ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์แสงน่ะมันก็เป็นเพียงตัวแทนของกฎเกณฑ์ ที่มันสามารถทำได้ก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ในที่สุดมันก็ไม่คิดถกเถียงสิ่งใดต่ออีก และหายตัวไปจากกู่ฉิงซานโดยตรง
กู่ฉิงซานคิดอย่างเงียบๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
เทพวิญญาณได้ตั้งคำสาป ‘ความลับที่ไม่อนุญาตให้บอกเล่าแก่ผู้ใด’ ขึ้นในโลกสองร้อยล้านชั้น ในดินแดนชิงอำนาจ
นี่อาจจะหมายความได้ว่า น่าจะมีคำสาปอื่นถูกสาปอยู่อีกเช่นกันใช่หรือไม่?
ไม่มัวเสียเวลาคิด กู่ฉิงซานทดลองฝืนข้อห้ามทันที แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ช่างมันเถอะ อย่างไรเสีย นี่ก็ดูสมเหตุสมผลดี เพราะถ้ามันเป็นความลับร้ายแรงจริงๆ แล้วเทพวิญญาณจะมาบอกมันแก่ตนเองทำไมกัน?
ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ แค่เพียงการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกทั้งสองร้อยล้านชั้น ก็เป็นเรื่องยากพออยู่แล้ว พวกเขาคงไม่มีเวลามาจัดการเรื่องคำสาปหรอกมั้ง?
แล้วถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันควรทดลองทำอะไรต่อไปดี?
กู่ฉิงซานลองคิดทบทวนเกี่ยวกับมัน
โลกเก้าร้อยล้านชั้นได้ถูกทำลายลง และเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว เทพวิญญาณจึงหลบหนี ไม่เช่นนั้นก็ตาย กรณีนี้พิสูจน์ได้ถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ…ต่อให้สิ่งชีวิตใดๆ จะแข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นกึ่งเทพก็ตาม แต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญกับวันสิ้นโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดได้ว่าตนยังคงเหลืออีกสองหายนะที่จะต้องพบเจอ เขาก็ล้มเลิกการทดลอง ไม่ยินดีที่จะกระตุ้นมันให้มากไปกว่านี้ทันที
จะไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปเหยียบกับระเบิดด้วยตัวเอง!
เขาหันไปมองรอบๆ เจ้าตัวพบว่าร่างมนุษย์แสงเริ่มทยอยหายไปจากในอากาศที่บางเบามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
พวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในกระแสมิติก็เริ่มทยอยกันเคลื่อนไหวแล้ว!
หากอ้างอิงตามที่มนุษย์แสงบอก มอนสเตอร์ในบริเวณนี้น่ะ ไม่แข็งแกร่งมากมายอะไร
อย่างไรก็ตาม แม้จะอ่อนแอ แต่ถึงกระนั้นมอนสเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าเขามันก็ยังมีจำนวนมากเกินไปอยู่ดี นี่มิใช่สิ่งที่กู่ฉิงซานจะสามารถเอาชนะได้!
ยิ่งในพื้นที่มิติห่างไกลออกไป ที่มีมอนสเตอร์ที่แกร่งเทียบเท่าหรือเหนือยิ่งกว่ากึ่งเทพอาศัยอยู่ ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง!
ถ้าได้สู้กัน น่ากลัวว่าภายในไม่กี่ลมหายใจ กระดูกของกู่ฉิงซานคงกลายเป็นไม้จิ้มฟันให้พวกมันแทะเล่น
ฉะนั้นคงต้องเร่งมือ ไม่มีเวลาให้พักอีกแล้ว!
กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาคว้าก้อนกรวดชิ้นเล็กๆ ที่ลอยผ่านมา
ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก เศษหินเศษกรวดน่ะมีอยู่มากมาย และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกหรือดูสะดุดตาแต่อย่างใด
กู่ฉิงซานกำก้อนกรวด และเริ่มเปิดใช้งานความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แล้วทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปในอากาศที่บางเบา
ก้อนกรวดร่วงตกลงอีกครั้ง ก่อนจะถูกห่อหุ้มด้วยกระแสลมในมิติที่ว่างเปล่า ลอยออกไปในทิศทางที่ไม่รู้จัก
ท่ามกลางกระแสมิติ มอนสเตอร์ที่ทรงพลัง ล้วนไม่มีตนใดให้ความสนใจกับก้อนกรวดเลย พวกมันต่างเลือกวิหารที่ต้องการ และเริ่มออกเดินทางไป
ในเวลาเดียวกัน ก็เริ่มมียานพาหนะมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏขึ้นภายในกระแสมิติ
กระแสมิติที่แต่เดิมว่างเปล่าไร้ขอบเขต บัดนี้เริ่มกลายมาเป็นมีชีวิตชีวามากขึ้น เกือบทุกสรรพชีวิตต่างตัดสินใจออกเดินทาง มุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของวิหาร
นี่คือวันแรกแห่งยุคแสวงบุญ!
ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีมอนสเตอร์มิติตัวใดหยุดรออยู่เฉยๆ อีกต่อไป พวกมันเริ่มออกจากพื้นที่ของตัวเอง ล่องลอยไปตามเส้นทาง ออกล่าในตำแหน่งที่ใกล้เคียง กัดกินสิ่งมีชีวิตที่พอจะคว้าจับได้ เพื่อเติมเต็มพลังงานให้แก่ร่างกายตนเอง
มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งบางตัวเริ่มวิ่งป่วนไปทั่วในกระแสมิติ มีบ้างที่บังเอิญไปชนเข้ากับยานพาหนะล่องหน เมื่อตำแหน่งอาหารปรากฏ มันก็เตรียมที่จะเขมือบกินทันที
แต่สนามล่าของพวกมันก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป
เพราะยานบินล่องหนย่อมมิได้ไร้ผู้คน เพื่อถูกพบเจอ พวกเขาก็เริ่มพากันกระโจนออกมาเข้าต่อสู้กับมอนสเตอร์มิติทันที
บางครั้ง ก็เป็นฝ่ายมอนสเตอร์ที่ได้รับบาดเจ็บ และหลบหนีไป
บางครั้ง สิ่งมีชีวิตจากทุกเผ่าพันธุ์บนยานบินก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของมอนสเตอร์มิติได้ สุดท้ายก็ถูกพวกมันจับกิน
มีแม้กระทั่งยานบินบางลำที่เลือกจะหลบหนี แต่เมื่อหักเลี้ยวออกไปก็ดันบังเอิญไปชนเข้ากับยานล่องหนลำอื่นเสียอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ยานบินล่องหนที่ไม่เกี่ยวข้อง จึงต้องถูกลากมาเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์มิติด้วยเช่นกัน
พวกเขาต้องร่วมมือกันโต้กลับ
สงครามขนาดย่อมปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จากในทุกเส้นทางของกระแสมิติอันเชี่ยวกราก!
มันเริ่มมากขึ้น ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกระแสมิติเริ่มสะท้อนไปด้วยเสียงคำรามของมอนสเตอร์ และเสียงฉวัดเฉวียนของเทคนิคมนตรา บ้างก็เป็นเสียงกรีดร้องน่าสมเพชของสิ่งมีชีวิต
นับจากช่วงเวลานี้ไป กระแสมิติที่แต่เดิมเคยเงียบเหงา บัดนี้ครึกครื้น มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างออกเดินทางอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนล้วนต้องการที่จะไปจุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองให้เร็วที่สุด เพื่อเริ่มก้าวเดินบนเส้นทางสู่กึ่งเทพ
ยุคแห่งการแสวงบุญอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงแล้ว!
