่าเป็นสุราที่โดดเด่นที่สุดเช่นกัน
ขณะกำลังดื่มเหล้า แบรี่ก็ยังคอยให้ความสนใจกับเย่เฟย์หยู
“พิฆาตโลก…ความสามารถแบบไหนกันนะที่จะวิวัฒขึ้นมา? ฉันละอยากจะเห็นจริงๆ”
เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
อีกด้านหนึ่ง
ในหกวิถี โลกผีร้าย
ท้องฟ้าเบื้องบนช่างมืดครึ้ม
และบ่อยครั้งที่มักจะมีแสงมืดสลัวๆ สาดลงมาจากท้องฟ้า ร่วงตกลงกระแทกเข้ากับพื้นดิน
ภูเขาที่สูงชัน
แม่น้ำที่กระแสปั่นป่วน
ท่ามกลางทุ่งหินขรุขระ บางครั้งคุณจะสามารถมองเห็นถึงสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับซากปรักหักพัง
สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นสถานที่ที่เหล่าผีร้ายใช้เก็บศพของพวกมัน
เนื่องจากหลังจากสิ้นลมหายใจไป ซากศพของผีร้ายบางชนิด มันจะปลดปล่อยพลังที่เป็นพิษออกมา ดังนั้นเมื่อถูกทิ้งไว้ในที่โล่ง จะส่งผลให้เกิดมลภาวะต่อพื้นดินได้
ดังนั้น พวกผีร้ายเลยจำต้องสร้างสถานที่บางแห่งขึ้นเพื่อทำการเก็บศพเอาไว้
วิถีชีวิตของพวกมัน มิได้อาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างใดๆ
หากต้องการที่จะพักผ่อน ผีร้ายก็จะมองหาสถานที่เหมาะๆ และทำการหยุดพักเพียงสั้นๆ ก็เท่านั้น
เพราะท้ายที่สุดนี้ ตลอดทั้งชีวิตของผีร้าย พวกมันมักจะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่ขาดแคลนและแสนหายากอยู่ตลอดเวลา
บนท้องฟ้า
ร่างของกู่ฉิงซานกับเสี่ยวเหมียวปรากฏขึ้น
เสี่ยวเหมียวกวาดสายตามองรอบๆ และกล่าวด้วยความผิดหวัง “ช่างเป็นโลกที่แห้งแล้งจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีแต่ผีร้ายเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดในโลกใบนี้ได้”
กู่ฉิงซานเห็นด้วย “ถ้าไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องให้ทุกสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งขึ้น และเพื่อได้รับเบาะแสของสุสานแห่งโลกแล้วล่ะก็ ผมคงไม่ยินดีที่จะผสานรวมกับโลกใบนี้”
“งั้นนายบอกตำแหน่งของแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามา พวกเราจะมุ่งไปหามันเลยโดยตรง” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“เข้าใจแล้ว”
ว่าจบ กู่ฉิงซานก็บอกตำแหน่งออกไป
แล้วทั้งสองก็หายวับไปในทันที
ธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน เหล่านี้คือแหล่งกำเนิดธาตุพื้นฐานของโลกใบนี้
ซึ่งในการผสานรวมระหว่างโลกกับโลก พวกเขาจะต้องค้นหาต้นกำเนิดธาตุทั้งห้า รวมมันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าสายใยกฎเกณฑ์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างโลกเข้าด้วยกัน
กู่ฉิงซานกับเสี่ยวเหมียวเดินลึกเข้าไปในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ผี เพื่อค้นหาแหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้า
โดยที่ทั้งสองไม่คิดเจรจาสิ่งใดให้มันมากความ เมื่อพบผีร้ายเข้ามาขัดขวาง ทั้งสองก็แค่ตีพวกมันจนสลบไป ไม่ก็หนีออกมาก็จบแล้ว
โชคดีจริงๆ ที่เสี่ยวเหมียวอยู่ที่นี่
เพราะแม้ว่าจะถูกไล่ล่าโดยผีร้ายนับไม่ถ้วน แต่เสี่ยวเหมียวก็แค่คว้าตัวกู่ฉิงซาน และวาร์ปหนีไป เท่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้แล้ว
และเนื่องด้วยการเคลื่อนย้ายอันทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ ทั้งสองจึงสามารถรวบรวมแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามาได้อย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา ประทับตัวตนของเขาไว้บนแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าด้วยจิตสัมผัสเทวะ
เขาใช้พลังวิญญาณในการควบคุมกระบวนการหลอมกลั่น ยืดขยายแต่ละแหล่งกำเนิดอย่างรวดเร็ว จนพวกมันกลายเป็นเส้น และทำการเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน
ปรากฏให้เห็นถึงเส้นสายที่สาดรังสีแสงห้าสีออกมา
เสี่ยวเหมียวจ้องมองสายใยกฎเกณฑ์ ใบหน้าอันงดงามของเธอสะท้อนไปกับแสงและเงาสว่างไสวของมัน
“ฉันไม่เคยผสานรวมโลกมาก่อน” เธอถอนหายใจ “นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ใช่ไหม มันดูสวยงามมากจริงๆ”
“ใช่ นี่คือสายใยกฎเกณฑ์ ถ้าผมนำมันกลับไปยังโลกมนุษย์ โลกผีร้ายก็จะถูกฉุดดึงโดยสิ่งนี้ และค่อยๆ เข้าไปหลอมรวมเข้ากับโลกมนุษย์ กลายเป็นโลกใบใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว
เสี่ยวเหมียวคิดอยู่พักหนึ่งจึงกล่าว “แล้วถ้าในอนาคตนายเกิดโชคไม่ดี มีคนดันมาพบว่านายว่านายทำการผสานรวมโลกเข้า นายรู้รึยังว่าจะต้องบอกพวกเขาว่าอย่างไร?”
“ผมควรจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม
“ให้นายบอกชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กแห่งความยุติธรรมออกไปโดยตรง แล้วพวกเขาจะไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป”
“แล้วพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นสมาชิกของสมาคมกำปั้นเหล็ก?”
“นี่นายลืม? ลองนึกดูดีๆ สิว่าก่อนจะมาที่โลกนี้ ฉันได้ทำการลงทะเบียนข้อมูลของนายเอาไว้แล้ว”
“จากนี้ไปถ้านายเดินทางไปในโลกนับล้านล้าน แล้วนายต้องการที่จะใช้เงิน ตราบใดที่นายรายงานชื่อของสมาคมกำปั้นเหล็กออกไป ฉันการันตีเลยว่าจะไม่มีใครหน้าไหนกล้าเรียกเก็บเงินจากนาย” เสี่ยวเหมียวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
กู่ฉิงซานพยักหน้า แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
เห็นได้ชัดว่านี่คงจะเป็นเหตุผลที่พวกเขาติดหนี้ไปในทั่วทุกสถานที่ กู่ฉิงซานบอกตามตรงเลยว่า ในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น นอกจากแบรี่กับเสี่ยวเหมียว คงไม่มีใครสามารถทำแบบนี้ได้อีกแล้ว…
หรือว่า…นับจากนี้ไปในอนาคต ตนเองจะได้รับหน้าที่เพิ่มมาอีกหนึ่งนอกจากทำอาหาร นั่นคือคอยตามเช็ด ชดใช้หนี้ให้กับพวกเขาอยู่ร่ำไปใช่หรือไม่?
ในช่วงเวลาสำคัญเป็นอย่างยิ่งอย่างการผสานรวมโลก ในหัวของกู่ฉิงซานกลับอดไม่ได้ที่จะมีความคิดแบบนี้ออกมา
……………………………………