กู่ฉิงซานอ่านข้อความบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เขาอยากจะรู้ว่าเทคนิคลับแห่งดาบชนิดใดกันหนอ ที่กระทั่งท่านอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่ามันดี
เส้นแสงตัวอักษรหิ่งห้อยค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละบรรทัด
“เทคนิคลับแห่งดาบ ‘ล่าชีพ’ เมื่อศัตรูอยู่ห่างจากคุณในช่วงระยะสิบจั้ง คุณจะสามารถสับสะบั้นพวกเขาได้เลยจากระยะไกล”
“โปรดทราบ จำเป็นต้องอยู่ในระยะสิบจั้งเสียก่อน เทคนิคลับแห่งดาบนี้จึงจะสามารถใช้งานได้”
“โปรดทราบ สามารถใช้เทคนิคลับอื่นๆ ควบคู่ไปกับเทคนิคล่าชีพได้”
“การเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบนี้ จำเป็นต้องใช้สองพันแต้มพลังวิญญาณ”
กู่ฉิงซานแทบลืมหายใจไปครู่หนึ่ง
แม้ว่าตนจะมีเทคนิคดาบบิน แต่ดาบบินก็ยังไม่สามารถใช้โจมตีเป็นระยะเวลานานได้อยู่ดี อีกอย่าง ผู้ฝึกดาบน่ะคืออาชีพที่มักจะทุ่มเต็มกำลังในการสังหาร ซึ่งสุดท้ายแล้วการจะทำแบบนั้นได้มันก็จำเป็นต้องเข้าใกล้กับศัตรู
ในระหว่างการต่อสู้กับผู้ฝึกดาบ สิ่งที่อาชีพอื่นๆ หวาดกลัวมากที่สุด แน่นอนว่าคือการอยู่ในระยะประชิดกับพวกเขา!
อย่างไรก็ตามเทคนิคลับ ‘ล่าชีพ’ มันจะช่วยเสริมให้ระยะโจมตีของดาบยืดยาวออกไปได้ไกลกว่า 10 จั้ง!
ต่อให้อยู่ห่างจากศัตรู แต่ผู้ฝึกดาบก็ยังสามารถโบกสะบัดดาบยาว ฟาดฟันกระบวนท่าเข้าใส่ศัตรูได้เลยโดยตรง!
ซึ่งนี่มันก็นับว่าเพียงพอแล้วที่จะสร้างความประหลาดใจและสังหารอีกฝ่ายลงได้ในทันที
สามารถโจมตีในระยะที่ห่างออกไปได้ไกลกว่าสิบจั้ง นี่มันเป็นสิ่งที่พลิกสถานการณ์เป็นตายได้เลย
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดชื่อของเทคนิคลับนี้จึงถูกตั้งว่าล่าชีพ”
“มันกระทั่งสามารถใช้ร่วมกับเทคนิคดาบอื่นๆ ได้ อีกความหมายหนึ่งก็คือ ฉันสามารถใช้ ‘กลืนกินหวนกลับ’ ในระยะที่ห่างออกไปกว่าสิบจั้งได้…”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์ถึงให้ความสำคัญกับเทคนิคดาบนี้”
กู่ฉิงซานรำพึง
เขาหลับตาลง และไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะจ่ายสองพันแต้มพลังวิญญาณเพื่อเรียนรู้สกิล ‘ล่าชีพ’
กระแสไอร้อนพวยพุ่งจากใบหยก ไหลผ่านนิ้วมือเข้าไปในแขนของเขา หลอมรวมกันในทะเลแห่งห้วงสติ ความรู้ความเข้าใจนับไม่ถ้วนของเทคนิคดาบ ผสานเข้ากับจิตใจของกู่ฉิงซาน
ผ่านไปพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น
เขาคว้าดาบเช่าหยินมาไว้ในกุมมือ และมองไปยังผนังวังที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง กู่ฉิงซานจึงกระชับดาบ และวาดมันไปในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา
ฟึบ…
บังเกิดเสียงดังของการเสียดทานบนผนัง
คล้ายกับว่าโดนของมีคมบางอย่างกรีดเข้ากับผนัง
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น ร่างของเขาวูบไหวเป็นภาพติดตา ร่ายระบำดาบยาวของตนไปมาในห้องโถง