…
กู่ฉิงซานที่อยู่บนก้อนกรวดเล็กๆ เห็นถึงฉากทั้งหมดนี้ด้วยตาของเขาเอง
เขาแปลงร่างเป็นมดละลายไฟตัวเล็ก เกาะติดอยู่กับขอบกรวด แนบกายยึดติดลงกับผิวของมัน
มดละลายไฟ คือมดที่มีขนาดตัวเล็กมาก และชอบกัดกินพวกหินและกรวด ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่กู่ฉิงซานได้รับมาจากโลกล่องเวหา ก่อนจะต่อสู้กับสตรีแห่งรากษส เขาได้ทำการเก็บรวบรวมชิ้นส่วนตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเกาะลอยฟ้าของนิกายกวงหยาง และมดละลายไฟเองก็เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่เขาใช้ในการต่อสู้
มดตัวน้อยเกาะอยู่กับก้อนกรวด ลอยข้ามผ่านสนามรบอันดุเดือด สนามรบหนึ่งข้ามไปอีกสนามรบหนึ่ง ท่ามกลางกระแสมิติ
หลังจากลอยไปได้สักพัก มดละลายไฟก็กระโดดเปลี่ยนพาหนะ คราวนี้ลงไปเกาะบนผ้าขี้ริ้วแทน เพราะก้อนกรวดน่ะมันเล็ก ดังนั้นจึงถูกพัดพาไปกับสายลมได้ทั้งง่ายและเร็วเกินไป จนตัวเขาไม่สามารถควบคุมมันได้
ในทางตรงกันข้าม อัตราเร็วของผ้าขี้ริ้วน่ะเชื่องช้ากว่ามาก มดละลายไฟใช้ขาของมันเกี่ยวยึดผ้าขี้ริ้วเอาไว้ แล้วเงยหน้าหันไปมองรอบๆ
มันกำลังสังเกตเหตุการณ์ทั้งใกล้และไกลอย่างรอบคอบ ในสมองขบคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง เมื่อถึงจุดหนึ่ง สองหนวดของมดละลายไฟก็กระตุกทันที เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปจากมัน เป็นยานพาหนะที่อยู่ในสภาพเสียหาย ลอยคว้างอยู่ในกระแสมิติอย่างเงียบๆ ซึ่งดูเหมือนว่าตรงจุดนี้ การต่อสู้มันได้จบลงแล้ว
มองไปยังยานพาหนะที่เสียหาย สรุปได้ว่าในที่สุดคงเป็นฝ่ายมอนสเตอร์มิติที่ได้รับชัยชนะ และกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไป
หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยานบินลำนี้คงจะลอยอยู่ในความว่างเปล่าไปอีกนานแสนนาน
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของมดละลายไฟ ยานบินลำนี้กำลังจะค่อยหายไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ยานบินทั้งลำก็จะหายไปจากกระแสมิติ
มดละลายไฟจ้องมองดูฉากนี้ ค่อยๆ จมลงสู่ความเงียบ มันห่อผ้าขี้ริ้วไว้รอบตัว ปล่อยตนลอยล่องไปตามกระแสลม มุ่งไกลออกไปเบื้องหน้า
เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ซากปรักหักพังของยานอวกาศอีกลำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามัน นี่คือยานอวกาศจากอารยธรรมด้านเทคโนโลยี
ดูจากระดับความเสียหายอย่างรุนแรงตรงลำยาน และหลุมขนาดใหญ่จากภายนอกแล้ว ก็พอจะสามารถคาดเดาได้ว่ามันถูกโจมตีด้วยสิ่งที่ทรงพลังเพียงใด
…จะต้องเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวมากแน่ๆ
เวลานี้ เรือทั้งลำถูกทิ้งร้าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเรือหายไป หลงเหลือเพียงแขนขาไม่กี่ข้าง และคราบเลือดเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นตัวบ่งบอกความรุนแรงของการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี
ผ้าขี้ริ้วลอยไปใกล้กับยานอวกาศอย่างช้าๆ
ช่วงเวลาที่ทั้งสองลอยผ่านกัน มดละลายไฟก็กระโจนลงจากผ้าขี้ริ้วทันที
