ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย
ท่ามกลางโลกกระจัดกระจาย ที่เปรียบดั่งแสงไฟริบหรี่ ลอยล่องอยู่ภายนอกเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วง
ทุกประเภทขององค์กรที่ทรงประสิทธิภาพ ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น กระทั่งตัวตนทรงอำนาจ ล้วนไม่มีผู้ใดให้ความสนใจที่นี่
ดังนั้น ทางฝ่ายระบบของราชามารเอง ก็ย่อมยังไม่เคยค้นพบกับการต่อต้านอันแข็งกร้าวจากที่นี่เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นทาส วิญญาณ ต้นกำเนิดของโลก ทุกสิ่งอย่าง ระบบล้วนได้มาครอบครองได้อย่างง่ายดายตามต้องการ
แต่ในตอนนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ขัดขวางการกัดกร่อนโลกกระจัดกระจายของระบบราชามาร
นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล จู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาโดยสถาบันเทพอย่างกะทันหัน
เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจอันหาที่ใดเปรียบ สมาคมผู้พิทักษ์หอสูง และสหพันธ์โลก เก้าร้อย ล้านชั้นก็ได้ถูกทำลายลง
มันเริ่มต้นจากชั้นหนึ่ง ไปยังอีกชั้นหนึ่ง ทยอยล้างบางโลกทั้ง เก้าร้อย ล้านชั้น
นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลกวาดล้าง อาละวาดไปตลอดเส้นทาง
ในทุกๆ โลกที่มันข้ามผ่าน ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนถูกกลืนกิน สิ่งปลูกสร้างใดๆ ล้วนถูกทำลาย
และแล้วในที่สุด มันก็เดินทางย่ำกรายเข้าไปในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
ที่นั่น มีระบบที่เสร็จสิ้นการอัปเกรดแล้ว เป็นระบบที่สามารถทะยานขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด ครอบครองอำนาจที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน
มันคือ…
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ จุติราชามาร
ท่ามกลางโลก เก้าร้อย ล้านชั้น ล้วนไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลได้ กระทั่งระบบเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
มอนสเตอร์ได้เจาะมิติเข้าไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
เผ่ามาร ผู้เข้าสู่วิถีมาร และมารที่แท้จริงนับไม่ถ้วนล้วนถูกดูดกลืนวิญญาณ กลายเป็นสารอาหารให้แก่มัน
กระทั่งช่วงวินาทีสุดท้าย จอมมารที่แท้จริงก็ได้กระทำสิ่งหนึ่งจนเสร็จสมบูรณ์
ภายใต้การนำของระบบราชามาร เขาได้ใช้อำนาจทั้งหมดที่มีในดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู ชักนำเอาร่างศพๆ หนึ่งออกมาจากสายธารแห่งกาลเวลา
ไม่มีใครรู้ว่าร่างศพนี้มาจากที่ไหน เว้นแค่เพียงระบบกับจอมมารที่แท้จริง
จอมมารที่แท้จริงได้ระดมพลเหล่ามารที่แท้จริงทั้งหมดที่ยังเหลือรอดอยู่ มาช่วยกันซ่อมแซมร่างศพนี้ทั้งกลางวันกลางคืน
ในช่วงเวลาที่นักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาลกำลังจะทำลายล้างดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรูจนราพณาสูร ระบบก็สามารถปลุกร่างศพให้ตื่นขึ้นมาได้ทันเวลาในที่สุด
