แอนนากระโจนเข้ามาในถ้ำมืด
เธอกำลังจะโบกสะบัดเคียวที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีดำ แต่ก็ต้องชะงักลง ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน
เพราะเด็กสาวตัวน้อยจากคริสตจักรแห่งโชคชะตา ยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยสองตาหลับสนิทดังเดิม ไร้ซึ่งร่องรอยของบาดแผลใดๆ
“ซิสเตอร์แอนนา ดูคุณจะตกใจไม่น้อยเลยนะ” เด็กสาวหัวเราะ
ข้างๆ เธอ คือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่กำลังแผ่กลิ่นอายลางไม่ดีอย่างรุนแรงออกมา
มันเป็นหมียักษ์…หมียักษ์ที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา
ซึ่งเมื่อครู่นี้ภายนอกถ้ำมืด ก็เป็นกลิ่นอายจากตัวมันนี่แหละ ที่กดดันทุกคน
หมียักษ์สีเทามีขนาดความสูงเทียบเท่ากับตึกห้าชั้น แต่ตอนนี้มันกำลังนอนหมอบอยู่กับพื้น ส่งผลให้มีความสูงอยู่แค่ตึกสองชั้นเท่านั้น
และมอนสเตอร์ประหลาดเช่นนี้ แท้จริงแล้วกำลังนอนลงอย่างว่าง่ายอยู่ข้างกายของเด็กสาว
เด็กสาวเอื้อมมือน้อยๆ ไปสัมผัสลงบนหัวของหมียักษ์ สองตาของมันหยีแคบลง แสดงออกถึงความพอใจ
เวลานี้ คล้ายกับว่าหมียักษ์กำลังค่อยๆ ผล็อยหลับไป
“เจ้าสิ่งนี้เธอเป็นคนอัญเชิญมันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเธอ มันไม่น่าจะสามารถสร้างรอยแยกมิติในวิหารของเจ็ดเทพได้” แอนนาพูดในสิ่งที่คิด
“หนูรู้ดีว่าซิสเตอร์แอนนาน่ะแตกต่างจากพวกขยะเหล่านั้น” สาวน้อยกล่าวด้วยความสุข “แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่ยังเป็นจิตใจที่แข็งแกร่ง ที่กล้าก้าวออกมาช่วยหนู”
เด็กสาววาดแขนออกไป
ทันใดนั้นหนังสือปกสีเทาก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ
“นี่ต่างหากคือหนังสือพยากรณ์ที่แท้จริง” เด็กสาวตัวน้อยบอก
เธออธิบาย “ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่เหล่าทวยเทพต่างคนต่างก็มีโชคชะตาเป็นของตัวเอง และคำพยากรณ์ของเทพวิญญาณก็จะต้องถูกกระตุ้นด้วยพลังแห่งโชคชะตาที่ว่า ดังนั้นตั้งแต่โบราณตราบจนมาถึงปัจจุบันนี้ ทุกครั้งเกิดการเปิดคำทำนายของเทพวิญญาณ มันจะเป็นคริสตจักรแห่งโชคชะตาที่เป็นผู้ลงมือควบคุมอย่างลับๆ”
“หา? แล้วทำไมเธอถึงไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้ล่ะ” แอนนาไม่เข้าใจ
“เพราะเทพวิญญาณมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับห้วงอารมณ์ของทุกสิ่งมีชีวิต พวกท่านจึงตระหนักได้ว่า หากปล่อยให้ทุกคนล่วงรู้ว่าทุกอย่าง แท้จริงแล้วถูกควบคุมโดยพวกเราคริสตจักรแห่งโชคชะตา อีกทั้งหกคริสตจักรใหญ่ย่อมต้องเกิดซึ่งความโลภ สุดท้ายแล้วมันก็จะนำไปสู่การล่มสลายลงของคริสตจักรแห่งโชคชะตาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ นี่เป็นปัจจัยอันน่ากังวลอันใหญ่หลวงที่สุด”
“ดังนั้น เทพวิญญาณทั้งเจ็ดจึงได้ตระเตรียมวิธีการบางอย่างล่วงหน้า เพื่อช่วยพวกเราคริสตจักรแห่งโชคชะตาปิดบังความลับนี้”
“ส่วนเหตุผลที่ว่าหนูไม่คิดจะปิดบังความลับนี้อีกต่อไป นั่นก็เพราะนี่คือคำพยากรณ์ครั้งสุดท้ายแล้ว ดังนั้นถ้าจะบอกความจริงกับซิสเตอร์แอนนา มันก็คงจะไม่เป็นอะไร”
แอนนากวาดตามองเด็กสาวขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะสลับไปมองหมียักษ์ข้างๆ และถอนหายใจโล่งอก
“ถ้าฉันรู้ว่าเธอแข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้ ฉันคงไม่เสียเวลาโกรธและกังวลเหมือนในตอนนี้หรอก” หญิงสาวบ่น
“ฮี่ๆ” สีหน้าของเด็กน้อยแสดงออกถึงความละอายนิดๆ หน่อยๆ
เธอเอื้อมมือออกไป ทันใดนั้นความมืดมิดตรงหน้าหญิงสาวและเด็กสาวก็จางหายไป เผยให้เห็นถึงฉากที่ปรากฏขึ้นด้านนอก
ในเวลานี้ คนทั้งหลายกำลังหารือกันถึงเรื่องพันธมิตร
เมื่อเห็นแบบนั้น คิ้วของแอนนาก็ต้องยกสูงขึ้นอีกครั้ง แต่เด็กสาวก็พยายามเกลี้ยกล่อมเธอซะก่อน “ซิสเตอร์แอนนา ในความเป็นจริงแล้ว คุณไม่ต้องใส่ใจเกี่ยวกับพวกเขาเลย”
“เพราะอะไร?”
