กัปตันมองไปยังกู่ฉิงซาน
เห็นแค่เพียงภูตผีระดับราชาในชุดเกราะทมิฬ ที่ตามเกราะมีเส้นสายสีดำคล้ายกับหมอกควันลอยขึ้นเป็นแนวตั้ง ส่ายไปมาในอากาศที่ว่างเปล่า
บนหน้ากากเกราะทองคำที่มันสวมใส่ สลักไปด้วยอักษรรูนลึกลับมากมาย
กัปตันสามารถรับรู้ได้ถึงขีดพลังของภูตผีตนนี้
หลังจากการทดสอบความจริงเมื่อครู่ เขาก็ตระหนักได้ว่าภูตผีได้ปรับสภาวะตนเองให้อยู่ในสถานะขีดสุดตลอดเวลา กลิ่นอายสังหารช่างเข้มข้นรุนแรง เจตดาบที่เดือดดาลและดุร้ายพร้อมที่จะปะทุออกทุกเมื่อ หากไม่ได้ดั่งใจก็คงจะลงมือทันที
นี่นับว่าเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง
แต่ที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าก็คือ ภูตผีตนนี้ถูกเรียกมาที่นี่ด้วยกฎแห่งการอัญเชิญ ซึ่งนั่นหมายความว่ามันสามารถยกเลิกข้อตกลงและกลับไปยังโลกของตนเองได้ตลอดเวลา
แต่มันก็ไม่ทำ…นั่นหมายความว่าหากเหตุการณ์มันเลยเถิดไป จนมิอาจบรรลุข้อตกลงระหว่างมันกับวังเฉิงได้ มันอาจจะอาละวาดสังหารหมู่ผู้คนที่นี่
…แบบนั้นไม่ดีแน่
กัปตันหรี่ตาแคบลง หากมองดูจะคล้ายกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่
เขากระแอมและกล่าว “เจ้าหน้าที่ลำดับสองคงไม่ได้ตั้งใจหรอก ฉันเชื่อเขา” บังเกิดความวุ่นวายขึ้นโดยรอบ
เพราะมันเป็นเรื่องน่าฉงนจริงๆ สำหรับทุกคน ที่กัปตันไม่ได้เลือกไปเค้นถามเจ้าหน้าที่ลำดับสอง แต่ดันเลือกที่จะไปอธิบายให้กับภูตอัญเชิญฟังแทน
แบบนี้ ใช่เป็นการลำเอียง ยอมอ่อนข้อให้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ภูตผีดูเหมือนจะไม่สนใจ มันยังคงยอกย้อน “แต่วังเฉิงเองก็ได้รับการทดสอบความจริงแล้ว แล้วเหตุใดเจ้าหน้าที่ลำดับสองถึงไม่ต้องรับการทดสอบความจริงบ้างเล่า?”
ปลายคิ้วของกัปตันดูจะกระตุกเล็กน้อย
‘นี่มันชักจะอวดดีเกินไปแล้ว! มันรู้บ้างหรือเปล่าว่าไม่มีใครบนยานลำนี้กล้าที่จะท้าทายอำนาจเขา!!’
ดวงตาของกัปตันเลื่อนลงไปมองตรงมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
เขาพบว่ามือของกู่ฉิงซานในชุดเกราะดำกำลังกดลงบนด้ามดาบอยู่
ตามตัวดาบถูกห่อหุ้มไปด้วยสายฟ้าสีน้ำเงินขาว สาดแสงไสวอย่างไม่รู้จบ
‘…เป็นผู้ใช้ธาตุ แถมยังใช้ดาบ ภูตผีเช่นนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย’
‘และเมื่อครู่นี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นมันที่พลิกคว่ำทุกคนในดาบเดียว’
กัปตันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเริ่มลังเล
เห็นได้ชัดว่าภูตตนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่ทำไมกันนะ? ทำไมในหัวใจของเขายิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกเริ่มถูกกดดัน?
จะโจมตีมันเลยดีไหม…หรือว่าไม่ดี?
ตัวเลือกที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะนำไปสู่สองสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
กัปตันสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย
เขาเปิดปากและกล่าว “เจ้าภูตผี คือว่าฉัน…”
“กัปตัน!” เจ้าหน้าที่ลำดับสองแทรกขัดจังหวะ
เขาก้าวออกมาทันใด และกล่าวกับนาฬิกาดำ “ผมต้องการพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่า ‘เจ้าหน้าที่ลำดับสอง’ บนยานไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย แล้วก็ไม่ได้ลงมือฆ่าใครด้วย”
เมื่อเสียงเงียบลง นาฬิกาสีดำก็ยังคงเงียบ มันไม่ได้ดังขึ้น
ฝูงชนที่รับชมต่างส่งเสียงเฮลั่น
หมายความว่าเจ้าหน้าที่ลำดับสองกำลังพูดความจริง!