สุดท้ายแล้วนักล่าตนสุดท้ายแห่งยุคบรรพกาล ก็ได้พบเจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ และจมอยู่ท่ามกลางการต่อสู้เป็นเวลายาวนาน
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีวี่แววว่าจะยุติลง
…
โลก เก้าร้อย ล้านชั้นอยู่ในปากเหวแห่งความพินาศ
แต่ในทางกลับกัน มันก็ส่งผลให้ระบบของราชามารไม่คิดเปลืองพลังงาน เบนความสนใจมาเล็กๆ น้อยๆ มายังโลกกระจัดกระจาย
ส่งผลให้ระบบทั้งหมดในโลกกระจัดกระจาย ล่าถอยกลับไป
โลกเหล่านี้จึงสามารถกลับมามั่นคง และปลอดภัยได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ในช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้ไปถึงโลกทะเลทราย
ณ โลกเทวะ
ภายในนิกายร้อยบุปผา
นี่คือช่วงเวลากลางดึก ทุกสิ่งอย่างช่างเงียบสงบ
ฉินเซี่ยวโหลวปิดประตู เริ่มแปะยันต์ไว้ตามผนัง ตามด้วยวางค่ายกลแจ้งเตือนนับสิบ พอทำจนจบครบสมบูรณ์ เจ้าตัวถึงค่อยรู้สึกคลายใจลงเล็กน้อย
เขาหันกลับมา กวาดตามองทุกคนภายในห้อง
ห่านขาว ซิวซิว ฉินรั่ว ว่านเอ๋อ และตัวเขาเอง
สาวกของนิกายร้อยบุปผาทุกคน ยกเว้นกู่ฉิงซาน ได้มารวมตัวกันที่นี่
ห่านขาวเอ่ยถาม “เซี่ยวโหลว เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ถึงได้เรียกพวกเรามาเงียบๆ กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้?”
ซิวซิวอ้าปากหาว “นั่นสิ ข้าเองก็เกือบจะหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็เห็นยันต์สื่อสารพุ่งเข้ามา ข่มขวัญซะข้าแตกตื่นไปเลย”
ฉินรั่ว กล่าวด้วยสีหน้ากังวล “ศิษย์พี่สอง ท่านลงทุนใช้ยันต์กับค่ายกลตัดขาดทุกสิ่งทุกขนาดนี้ มีเรื่องใดก็ขอให้เร่งกล่าวเถอะ”
เซี่ยวโหลวมองทุกคนด้วยสีหน้าอันลึกล้ำ “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวตัวน้อย นี่ในใจพวกเจ้าไม่บังเกิดความสงสัยใดๆ ขึ้นกันเลยหรือ?”
ทุกคนพอได้ฟังว่าเป็นเรื่องนี้ ก็พากันผ่อนคลายลงทันที
ว่านเอ๋อขยี้ตาของเธอ พยายามปลุกตัวเองจากสภาวะง่วงเหงา “ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ข้าคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรซะอีก”
ไม่กี่วันก่อน
เด็กสาวตัวน้อยปรากฏกายขึ้นบนบัลลังก์หมื่นบุปผา โดยอ้างตนว่าเป็นนางเซียนไป่ฮั่ว
จากนั้น เธอก็ก่นด่าสั่งสอนฉินเซี่ยวโหลวที่พูดไม่ดีออกไป
แต่เมื่อคนอื่นๆ ทราบข่าว และเดินทางมาถึง เด็กสาวตัวน้อยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเปลี่ยนวาจา ประกาศออกไปว่าแท้จริงแล้วเธอคือแขกของนางเซียนไป่ฮั่ว
ภายใต้สายตาระแวงสงสัยของทุกคน เธอจึงหยิบตราของนางเซียนไป่ฮั่วออกมาแสดง
ในเวลาเดียวกัน นางเซียนไป่ฮั่วก็ส่งยันต์สื่อสารมายังเหล่าสาวก
ในยันต์สื่อสาร นางเซียนไป่ฮั่วบอกว่าเธอมีธุระบางอย่างจำต้องออกไปข้างนอก ดังนั้นในระหว่างนี้ก็ขอฝากให้สาวกทั้งหลายคอยดูแลเด็กสาวตัวน้อยเอาไว้ให้ดี
เมื่อมีทั้งตราและยันต์สื่อสารเป็นเครื่องยืนยัน ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่าเด็กสาวตัวน้อยเป็นแขกของนิกายร้อยบุปผาจริงๆ
ว่าแต่เรื่องนี้มันมีอันใดผิดปกติกัน?