เห็นได้ชัดว่าตัวเขาอยู่ห่างจากผนัง แต่ในทุกๆ ครั้งที่เขาวาดดาบออกไป รอยขีดข่วนใหม่ก็จะเกิดขึ้นมา
ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็เก็บดาบกลับคืน
“สุดยอด ด้วยเทคนิคลับแห่งดาบนี้ มันคุ้มค่ายิ่งกว่าการที่ฉันเรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบธรรมดาๆ หลายสิบเทคนิคเสียอีก” กู่ฉิงซานถอนหายใจเบาๆ
เขาหันหลังกลับ และนั่งลงบนฟูกอีกครั้ง
สายตายังคงเหลือบมองหน้าต่างเทพสงคราม
หลังจากทำการเรียนรู้ชุดวิชากระบี่ ธนู และดาบไปแล้ว แต้มพลังวิญญาณของเขาก็ยังคงเหลืออยู่อีกมากกว่าหกหมื่น
แต้มพลังวิญญาณมีอยู่เหลือเฟือ
ถัดมา กู่ฉิงซานก็หยิบใบหยกออกมาอีกครั้ง และเริ่มต้นทำการคัดเลือกเทคนิคมนตราที่เหมาะสม
กล่าวกันว่าค่ายกล แท้จริงแล้วมีความสัมพันธ์กับเทคนิคมนตรา แกนหลักของมันสอดคล้องต่อกันและกัน ถูกแบ่งออกเป็น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า แสง ความมืด และเสียง
กู่ฉิงซาน เดิมเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธาตุสายฟ้า แต่ก็ต้องหยุดไปเข้าสู่วิถีดาบ ทว่าในเวลานี้เขาสามารถทะลวงขีดจำกัด ไม่จำเป็นต้องมุ่งสมาธิไปยังทักษะดาบเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว ตนสามารถเรียนรู้เทคนิคมนตราสายฟ้าได้เลยในทันที
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีแต้มพลังวิญญาณมากมาย แต่การจะเรียนรู้ให้หมดทุกอย่างเลยก็ไม่สมควร มันจะเป็นการเสียของเกินไป
กู่ฉิงซานไม่เต็มใจที่จะฝึกฝนเทคนิคมนตราทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธ์ เพราะเขาไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับพวกมัน
ดังนั้น หากจะให้เลือกเรียนรู้เทคนิคมนตรา แต่ละวิชาที่เลือกมามันจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นเท่านั้น
จำต้องใช้เวลาไปพอสมควรเลย ในส่วนของการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคมนตรา
เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงตาของนักสู้หวูเต๋า
เพื่อที่จะเรียนรู้สกิลเทวะ ‘สวรรค์ล่มสลาย’ ตนเองจำเป็นที่จะต้องมีรากฐานบางอย่างในวิถีนักสู้
การฝึกฝนฐานวรยุทธ์ของวิถีนักสู้ มันจะเป็นการช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณและร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ ซึ่งแม้ว่าตนจะเป็นผู้ฝึกดาบ แต่หากทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาแข็งแกร่งขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ดี
เฝ้ารอจนกระทั่งตนเรียนรู้ฐานวรยุทธ์ของวิถีนักสู้มาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว สายตาของกู่ฉิงซานก็ไปตกลงอีกหนึ่งสกิลเทวะ
หวูเต๋ากุ่ยชั่ง(หวนคืนไร้ลักษณ์) ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน!