เขากลับมาได้รับความไว้วางใจจากทุกคนอีกครั้ง!
กัปตันได้สติกลับคืน เขามองกู่ฉิงซาน แล้วหันไปหาวังเฉิง “ดูสิ ก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละ ว่าตลอดทั้งยานลำนี้ไม่มีใครคิดที่จะฝ่าฝืนกฎของฉันหรอก”
เจ้าหน้าที่ลำดับสองพูดบ้าง “เป็นสองคนนั่นต่างหากที่วางแผนจะฆ่านาย ฉันขอบอกเลยนะว่าถ้านายตายด้วยฝีมือพวกเขา แล้วฉันรู้ ฉันนี่แหละจะเป็นคนแก้แค้นให้นายเอง!”
ขณะพูด เขาก็หันหน้าไปทางนาฬิกาดำ
นาฬิกาดำยังคงไม่ดังอยู่ดี
ฝูงชนโห่ร้องดีใจอีกครั้ง
หลังจากเจ้าหน้าที่ลำดับสองสามารถผ่านการทดสอบความจริงจากนาฬิกาดำของกัปตันได้อย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในพื้นที่ก็เริ่มแตกต่างออกไป
ใบหน้าเขม็งเกร็งของผู้คนคลายลง มันเริ่มผุดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ใช่แล้วล่ะ กัปตันน่ะเป็นคนที่เชื่อถือได้ เขาคือคนที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนเสมอมา
ดังนั้น กัปตันย่อมสามารถรักษากฎของยานทั้งลำเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
เจ้าหน้าที่ลำดับสองเองก็ซื่อสัตย์ และไม่ได้คิดร้ายใดๆ กับคนของตัวเอง
ยานลำนี้คุ้มค่าที่จะใช้ชีวิตอาศัยอยู่จริงๆ!
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม สายตาของเขามองไปยังนาฬิกาดำและตกลงสู่ห้วงความคิด
ตามความทรงจำของวังเฉิง นาฬิกาดำนี้ถูกนำมาจากคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย เป็น ‘สิ่งประดิษฐ์ศักดิสิทธิ์’ ที่มักจะใช้กันโดยทั่วไปในดินแดนชิงอำนาจ ที่ถูกเรียกกันว่า ‘เสียงมรณะของเทพแห่งความตาย’
เมื่อมีคนพูดกับเสียงมรณะ นาฬิกาจะแยกแยะจริงและเท็จของคำพูดของอีกฝ่ายจากในส่วนลึกระดับจิตวิญญาณและทำการตัดสิน
สำหรับคริสตจักรแห่งความตายแล้ว พวกเขามักจะมอบเสียงมรณะนี้ให้แก่กลุ่มกองกำลัง และอิทธิพลต่างๆ เหตุผลก็เพราะ…
หนึ่งคือเพื่อใช้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธินี้เป็นการขยายอำนาจของคริสตจักรแห่งความตาย
สองคือ เมื่อมีคนใช้เสียงมรณะ พวกเขาก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ทางคริสตจักร
สามคือ เมื่อนาฬิกาเริ่มทำงาน มันก็จะทำการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ และส่งย้อนกลับไปยังวิหารแห่งความตาย เป็นการส่งข้อมูลกลายๆ ให้แก่สมาชิกของโบสถ์ที่เกี่ยวข้อง
แม้ว่าหลายกลุ่มอิทธิพลจะรู้ดีว่านี่คือกลยุทธ์สืบข่าวกรองอันยอดเยี่ยมของคริสตจักรแห่งความตาย แต่หลังจากที่ได้ลองพิจารณาดูแล้ว พวกเขาก็ยังยินดีน้อมรับเสียงมรณะของเทพแห่งความตายเอาไว้อยู่ดี
นั่นเพราะด้วยสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ มันจะช่วยเปิดโปงความจริงที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถโกหกได้
มันคือเครื่องมือตรวจสอบความจริงระดับสูงสุด!