ฉินเซี่ยวโหลวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน เขาก็ส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “พวกเจ้าไม่ตระหนักถึงความผิดปกติของเด็กสาวนางนี้เลยหรือ?”
“เซี่ยวโหลว เจ้าต้องการจะกล่าวอะไรกันแน่?” ห่านขาวถามด้วยความอยากรู้
ซิวซิวเอ่ยปาก “ใช่ๆ ก็ในเมื่อนางมีตราของอาจารย์ และท่านอาจารย์ยังส่งยันต์มาอธิบายเป็นการส่วนตัว ดังนั้นพวกเราก็ต้องปฏิบัติต่อแขกเป็นอย่างดีตามคำขอของท่านอาจารย์สิ”
ว่านเอ๋อเริ่มเกิดความสนใจ เธอเอ่ยถาม “เด็กสาวคนนั้นมีอันใดผิดปกติกัน ศิษย์พี่สองโปรดแถลงไข”
“หากเจ้าลองคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ เจ้าจะค้นพบว่านางมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ฉินเซี่ยวโหลวค่อยๆ เฉลย
มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง?
ทุกคนจมอยู่ในห้วงความคิด
ว่านเอ๋อส่ายหัว “นางมีความสุขมากที่ได้เล่นกับข้า ข้าค่อนข้างที่จะชอบนาง”
“พวกเจ้าเล่นอะไรกัน?” ฉินเซี่ยวโหลวถาม
“ข้าพานางไปปีนต้นไม้ กระโดดเชือก ชวนเก็บก้อนหินที่งดงามในลำธารเล็กๆ จากนั้นก็ไปที่สวนอสูรวิญญาณ เพื่อให้อาหารพวกมัน ในช่วงหลายวันมานี้ ข้าเองก็ไม่พบว่านางมีพิรุธใดๆ เลย” ว่านเอ๋อกล่าว
ฉินรั่วพยักหน้า เอ่ยเสริม “ครั้งสุดท้ายข้าพานางออกไปเดินตลาด นางก็ใช้เวลาทั้งวันอย่างมีความสุข งอแงไม่ยอมจะกลับมาจนมืดค่ำ นี่คือลักษณะของเด็กน้อยทั่วไป ไม่มีอันใดผิดปกติ”
ซิวซิวพูดบ้าง “นางใช้ตะเกียบยื้อแย่งตีนเป็ดตุ๋นกับข้าในมื้อค่ำ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ฉินเซี่ยวโหลวเมื่อเริ่มพบว่าสถานการณ์มันไม่ถูกต้อง ก็เร่งเตือนทันที “ก็ตุ๊กตาไง! พวกเจ้าไม่สังเกตหรือ? ว่านางถือตุ๊กตาอยู่!”
ว่านเอ๋อ “ย่อมสังเกต ไม่ใช่ว่าตุ๊กตาตัวนั้นมีลักษณะคล้ายท่านอาจารย์หรอกหรือ? แล้วมันทำไม?”
ฉินเซี่ยวโหลวดีดนิ้วดังเป๊าะ “นั่นแหละประเด็นสำคัญ!”
“พวกเจ้าลองคิดดูดีๆ สิ ว่าแขกจากนิกายอื่นๆ มีผู้ใดบ้างครอบครองตุ๊กตาที่มีลักษณะเหมือนกับท่านอาจารย์?”