…
แสงสลัวยามค่ำคืนสลายหายไป
รุ่งอรุณได้ถึงแล้ว
กู่ฉิงซานนั่งยองๆ อยู่ในลำธารเบื้องหลังภูเขานิกาย ขัดๆ ถูๆ หม้อเหล็กขนาดใหญ่อย่างจริงจัง
ตอนนี้ เขากำลังทำอาหารเช้าให้แก่ผู้คนทั้งหมดในนิกาย
เครื่องครัวทีละชิ้น ทีละชิ้นถูกนำออกมาวางอย่างเรียบร้อย กู่ฉิงซานกำลังนึกถึงอาหารที่จะทำในวันนี้
ท่านอาจารย์กล่าวว่าตนจะไม่กิน แต่นางจะไม่ปฏิเสธหากเขามอบชามข้าวต้มดอกไม้วิญญาณให้
ส่วนห่านขาว มันย้ำเตือนกับตนเองนักหนามาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า อยากจะรับประทานบะหมี่รสจัดในตอนเช้า
อืม…เมนูค่อนข้างจะขัดแย้งกันนิดหน่อยแฮะ
ส่วนคนอื่นๆ ซิวซิวไม่ควรกินอะไรมากเกินไปในตอนเช้า เด็กสาวจะต้องกินน้ำตามังกร และชาวิญญาณที่ใช้ในการซ่อมแซมจิตเทวะ
ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ มิได้กล่าวว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นเขาแค่ต้มโจ๊กหรือบะหมี่เช่นเดียวกับท่านอาจารย์ไปให้พวกนางก็น่าจะเพียงพอแล้ว
สำหรับเซี่ยวโหลว…
ระหว่างขบคิด ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็เห็นว่ามีก้อนเปลวไฟลอยเข้ามา
เขาคว้ารับยันต์สื่อสาร และกระตุ้นพลังวิญญาณลงไป
เสียงของเซี่ยเต๋าหลิงดังขึ้น “จงทำอาหารให้อร่อยเป็นพิเศษ วันนี้มีแขกสองคนมาเยี่ยมเยือน”
มีแขกมางั้นหรือ?
กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ท่านอาจารย์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตา ดังนั้นหากถึงขั้นส่งยันต์สื่อสารมาเตือนว่า ‘ต้องทำอาหารอร่อยๆ’ กู่ฉิงซานก็ย่อมแสดงฝีมือของเขาออกมาให้ดีที่สุด
เขาเร่งจัดเตรียมเครื่องเคียงอาหารวิญญาณกว่าสิบหกจานในลมหายใจเดียว จากนั้นก็ปรุงข้าววิญญาณ ต้มลงในหม้อใหญ่ ทำน้ำซุปเห็ดหลินจือตุ๋นแสนอร่อย ลวกเส้นบะหมี่ นำพวกมันใส่ลงในชาม และราดซอสอย่างระมัดระวัง
ด้วยซอสและน้ำซุปนี้ หากเพียงแค่ใช้ตะเกียบคนๆ ผิวน้ำของมัน กลิ่นหอมละมุนจากภายในก็จักกระจายออกมา ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งนิกายร้อยบุปผา!
เมื่อถึงจุดนี้ อาหารมื้อเช้าของนิกายร้อยบุปผาก็พร้อมรับเสิร์ฟ!
ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ มายืนรอเขาสักพักหนึ่งแล้ว
พวกเธอเฝ้ามองดูกู่ฉิงซานวุ่นอยู่กับอาหารวิญญาณอย่างขะมักเขม้น
ยิ่งมองอาหารของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของสองหญิงสาวก็ยิ่งปรากฏ
พวกเธอช่วยกู่ฉิงซานจัดวางอาหารวิญญาณลงในถาด และเดินกลับมายังโถงร้อยบุปผาด้วยกัน
และในเวลานี้ แขกของนิกายร้อยบุปผาเองก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน
กู่ฉิงซานต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะแขกทั้งสองที่ว่ามานี้เขารู้จักกันเป็นอย่างดี
เป็นหนิงเยว่ฉาน และเหลิงเทียนสิง
แต่เดิม กลับกลายเป็นว่าแขกทั้งสองคือเขาและเธอ
หนิงเยว่ฉานมองกู่ฉิงซาน ก่อนจะสลับไปมองหม้อข้าวต้มที่อยู่ในอ้อมแขนเขา “ข้าหลงคิดว่าผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการปรุงอาหารในนิกายคือฉินเซี่ยวโหลวเสียอีก”
“เซี่ยวโหลวกำลังวุ่นอยู่กับการฝึกยุทธเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นข้าจึงมารับหน้าที่ดูแลจัดการอาหารแทนชั่วคราว” กู่ฉิงซานตอบ