เพราะอย่างไรเสีย หากไร้ซึ่งคำโป้ปดใดๆ ภายในกลุ่มอิทธิพลและองค์กรของพวกเขาก็จะมีเสถียรภาพ
เป็นเวลานานปีนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีใครสามารถโกหกเสียงมรณะของเทพแห่งความตายได้
ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ลำดับสองผ่านการทดสอบความจริงจากกัปตัน ทุกคนจึงรู้สึกโล่งใจ
วังเฉิงหยุดคิดอยู่สักพัก สุดท้ายจึงเผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมา
“ขอบคุณมากกัปตัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมก็วางใจได้แล้ว” วังเฉิงกล่าว
กัปตันดุ “ไอ้เด็กเหลือขอเอ๋ย ทำให้สถานการณ์มันบานปลายซะจริง! รู้บ้างไหมว่าฉันต้องจ่ายให้กับคริสตจักรแห่งความตายในทุกๆ ครั้งที่ต้องการพิสูจน์ความจริงกับนาฬิกานี่”
วังเฉิงหัวเราะฮี่ๆ
ในเวลานี้ มีหลายคนเริ่มทยอยกันออกมาจากซากยานอวกาศลำที่สอง กระซิบข้างหูกัปตัน
ทันใดนั้นรอยย่นบนใบหน้าของกัปตันก็คลายลง
เขาประกาศ “เนื่องจากไป่หยูกับจางยี่ทรยศต่อฉัน และคิดร้ายต่อพวกเดียวกันเองอย่างกะทันหัน ดังนั้น ฉันจะทำการริบทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา!”
“และเมื่อเรื่องราวทุกอย่างมันจบลง ฉันก็จะขอแจกจ่ายทรัพย์สินที่ว่านั่นให้แก่ทุกคน!”
ฝูงชนโห่ร้องดีใจ ส่งเสียงดังยิ่งกว่าในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
กัปตันไม่เพียงแต่จะรักษากฎอย่างเคร่งครัด แต่ยังคงใจกว้างกับลูกเรือทุกคนเสมอ!
“วังเฉิง นายเป็นเหยื่อในครั้งนี้ ดังนั้นนายจะได้รับส่วนแบ่งมากที่สุด” กัปตันขยิบตาให้วังเฉิง
วังเฉิงยิ้มและกล่าว “ขอบคุณมากครับกัปตัน”
กัปตันส่ายมือเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว นายก็รีบๆ ปล่อยเจ้าภูตบ้านั่นกลับไปสักทีเถอะ”
ฉานนู่ในร่างวังเฉิงนิ่งงันไปชั่วคราว
นั่นเป็นเพราะว่าเธอกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกู่ฉิงซานอย่างลับๆ
“กัปตัน พอดีว่าผมยังมีอีกเรื่องต้องการจะรายงานกับคุณ แบบเป็นการส่วนตัว” วังเฉิงกล่าว
“หืม?” กัปตันยกคิ้วสูง เขามองไปทางวังเฉิง ก่อนจะสลับมองกู่ฉิงซาน
และพบว่าภูตผียังไม่หายไป
‘วังเฉิงไปตกลงกับมันว่ายังไงกันแน่นะ?’
กัปตันครุ่นคิดสักพักและกล่าว “งั้นอันดับสอง นายรับผิดชอบงานต่อที่นี่ ส่วนวังเฉิง นายไปที่ห้องกัปตันกับฉัน”
หลังจากนั้นไม่นาน
ภายในห้องกัปตัน
วังเฉิงก็ได้รายงานความลับออกไป ทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน
กัปตันที่นั่งอยู่ตรงข้าม รับฟังอย่างเงียบๆ
ใบหน้าของเขายิ่งนานก็ยิ่งมืดมนราวกับธารน้ำลึก
ในฐานะกัปตัน กลับมีบางคนกล้าที่จะเล่นตุกติกกับเขา!
การแสดงออกทางสีหน้าของกัปตัน เป็นตัวบ่งบอกถึงความโกรธในหัวใจของเขาได้เป็นอย่างดี
“ถ้างั้น หมายความว่าจริงๆ แล้วมันอาจเป็นเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ร่วมมือกับไป่หยูและจางยี่อย่างงั้นสินะ เพราะยังไงซะ ถ้าอยากจะกลบเรื่องให้มิด มันก็ต้องตกลงกับคนระดับสูงที่สุดที่คอยสั่งการอยู่แล้ว ถูกไหม?” กัปตันถาม
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น” วังเฉิงพยักหน้า
“งั้นแล้วเจ้าหน้าที่ลำดับสองล่ะ?”
“เดิมทีจางยี่ก็พูดถึงเจ้าหน้าที่ลำดับสองเหมือนกัน แต่ความจริงเขาอาจจะโกหกเพื่อกลบเกลื่อนให้อันดับหนึ่งก็ได้ แต่ยังไงซะจางยี่ก็ถูกภูตอัญเชิญฆ่าไปแล้ว ผมเองก็เลยไม่รู้ว่ามีคนสมรู้ร่วมคิดอยู่อีกหรือเปล่า แต่มั่นใจได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แน่ๆ”
กัปตันมองดูภูตอัญเชิญ “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก งั้นทำไมนายถึงไปมุ่งเป้าไปที่ลำดับสอง?”