หลายคนพอได้ฟัง ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
จริงสิ… นี่เหมือนกับว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวเคร่งขรึม “ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตระหนักถึงเรื่องนี้ได้เมื่อใด แต่นางนำตุ๊กตาตัวนั้นติดตัวไปทุกที่เลย”
“แล้วเจ้าคิดว่ามันเพราะอะไร?” ห่านขาวถาม
“ข้าคิดว่าตุ๊กตาตนนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างไม่น่าไว้วางใจ จักต้องมีอำนาจบางอย่างถูกฝังเอาไว้ในมันแน่ๆ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
“ตุ๊กตาผ้าจะไปมีอำนาจบางอย่างได้อย่างไร?” ห่านขาวถาม
“ข้าได้ใช้เทคนิคทำนายชะตา คาดคำนวณไปกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่ครั้ง และค้นพบว่า มิอาจวัดความแข็งแกร่งของเด็กสาวตัวน้อยได้เลย และตำแหน่งของนางก็ถูกบดบังด้วยบางสิ่ง ข้าจึงคิดว่าอำนาจที่รบกวนการทำนายของข้า น่าจะมาจากตุ๊กตาผ้า” ฉินเซี่ยวโหลวสรุป
ห่านขาวพยักหน้าอย่างลับๆ
‘ไม่คาดคิดเลยว่าสายตาของฉินเซี่ยวโหลวจะเฉียบแหลม มองทะลุมาถึงจุดนี้ได้’
นั่นคือตุ๊กตาผ้าที่เธอได้รับมาจากหยุนจี เมื่อออกจากสหพันธ์โลก เก้าร้อย ล้านชั้น
และบทบาทของตุ๊กตา จริงๆ แล้วคือการช่วยปกปิดกลิ่นอาย ป้องกันมิให้ถูกสอดส่องโดยผู้ไม่ประสงค์ดี
ห่านขาวบังเกิดห้วงอารมณ์ปีติเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า นอกเหนือไปจากกู่ฉิงซานแล้ว ก็จะมีฉินเซี่ยวโหลวนี่แหละที่มีความนึกคิด เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอนนี้แค่คาดเดาได้ถึงขนาดนี้ นับว่าเยี่ยมมากแล้ว
โชคชะตาของนิกายกำลังพลิกผันไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ระหว่างกำลังขบคิด ฉินเซี่ยวโหลวก็เอ่ยต่อ
“และพวกเจ้าไม่สังเกตเห็นเลยหรือ ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หน้าตาของเด็กสาวตัวน้อยนั่นอย่างไร!”
ทุกคนต่างชะงักไปพร้อมกัน
“หน้าตา? มันก็จริงนี่เด็กสาวนางนี้งดงามนัก” ซิวซิวพูดด้วยความอิจฉา
“เด็กสาวนางนี้น่ารักและดูบริสุทธิ์อย่างแท้จริง หากเติบใหญ่ขึ้น ข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะงดงามเพียงใด” ฉินรั่วอุทาน
ว่านเอ๋อพยักหน้าตาม
“ผิดแล้ว! สายตาในการสังเกตของพวกเจ้าอ่อนด้อยเกินไป” ฉินเซี่ยวโหลวส่ายหัว
“เช่นนั้นในแง่ของรูปลักษณ์ เจ้าพบสิ่งใดผิดสังเกต?” ห่านขาวถาม
ฉินเซี่ยวโหลวเม้มริมฝีปากของเขา และในที่สุดก็เอ่ยประโยคที่สามารถสั่นสะเทือนผืนดินออกมาได้ในที่สุด
“ข้าค้นพบว่านางมีรูปลักษณ์ค่อนข้างเหมือนท่านอาจารย์”
แล้วทุกคนก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
ทั้งหมดค่อยๆ ทยอยกันย้อนนึก
“จะว่าไป…ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ” ซิวซิวกล่าว
ฉินรั่ว ไตร่ตรอง “ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดข้าจึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นนางที่ไหนมาก่อน”