เขาจัดวางอาหารทั้งหมดลงบนโต๊ะ และก้าวไปข้างหน้า ประสานกำปั้นกับเหลิงเทียนสิง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“นานจริงๆ ที่มิได้พบเจอ”
ทั้งสองต่างยิ้มให้แก่กัน
ท้ายที่สุดนี้ พวกเขาต่างฝ่ายต่างก็เสี่ยงชีวิตมาด้วยกันตั้งแต่แรก ดังนั้นมิตรภาพย่อมผลิบาน ไม่ต้องกล่าวบรรยายอะไรให้มากความ
“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มทานอาหารเช้ากันก่อน เรื่องราวต่างๆ ไว้มาคุยกันในภายหลัง” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
ฝูงชนจึงหยุดสนทนา ทยอยกันนั่งลง และเริ่มรับประทานอาหาร
หากเป็นในสถานการณ์ทั่วๆ ไปแล้ว ปกติบรรดาสาวกจะสามารถสนทนากันระหว่างกินได้
อย่างไรก็ตาม หากมีบุคคลภายนอกอยู่ด้วย สาวกนิกายจะต้องรักษามารยาทให้ดีที่สุด ไม่ควรจะพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
นี่คือกฎที่ทางสำนักใหญ่บัญญัติขึ้น แม้นางเซียนไป่ฮั่วจะไม่ใส่ใจ แต่หากอยู่ในสถานการณ์ที่มีแขกมาเยือน มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตาที่จำต้องเก็บมาพิจารณา
ทุกคนรักษาความสงบ และกินอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
นางเซียนไป่ฮั่วยอมกินข้าวต้มดอกไม้วิญญาณของเขาจริงๆ
ขณะที่ห่านขาว กินบะหมี่ไปกว่าสองชามแล้ว มันโค้งคอลงกินเห็ดตุ๋น เพลิดเพลินไปกับรสอาหาร
ฉินเซี่ยวโหลวได้ลิ้มลองอาหารวิญญาณทั้งสิบหกจาน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหลงใหลและขบคิด
หากมิใช่เพราะยามนี้ยังไม่สมควรเอ่ยคำใด บางทีเขาอาจจะตะโกนชมอาหารเหล่านี้ของกู่ฉิงซานไปแล้ว
ขณะที่ใบหน้าของซิวซิวดูจะเศร้าสร้อย เธอนั่งกินอาหารซ่อมแซมจิตเทวะที่ไม่น่าจะอร่อยถูกปาก แต่เมื่อเด็กสาวกินจนหมด กู่ฉิงซานก็ยื่นชามบะหมี่เล็กๆ แก่เธอ และขนมขบเคี้ยวอีกนิดๆ หน่อยๆ
ใบหน้าของซิวซิวแสดงออกถึงความสุขทันที
ฉินรั่วกินอย่างเชื่องช้า มารยาทงดงามเป็นอย่างมาก ส่วนว่านเอ๋อก็มิได้กินมากจนเกินไป
ทางเหลิงเทียนสิง ระหว่างกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็แอบยกนิ้วโป้งให้กู่ฉิงซาน
‘ฝีมือเจ้าสุดยอดไปเลย’
เขาส่งเสียงผ่านความคิด
‘ยังมีอีกเยอะเลยนะ’ กู่ฉิงซานตอบ
ทางหนิงเยว่ฉาน นางยกชามข้าวขึ้นมากิน แต่ขณะเดียวกันก็เบนสายตาไปมองกู่ฉิงซานเป็นครั้งคราว
นางใช้ตะเกียบลองชิมอาหารทุกจาน สีหน้าของนางแสดงออกถึงความประหลาดใจ
เจ้าตัวเป็นถึงนักบุญหญิงของนิกาย ดังนั้นจึงพอที่จะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารวิญญาณอยู่บ้าง
อาหารวิญญาณเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับสูงสุด หากจะกล่าวว่าเทียบเคียงได้กับฉินเซี่ยวโหลวคงมิใช่เรื่องเกินเลย
หนิงเยว่ฉานอดไม่ได้ที่จะส่งความคิดไปอย่างเงียบๆ “ข้าไม่คิดเลย ว่าเจ้าจะมีฝีมือในด้านอาหารวิญญาณด้วย”
กู่ฉิงซานยืดอกตนขึ้นทันที “ข้าย่อมมีฝีมืออยู่แล้ว และจะบอกอะไรให้นะ ว่าอาหารวิญญาณของข้าเป็นที่เลื่องลือกันออกไปในหลายโลก คนส่วนใหญ่ไม่มีทางจะได้กินมันง่ายๆ หรอกนะ”
หนิงเยว่ฉานมองเขา และอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ
“นั่นสิ หากหญิงนางใดได้ร่วมหอลงโรงกับเจ้า พวกนางคงเปรียบดั่งได้รับพรอันประเสริฐโดยแท้”
………………………………….