“ซิสเตอร์แอนนา คุณจะต้องเข้าใจก่อนนะว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เหมือนกันกับคุณ ดังนั้นจะมีหลายคนไม่ชอบคุณมันก็ไม่แปลก เพราะตั้งแต่ที่คุณปรากฏตัวขึ้นในดินแดนชิงอำนาจ คุณก็มีผู้รับใช้เทพคอยติดตามและคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา”
“แอนนาคนแบบคุณน่ะหาได้ยากมาก ในขณะที่คนที่มีความสามารถทั่วๆ ไปในโลกใบนี้ล้วนต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองสามารถอยู่รอดและแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่เมื่อโชคชะตาต้องการทดสอบพวกเขาจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะตาย”
“เพราะฉะนั้น ซิสเตอร์ได้โปรดอย่าโกรธเคืองพวกเขาเลย”
แอนนาจ้องมองสาวน้อยที่แสนจะใสซื่อ ความโกรธในจิตใจของเธอค่อยๆ มลายลง
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วกันไปเถอะ แต่ในเมื่อเธอมีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบมาช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเถอะ จะได้แยกย้ายกันกลับไปเร็วๆ”
“ตามที่คุณปรารถนา” เด็กสาวตัวน้อยกล่าว
เธอตบลงบนหัวของหมียักษ์ เงยหน้าขึ้นตะโกนสั่งเสียงดัง “เด็กน้อย ได้เวลาทำงานแล้ว!”
หูของหมียักษ์กระดิกทันที มันลืมตาขึ้น เปล่งเสียงคำรามสะท้านสะเทือนผืนดินอย่างกะทันหัน
โฮก!
ร่างใหญ่โตของมันโฉบออกไปราวกับสายฟ้าฟาด พรวดออกจากถ้ำมืด
และปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป ดังนั้นหลายคนที่อยู่ภายนอกจึงยังไม่ทันแม้ตอบสนอง
ชายผมบลอนด์ถูกหมียักษ์คว้าตัว จับยัดเข้าไปในปาก ถูกเคี้ยวกรุบๆ อย่างรุนแรง และกลืนเข้าไปในท้องโดยตรง
หมียักษ์ยกฝ่ามือของมันขึ้น และฟาดตบอย่างแรงลงบนพื้นห้องโถงใหญ่
คนอื่นๆ ที่กำลังจะโต้กลับ จู่ๆ ก็เสียสมดุลไปอย่างกะทันหัน มิอาจเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ
หมียักษ์ย่อมไม่พลาดโอกาสนั้น ร่างของมันสาดประกายกะพริบไหว ภายในไม่กี่ลมหายใจ มันก็กวาดเรียบทั้งห้าคนได้อย่างสมบูรณ์
มันเริ่มกัดแทะซากศพทั้งห้าจนหมดไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นหมอก กระจัดกระจายไปรอบห้องโถงและหายไป
เด็กสาวตัวน้อยอธิบายกับแอนนา “มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะตอนที่หนูเข้ามาที่นี่ หนูสัมผัสได้ว่าพลังที่เทพทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้นั้นอ่อนโทรมลงมาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เลยจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวพลังวิญญาณสดใหม่เสียก่อน จึงจะทำการพยากรณ์ได้”
“ในความเป็นจริงมันอาจจะต้องใช้จิตวิญญาณสดใหม่ซักสาม แต่ห้าก็ได้มั้ง ไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างไรเสียก็แค่คนธรรมดาห้าคนที่หายตัวไป และตอนนี้ พวกเขาก็ได้ทำประโยชน์โดยการเปลี่ยนตนเป็นพลังงานบริสุทธิ์แก่พวกเราแล้ว”
“แต่พวกเขาตายกันหมดเลยนะ แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าการทดสอบของทวยเทพล้มเหลว?” แอนนาถาม
