กู่ฉิงซานอยู่ในจุดเดิม นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะจีบมือออกด้วยวิชาลับ รวบรวมทรายสีเหลืองนวลรอบๆ นำมาปกคลุมผลึกน้ำแข็งอีกครั้ง
จากนั้นก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา
สองมือของกู่ฉิงซานพรมลงบนดิสก์อย่างรวดเร็ว
ไม่นาน แสงสวรรค์ก็สาดส่องออกมาจากดิสก์ค่ายกล
โดยมีผลึกน้ำแข็งถูกตั้งไว้อยู่ในใจกลางค่ายกลปกปิดขนาดใหญ่ ซ้อนทับๆ กันหลายชั้น
กู่ฉิงซานคิดอยู่พักหนึ่ง และตัดสินใจวางค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กเพิ่มเข้าไปด้วย เพื่อที่เขาจะสามารถเดินทางมาที่นี่ได้ แม้จะอยู่ในอีกซีกหนึ่งของโลกใบนี้ก็ตามที
หลังจากทำทั้งหมดนี้ เขาก็เก็บดิสก์ค่ายกลกลับคืน
ก็รู้อยู่หรอก ว่าค่ายกลพวกนี้มันอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่จะดีจะร้าย ด้วยค่ายกลปกปิดกว่าสิบเจ็ดค่ายซ้อนทับๆ กัน มันก็น่าจะสามารถกลบกลิ่นอายอำนาจเทวะที่ผุดออกมาจากผลึกน้ำแข็งได้สักเล็กน้อย
จากนี้ไป ที่ต้องทำก็คือหาวิธีในการรักษาหยุนจี
ตามความทรงจำของวังเฉิง ที่นี่คือโลกของเกรย์แฮนด์ แถมยังเป็นตลาดมืดลำดับที่สิบเอ็ดในดินแดนชิงอำนาจอีกด้วย
ถึงแม้ว่าวังเฉิงจะอยู่ในยานอวกาศมาเกือบครึ่งชีวิต และไม่มีความรู้ความสามารถในการหาเงินได้เยอะๆ ก็ตามที แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตลาดมืดน่ะ มันเจริญรุ่งเรืองขนาดไหน และมีสิ่งแปลกประหลาดมากมายเพียงใดอยู่ในนั้น
ตลอดทั้งสองร้อยล้านชั้นในดินแดนชิงอำนาจ ได้ถือกำเนิดอารยธรรมที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนขึ้น นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายทางทรัพยากร และสมบัติแปลกๆ ปรากฏขึ้นมาอีกมากมาย
และสถานที่อย่างเช่นตลาดมืด มันไม่ได้มีการจัดเก็บภาษี ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะอารยธรรม หรือธุรกรรมใดๆ ที่อยู่ที่นี่ ทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองจากเจ้าของตลาดมืด
เจ้าของตลาดมืดล้วนใหญ่ล้วนเฉลียวฉลาด พวกเขามักจะคิดค่าบริการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ทุกชีวิตที่เข้ามาเยือนจึงประทับใจกับผลกำไรที่ตนเองได้รับ เกิดการบอกปากต่อปาก จนกระแสผู้คนหลั่งไหลเข้ามา
ในตลาดมืดอาจจะมีความรู้หรือข้อมูลบางอย่างที่สามารถช่วยให้กู่ฉิงซาน สามารถเรียนรู้วิธีการรักษาตัวตนระดับจ้าววงการอยู่ก็ได้
ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาก็คือ การตรงไปยังตลาดมืด
นึกถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ลังเลอีกต่อไป
เขาหยิบเอาเม็ดยาวิญญาณออกมา โยนเข้าใส่ปาก
โลกใบนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่ แม้ตนจะมีฐานวรยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติขั้นกลางแล้วก็ตามที แต่การเดินทางไปยังตลาดมืดคงจะยาวนานและยากลำบากไม่น้อย
เอาล่ะ เท่านี้ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว
กู่ฉิงซานทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นกระแสแสง พุ่งหายไปยังทิศทางหนึ่งไกลออกไป
…
ภายในโลกเกรย์แฮนด์
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า
เม็ดทรายและฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
โลกทั้งใบราวกับถูกดูดเข้าไปท่ามกลางพายุทราย
ทว่าบางครั้ง ก็ยังปรากฏสถานที่อันหาได้ยากยิ่ง สถานที่ซึ่งมีพลังปริศนาคอยคุ้มครอง ป้องกันมิให้เศษฝุ่นทรายปลิวเข้าไปได้อยู่