“นี่เรียกว่ากลยุทธ์ระเบิดควัน เป็นการใช้ลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างความสับสนให้แก่ศัตรู เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้หรือไง เจ้าโง่” ภูตอัญเชิญหัวเราะ
“ไอ้ภูตผีนี่…”
วังเฉิงเร่งแทรก “กัปตัน คุณได้จ่ายค่าธรรมเนียมของเสียงมรณะของเทพแห่งความตายไปเท่าไหร่กัน เดี๋ยวผมจะออกในส่วนนั้นให้เอง”
หลังจากได้ฟัง สีหน้าของกัปตันก็ดูดีขึ้น
เขามองไปยังภูตอัญเชิญในชุดเกราะดำ และกล่าวอย่างรวดเร็วกับวังเฉิง “ที่นายยังไม่ยอมยกเลิกการอัญเชิญมัน เหตุผลจริงๆ แล้วก็เป็นเพราะเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งยังไม่ถูกกำจัดอย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้อง”
“ก็ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ในเมื่อมันเป็นเพราะเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งละเมิดกฎ งั้นฉันก็สมควรที่จะจัดการเขาตามกระบวนการยุติธรรม”
ว่าแล้วกัปตันก็กดลงที่ไหนสักแห่งบนโต๊ะและกล่าว “ไปเรียกเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมา”
ทั้งสองเฝ้ารออยู่สักพัก เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งก็มาถึง
ตลอดทั้งลำ ความแข็งแกร่งของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งเป็นรองแค่เพียงกัปตันเท่านั้น
กัปตันโดยทั่วไปแล้วมักจะไม่ได้ลงมาสั่งการอะไรแบบเฉพาะเจาะจง แต่จะเป็นเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งแทนที่เป็นคนสั่งการ และควบคุมยานทั้งลำ
ความแข็งแกร่งของกัปตันนั้นลึกลับมากเกินไป ไม่มีใครล่วงรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน
แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่ง ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขานั้นร้ายกาจและทรงพลังเพียงใด
แล้วแบบนี้กัปตันจะสามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งได้โดยที่เรื่องราวมันไม่บานปลายหรือเปล่านะ?
หรือว่าจริงๆ แล้วที่กัปตันเรียกเจ้าหน้าที่ลำดับหนึ่งมา เพราะต้องการจะสร้างปัญหาให้กับทางวังเฉิงซะเอง?
วังเฉิงย้อนนึกทบทวนถึงความทรงจำในอดีต ขณะเดียวกันก็คาดคะเนสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างลับๆ ทั้งคนทั้งร่างยังคงสงบ ไม่เผยท่าทีหวาดวิตกใดๆ
ภูตเกราะดำยังคงยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ นิ่งงันไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง
“กัปตัน ผมสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณถึงได้เรียกผมมาพบ?” เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งถามด้วยความนอบน้อม
กัปตันชี้ไปที่ชั้นวางหนังสือบนผนังและกล่าว “ช่วยไปหยิบหนังสือเล่มที่สิบเจ็ดในแถวที่สามแล้วยื่นมันให้กับวังเฉิงหน่อยสิ…ฉันอยากจะให้หนังสือเล่มนั้นกับเขา”
“รับทราบ” อันดับหนึ่งปฏิบัติตาม
เขาหันหลังกลับ มองไปยังชั้นวางหนังสือ
แถวที่สาม…เล่มที่สิบเจ็ด…
อันดับหนึ่งเงยหน้าขึ้นมอง
ขณะที่สายตาของกัปตันจับจ้องอยู่กับด้านหลังของอันดับหนึ่ง
กัปตันยกมือขึ้นมาอย่างเงียบๆ กางนิ้วทั้งห้า และจ้วงดึงอย่างรุนแรงไปทางอันดับหนึ่ง!
แกรก!
คอของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งถูกหักโดยตรง!
กัปตันสะบัดแขนของเขา และกระชากอากาศอย่างรุนแรง
ปุ!
ละอองเลือดปะทุขึ้น
หัวของเจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งที่ลำคอถูกบิดเป็นเกลียวร่วงตกลงมา ศพของเขากระแทกลงกับพื้น บังเกิดเสียงดังหนักทึบ
ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่เกือบแข็งแกร่งที่สุดบนยาน เจ้าหน้าที่อันดับหนึ่งได้ตายลงไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ทันจะได้ขัดขืนใดๆ เลย…
………………………………….