ว่านเอ๋อยังคงเทียบเปรียบอยู่ในใจ ปากเอ่ยพึมพำ “ถึงแม้ว่าจะยังเด็ก แต่ตรงส่วนคิ้วดูเหมือนท่านอาจารย์จริงๆ นั่นแหละ”
ห่านขาวบังเกิดความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น
ด้วยสิ่งนี้ มันสามารถสรุปได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง นั่นก็คือความสามารถในการสังเกตของฉินเซี่ยวโหลวค่อนข้างดีมากจริงๆ
บางที หากกู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ เซี่ยวโหลวอาจไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย
ห่านขาวกระแอมไอและกล่าว “เห็นด้วย ข้าคิดว่านางคล้ายกับอาจารย์มาก ดังนั้นเจ้าสมควรมีคำตอบแล้วกระมังเซี่ยวโหลว”
ฉินเซี่ยวโหลวพยักหน้าขึงขัง เอ่ยเสียงดัง “ข้าได้ค้นพบถึงความจริงแล้ว”
ห่านขาว “ยอดเยี่ยม ไหนลองบอกคำตอบของเจ้าให้พวกเราทราบหน่อย”
ฉินเซี่ยวโหลว “ข้าไม่กล้าพูดออกไป”
ห่านขาวยิ้มและกล่าว “มันไม่เป็นไรหรอก ที่นี่ก็คนกันเองทั้งนั้น เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไปว่าความคิดนี้จะรั่วไหล”
ฉินเซี่ยวโหลวมองห่านขาว สลับไปมองซิวซิว ฉินรั่ว และว่านเอ๋อ
สาวๆ ต่างพยักหน้าให้เขา
“ก็ได้ ข้าจะเอ่ยมัน”
ฉินเซี่ยวโหลวสูดหายใจลึก สีหน้าของเขาเขากลายเป็นซับซ้อนและหนักอึ้ง
“เด็กสาวตัวน้อยนางนี้ มีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับท่านอาจารย์ แถมยังกอดตุ๊กตาที่เหมือนกันกับท่านอาจารย์อยู่ตลอดเวลา ประจวบกับถูกปกป้องด้วยอำนาจบางอย่าง ดังนั้นนางสมควรจะเป็น…”
“เป็นอะไร?” ซิวซิวอดไม่ไหว เร่งเค้นถาม
ฉินเซี่ยวโหลดกำมือของเขาและกล่าวอย่างลึกล้ำ “นางสมควรจะเป็น บุตรสาวลับๆ ของท่านอาจารย์!”
บังเกิดความเงียบงันขึ้นตลอดทั้งห้อง
ซิวซิวยกมือขึ้นกุมปากออกเธอ
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันและกัน
ฉินรั่ว ขบคิดจริงจัง สุดท้ายส่ายหัว “นี่ไม่น่าจะใช่ เพราะท่านอาจารย์ยังบริสุทธิ์อยู่”
“ถูกต้อง แม้ข้าจะเห็นด้วยกับเรื่องของหลักฐานและเหตุผลที่ว่าสาวน้อยนางนี้ไม่ปกติ แต่ประเด็นที่ว่านางเป็นลูกของท่านอาจารย์ ย่อมมิใช่”
ฉินเซี่ยวโหลวตะลึง เร่งถาม “แล้วพวกเจ้าทราบได้อย่างไรว่าท่านอาจารย์มิได้มีคู่ฝึกยุทธแบบคู่ครอง เห็นท่านอาจารย์เงียบๆ แต่อาจฟาดเรียบไปแล้วก็ได้นะ?”
ว่านเอ๋อส่ายมือ “นั่นมันเป็นเรื่องของผู้หญิงอย่างเรา เจ้าอย่าได้เอ่ยถามแล้ว ยังไงก็ตาม ในเรื่องนี้พวกเราสามารถยืนยันได้”
ฉินเซี่ยวโหลวกลายเป็นโง่งม
“ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อครู่ท่านเอ่ยสนับสนุนข้า ฉะนั้นคราวนี้ท่านก็ย่อมต้องเห็นด้วยกับข้า ถูกหรือไม่?” เขาหันไปถามห่านขาว
ห่านขาวก้มหน้าลง ร่างกายสั่นสะท้าน
อืม…ทนไว้ อดทนเข้าไว้
อดทน อดทน
อดทน และอดทน
อดทน อด…
อดไม่ไหวแล้วโว้ย!
“บักหำเซี่ยวโหลว มึงตาย!”
บรึ้ม!