กู่ฉิงซานบินมาทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า
ช่วงเวลานี้ แดดบนท้องฟ้านับว่าร้อนแรงที่สุดของวัน
มันคือช่วงเวลาเที่ยง
เหนือพายุทรายอันไร้ขอบเขต เจ็ดดวงอาทิตย์ร้อยเรียงกันเป็นทิวแถว สาดแสงอันร้อนแรงออกมา
ทุกอย่างแทบจะไหม้เกรียม
หากกู่ฉิงซานไม่ได้ใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายตนเองเอาไว้ล่ะก็ เขารู้สึกว่าตัวเองคงจะถูกย่างจนสุกไปแล้ว
จากความทรงจำของวังเฉิง โลกใบนี้ใกล้จะล่มสลายลงแล้ว
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของวังเฉิงอยู่ในระดับต่ำ ประจวบกับสถานะของเขา จึงยังมีอีกหลายสิ่งในโลกใบนี้ที่เจ้าตัวไม่อาจล่วงรู้
กู่ฉิงซานรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ข้อมูลมันน้อยเกินไป ไม่เอื้อต่อการตระเตรียมกลยุทธ์ล่วงหน้าของเขาเอาเสียเลย
เขารู้สึกว่าตนเองได้สูญเสียพลังวิญญาณไปมากพอสมควรแล้ว จึงก้มลงมองหาจุดพักบนพื้นทราย
พายุทรายปกคลุมไปทั่วฟ้า บดบังวิสัยทัศน์ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจน
เขาจึงตัดสินใจปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ ทำการตรวจสอบ ค้นหาสถานที่ซึ่งอยู่ภายใต้พายุทรายโดยละเอียดอีกครั้ง
เบื้องล่างของพายุทรายก็ยังคงเป็นผืนทราย
ภายใต้ผืนทราย ปรากฏถึงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ที่สะดุดตาที่สุดคงจะเป็น
ต้นไม้สีเขียวชอุ่มขนาดใหญ่
มันคือต้นไม้ที่ผุดงอกออกมาจากเนินทราย กำลังเปล่งประกายสีเขียวอ่อน กระจายไปตามพายุทรายที่อยู่รอบตัวมัน
บริเวณใกล้เคียงกับต้นไม้ใหญ่ไร้ซึ่งพายุทราย แสงระยิบระยับสีเขียวช่วยให้แลดูสงบ มันเต็มไปด้วยพลัง ส่งผลให้เกิดโลกอันแสนจะเงียบสงบใบเล็กขึ้นที่นั่น
กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะบินลงไป
หลังจากฟันฝ่าพายุทรายมาเป็นเวลานาน พละกำลังกายของเขาก็เริ่มจะไม่เพียงพอ และต้องการที่จะพักผ่อน หยุดเพื่อหาอะไรกินสักเล็กน้อย
เขาร่อนลงเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
และพบว่าแถวนี้มันไม่มีอะไรเลย
กู่ฉิงซานเดินไปหยุดหน้าต้นไม้ใหญ่ โค้งกายคารวะ กล่าวทักทายอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ แค่รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทาง เลยอยากจะขอมาพักผ่อนที่นี่สักครู่”
เขาตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดน้ำเต้าที่บรรจุน้ำแร่วิญญาณออกมา แล้วเทลงบนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่
นี่คือหลักปฏิบัติที่กู่ฉิงซานคิดว่าสมควรจะกระทำ
เพราะการที่ท่ามกลางทะเลทราย การจะปรากฏถึงพืชพรรณเขียวชอุ่มขึ้น มันเป็นไปได้ยากมาก
นั่นแสดงว่าต้นไม้ต้นนี้ต้องมีพลัง มีชีวิตและสติปัญญา
และด้วยการเทน้ำพุวิญญาณให้แก่มัน มันก็ย่อมจะต้องตอบสนองกลับมาด้วยท่าทีน่าพอใจ
กู่ฉิงซานได้รับความทรงจำของวังเฉิง
แม้ว่าวังเฉิงจะเป็นแค่คนเก็บซากยาน ไม่ได้มีระดับสูงอะไร แต่อย่างน้อยเจ้าตัวก็ยังเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามีประเภทของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน อยู่ในดินแดนชิงอำนาจ
กู่ฉิงซานพยายามคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
ต่อจากนี้ไปในอนาคต ตนเองคงจะต้องเดินทางอีกยาวไกลในดินแดนชิงอำนาจ
ดังนั้น หมายความว่าหากเหยียบย่ำลงบนสถานที่ไม่คุ้นเคย มันก็ย่อมต้องเป็นการดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในกรณีนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแสดงออกถึงเจตนาและทัศนคติที่ดีให้แก่มัน
แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด ก็จำต้องแสดงออกถึงเจตนาดี นี่คือหนึ่งในขั้นพื้นฐานที่สุดในการเอาชีวิตรอด
แน่นอน ว่าวิธีการที่รุนแรงยิ่งกว่า ย่อมไม่พ้นการต่อสู้
แต่หลังจากที่ได้ประสบพบเจอกับร่างมนุษย์แสง กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าเขาจะต้องไม่ประมาทต่อภูมิปัญญาของเหล่าสิ่งมีชีวิตใดๆ
เนื่องจากร่างของมนุษย์แสงได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าสิ่งมีชีวิตนับพันล้าน กระทั่งมอนสเตอร์มิติมันก็ยังเลือกที่จะปรากฏตัวขึ้น
ซึ่งนั่นสามารถพิสูจน์ได้ถึงสิ่งหนึ่ง
นั่นก็คือ เจ็ดเทพต่างเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนชิงอำนาจล้วนมีสติปัญญา และสามารถก้าวขึ้นมาเดินบนเส้นทางแห่งทวยเทพได้
คล้ายกับกำลังจะสื่อกลายๆ ว่าทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน
ดังนั้น หากสิ่งมีชีวิตทุกคนได้รับการปฏิบัติราวกับมีสติปัญญาเท่าเทียมกัน ดังนั้น เมื่อกู่ฉิงซานเข้าสู่อาณาเขตของคนอื่น เขาจึงจำเป็นต้องแสดงทัศนคติดีๆ ออกไป
ไม่มีใครหรอก ที่จะยินดีต้อนรับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ให้เดินเข้ามาในบ้านของตัวเอง
แต่ถ้าหากคนแปลกหน้ามาด้วยอัธยาศัยที่ดีมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
นี่คือมุมมอง และข้อสรุปแรกที่กู่ฉิงซานมีต่อดินแดนชิงอำนาจ
ด้วยเหตุนี้เอง กู่ฉิงซานจึงเลือกแสดงออกถึงเจตนาดี และมอบของขวัญให้แก่ต้นไม้ใหญ่ทันทีที่เข้าก้าวเข้ามาในอาณาเขตของมัน
เห็นแค่เพียงน้ำแร่วิญญาณที่ถูกเทลงบนกิ่งก้านต้นไม้ ไม่นานก็ถูกดูดซึมลงไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเอง เสียงกระหึ่มก็ดังตามออกมาจากต้นไม้
“ข้าไม่ได้ดื่มน้ำแร่ที่มีรสชาติเช่นนี้มานานมากแล้ว หากมอบมันให้ข้าอีกสักหน่อย จะรู้สึกขอบคุณมาก”
กู่ฉิงซานแหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ด้วยความประหลาดใจ
เขาหยิบน้ำเต้าอีกอันออกมา และราดลงบนต้นไม้
น้ำแร่ใสสะอาดทั้งหมดถูกดูดซึมจนเกลี้ยงทันที
“อา…”
ต้นไม้ระบายลมหายใจด้วยความพอใจ
มันกล่าวต่อ “ผู้เดินทางไกลเอ๋ย น้ำแร่ของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกพึงพอใจยิ่ง ดังนั้นเจ้าสามารถพักผ่อนที่นี่ได้ตามต้องการ”
‘หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้พักอยู่ที่นี่อย่างนั้นสินะ’
กู่ฉิงซานเข้าใจในทันที
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันจะถูกต้องแล้ว
เขาประสานสองกำปั้นและกล่าว “ขอบคุณท่านมาก”
“ด้วยความยินดี แต่หากเป็นไปได้ ข้าขอแร่ที่ยังอยู่ในขวดน้ำเต้าจะได้หรือไม่” ต้นไม้ใหญ่กล่าว น้ำเสียงของมันฟังดูเก้อเขินกับสิ่งที่ตนขออยู่เหมือนกัน “แต่คราวนี้ไม่ต้องเทนะ เพราะลูกของข้ากำลังจะกลับมา ข้าจะเก็บเอาไว้ให้มัน บางทีมันอาจจะชื่นชอบน้ำแร่นี้ก็ได้”
กู่ฉิงซานยิ้ม
ทั่วบริเวณแห่งนี้คือทะเลทราย ดังนั้นจึงยากนักที่จะได้พบเจอกับน้ำดีๆ
อีกอย่าง ว่ากันว่าโลกใบนี้เกือบจะล่มสลายลงแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมน้ำแร่วิญญาณถึงได้รับความสนใจในที่แห่งนี้
สำหรับกู่ฉิงซาน มันก็แค่น้ำแร่ ดังนั้นจะให้เพิ่มมากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร
กู่ฉิงซานหยิบขวดน้ำเต้าเพิ่มอีกหนึ่ง แล้ววางมันลงบนพื้นข้างๆ ต้นไม่ใหญ่
…………………………………………………