“การทดสอบ? การทดสอบมันได้ผ่านไปแล้วต่างหาก” เด็กสาวตัวเล็กหัวเราะ “ซิสเตอร์แอนนา คุณผ่านการทดสอบแล้ว ไม่รู้ตัวเลยหรือ”
แอนนาตะลึงงัน “อ่าว การทดสอบครั้งสุดท้ายไม่ใช่ว่ามันเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งหรอกหรือ? แต่นี่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
สีหน้าของสาวน้อยกลายเป็นจริงจัง ปากเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ในโลกใบนี้ สิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งน่ะมีอยู่หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ สติปัญญา นั่นก็นับว่าเป็นความแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน”
“แต่สำหรับเทพวิญญาณ ความแข็งแกร่งเหล่านี้ล้วนอ่อนแอและแสนจะคลุมเครือ มิอาจนำมาหยิบยกได้”
“เป้าประสงค์ที่เหลืออยู่ของเทพทั้งเจ็ดได้บอกกับหนูว่า พวกเขาต้องการควานหาผู้ที่มีความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และหาญกล้าที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตนเมตตาเหล่านั้น”
“ซึ่งคุณ…ซิสเตอร์แอนนา เป็นคุณเพียงคนเดียวที่กล้าจะก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อช่วยหนู”
“ดังนั้น คุณเลยผ่านการทดสอบ”
เด็กสาวตัวน้อยยกหนังสือพยากรณ์มาไว้เบื้องหน้าแอนนา
“ซิสเตอร์ ได้โปรดวางมือของคุณลงบนหนังสือด้วย”
ดวงตาของแอนนาเผยถึงความรู้สึกซับซ้อน หัวเราะให้กับตัวเอง “เห็นได้ชัดว่าฉันก็แค่อยากรีบกลับวิหารของตัวเองเพื่อไปฝึกฝนต่อ แต่ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นแบบนี้”
เด็กสาวเอียงศีรษะและกล่าว “โชคชะตาน่ะ มันก็เป็นแบบนี้แหละ”
แอนนาพอได้ฟังก็ถอนหายใจ
เธอเฝ้ามองหนังสือพยากรณ์อย่างเงียบๆ
ในการรับรู้ของเธอ มันไม่ปรากฏถึงลางบอกเหตุแห่งความตายใดๆ
ตรงกันข้ามเลย มันกลับสามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจเทวะออกมาจากหนังสือเล่มนี้
อำนาจเทวะตรึงเข้ากับตัวเธอ เฝ้ารอคอยให้เธอไปกระตุ้นมัน
แอนนาวางฝ่ามือลงบนปกหนังสือพยากรณ์
“บอกหน่อยสิ ว่าเธอชื่ออะไร” แอนนาถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“ซิสเตอร์เรียกหนูว่าเค่อเอ๋อก็ได้” เด็กสาวตัวน้อยเผยรอยยิ้มสดใส
“เค่อเอ๋อ?”
“ใช่ หนู ‘ซูเค่อเอ๋อ’ ”
แอนนาตัวแข็งค้างไป เพราะชื่อนี้ มันดันไปคล้ายกับใครคนหนึ่ง
ซูเค่อเอ๋อเองก็วางมือลงบนปกหนังสือพยากรณ์เช่นกัน เจ้าตัวเผยถึงสีหน้าสนุกสนาน “หนูมีเรื่องส่วนตัวจะบอกคุณด้วยนะ แต่ตอนนี้ พวกเรามาเป็นประจักษ์พยานต่อคำทำนายสุดท้ายที่เทพทั้งเจ็ดทิ้งเอาไว้ข้างหลังกันก่อนเถอะ”
ว่าจบ เด็กสาวก็เริ่มร่ายคาถาในความเงียบ
หนังสือพยากรณ์ปกสีเทาเริ่มแพร่กระจายกลุ่มหมอกออกมา และปกคลุมทั้งสองเอาไว้
ปัง!
ความมืดมิดทั้งหมดหายวับไป
ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
เสาใหญ่ที่คอยค้ำยัน เสาแล้วเสาเล่าเริ่มทยอยกันหักโค่นลง ตลอดทั้งพื้นที่เริ่มพังทลาย วิหารของเจ็ดเทพกำลังล่มสลาย
ทว่าขณะเดียวกัน อำนาจเทวะอันเหลือล้นก็ท่วมไปทั้งอากาศที่ว่างเปล่า
“มันกำลังจะเริ่มแล้วนะ!”
ซูเค่อเอ๋อเตือนแอนนาด้วยความสุข
………………………………….