มันแปลงร่างกลายเป็นนกชนิดหนึ่ง สยายปีกแหวกสายลม พุ่งตรงเข้าไปในซากยานอวกาศด้วยความเร็วสูงสุด
นกบินเข้าไปในห้องโดยสารตามรูที่ถูกเปิดออก กลิ้งลงกับพื้น แปลงกายเป็นมดละลายไฟอีกครั้ง แล้ววิ่งเข้าไปในท่ออากาศ
มดละลายไฟวิ่งลงไปตามท่อ เข้าไปในส่วนที่ลึกสุดของเรือที่เต็มไปด้วยโครงสร้างเชิงกลมากมาย
มันคืบคลานเข้าไปในส่วนลึกของวัตถุโลหะทั้งหมด และแปลงกายเป็นไข่มด หยุดนิ่งอยู่ที่นั่น มิคิดเคลื่อนกายไปที่ใดอีกเลย
นี่คือหนึ่งในสายพันธุ์ที่เล็กที่สุด และไม่โดดเด่นมากที่สุดที่กู่ฉิงซานได้รวบรวมเอาไว้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซากยานอวกาศยังคงลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่า แต่กลับไม่มีมอนสเตอร์ตนใดเลยที่ให้ความสนใจกับซากเรือ เพราะพวกมอนสเตอร์มันสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงวิธีการแยกแยะว่ายานพาหนะใดที่ถูกกินแล้ว โดยดูจากรอยประทับที่มอนสเตอร์ตัวที่กินทิ้งเอาไว้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
สองชั่วโมงผ่านไป
ห้าชั่วโมงผ่านไป
และแล้วภายในซากยานอวกาศที่ว่างเปล่า ก็บังเกิดเสียงดังขึ้น
“รายงานบอส ผมเข้ามาแล้วนะ”
“พวกเราได้ทำการตรวจสอบแล้ว”
“อิงตามมาตรการตรวจสอบของเรา สัญญาณชีวิตที่อยู่ในยานอวกาศลำนี้ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในระดับต่ำสุด มันอาจมีพวกแมลงเล็กๆ หลงเหลืออยู่ แต่นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกลำอย่างไรก็ต้องมีแบบนี้ แต่ผมสามารถรับประกันได้ ว่าไม่มีผู้คนรอดชีวิตอยู่บนยาน”
“อ่าใช่ ระบบอาวุธของยานอวกาศถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงแล้วโดยมอนสเตอร์”
“เปลือกนอกของยานอวกาศไม่สามารถซ่อมแซมได้”
“แต่ระบบประมวลผลยังคงอยู่ในสภาพดี”
“บันทึกการบินก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“ใช่ ห้องเก็บข้อมูลก็ดูจะไม่บุบสลาย”
“บอส แต่ยานอวกาศลำนี้มาจากอารยธรรมด้านเทคโนโลยี บางทีพวกเราไม่สมควร…”
“ให้ลากมันกลับไปงั้นหรือ โอเค งั้นผมจะโทรเรียกฝูงบินล่องหนให้ก็แล้วกัน ส่วนคุณก็ช่วยส่งคนเกี่ยวตะขอมา”
“…แต่บอกตามตรงเลยนะว่าคราวนี้งานมันหนักจริงๆ ฉะนั้นถึงเวลาแบ่งเงินกันอย่าลืมเห็นหัวผมบ้างล่ะ”
“เข้าใจแล้ว จะเริ่มทำงานเดี๋ยวนี้เลย”
และเสียงสนทนาก็หยุดลง ยานอวกาศจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน ซากยานอวกาศก็เริ่มเกิดการเคลื่อนไหว
มันมิได้ลอยคว้างอย่างไร้จุดหมาย แต่มุ่งตรงไปในทิศทางหนึ่งอย่างมั่นคง และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตนเอง เพราะไม่ได้ยินเสียงจากเครื่องยนต์และระบบขนส่งพลังงานเลย
ในเวลาเดียวกัน ซากเรือทั้งหมดก็ถูกล่องหน หายวับไปจากในกระแสมิติอันเชี่ยวกรากทันที
ไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้
ไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปที่ไหน
แต่ที่แน่ๆ ในเวลานี้ ไข่มดที่เข้ามาในยานอวกาศก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ภายในโครงสร้างเชิงกลของยาน
ไข่มดนิ่งงันไม่ไหวติง เฝ้ารอคอยโอกาสอย่างเงียบๆ
…………………………………