ณ วังร้อยบุปผา
นางเซียนไป่ฮั่วเตือนกู่ฉิงซานอย่างระมัดระวัง
“ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าคือผู้ฝึกดาบ และดาบคือทุกสิ่ง ดังนั้น หากจะให้ต้องออกไปภายนอก เผชิญกับความเศร้าโศกที่มิอาจช่วยเหลือดาบพิภพจนมันสิ้นใจลงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าขอบอกความจริงข้อนี้แก่เจ้าเสียดีกว่า”
“ดาบพิภพอยู่คู่กับข้ามานาน และเจ้าเองก็เป็นศิษย์ข้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร”
ได้ยินคำที่แสนจะคุ้นเคยเหล่านี้ ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานก็ผสมปนเปกัน
หากในช่วงเวลานี้ มีผู้คนล่วงรู้ว่าเรื่องราวอันน่าสิ้นหวังมากมายจะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขาจะรู้สึกยังไงกันนะ?
เขากล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ท่านอาจารย์ข้าต้องการซ่อมแซมดาบพิภพ ในตอนนี้เลย!”
“ฐานวรุยุทธ์ของเจ้าต่ำเกินไป มิอาจรักษาชีวิตในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้” นางเซียนไป่ฮั่วส่ายหัว
“อาจารย์ ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ว่าแท้จริงแล้ว ข้าคือผู้หวนคืน” กู่ฉิงซานกล่าว
นี่คือกลยุทธ์ที่เขาคิดขึ้น งัดออกมา เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตนต้องการ
นายเซียนไป่ฮั่วตกใจเล็กน้อย
เธอมองกู่ฉิงซานด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “แต่ข้ามองไปยังสีหน้าของเจ้าเมื่อครู่ ชัดเจนว่า เจ้าไม่ทราบว่าสิ่งใดคือผู้หวนคืน”
“ไม่ใช่ ศิษย์แค่รู้สึกแปลกใจ ไม่คาดคิดว่าท่านอาจารย์เองก็จะทราบเรื่องนี้เช่นกัน” กู่ฉิงซานแถ
“เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามา ว่าผู้หวนคืนคือสิ่งใด” เซี่ยเต๋าหลิงถาม
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงแผนกกิจการอาชีพโลก ทบทวนคำที่เฉินหวางกล่าวเอาไว้ แล้วเปล่งมันออกจากปากว่า “คือคนที่กลับชาติมาเกิดจากโลกเทพวิญญาณ ยินยอมละทิ้งชีวิตที่มั่นคงในโลกเทพวิญญาณ และหันมาอุทิศตนเพื่อโลกเก้าร้อยล้านชั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าผู้หวนคืน”
เซี่ยเต๋าหลิงส่ายหัว “ที่เจ้ากล่าวมาล้วนถูกต้อง แต่พื้นฐานวรุยุทธ์ของเจ้ายังต่ำเกินไป แม้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะเป็นผู้หวนคืน แต่ก็ยังไม่เหมาะที่จะไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”
“ฉิงซาน ยามนี้เจ้าสมควรเร่งเสริมสร้างฐานวรุยุทธ์ และวิธีที่ดีที่สุดคือไปยังดินแดนชิงอำนาจ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในวิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็หลงเหลือเพียงความมืดมน
เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าตนเองยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
“เมื่อกี้…” เขาสงสัย
ร่างแสงทมิฬ “เจ้าไม่อาจ ‘สร้างเหตุการณ์ใหม่’ ในช่วงเวลานั้นได้ หรืออาจไป ‘แตะต้องสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง’ ส่งผลให้เส้นแบ่งเวลาถูกรบกวน ดังนั้นเจ้าจึงถูกกำจัดโดยกฎเกณฑ์แห่งห้วงกาลเวลา”
กู่ฉิงซานคิด “สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คือท่านอาจารย์ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะส่งข้ามายังดินแดนชิงอำนาจ…”
ร่างแสงทมิฬ “ถูกต้อง หลังจากอาจารย์ของเจ้าตั้งมั่นว่าจะ ‘ส่งเจ้ามายังดินแดนชิงอำนาจ’ เหตุการณ์ที่เหลือในอนาคตทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นตามมา เจ้าจักต้องหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ และไปยังเหตุการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงจะไม่ถูกกำจัดโดยกฎเกณฑ์ของเวลา”
“ยังไงก็ตาม เจ้ายังมีโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบเจ็ดครั้ง”
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ และกล่าว “โอเค จัดไป เริ่มส่งผมอีกครั้งได้เลย”
“ตกลง”
ซุ่ม!
คลื่นแห่งความมืดมิดโถมเข้าโอบร่างเขา
ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด กู่ฉิงซานได้ย้อนอดีตไปสู่ช่วงที่ผ่านมา
ณ วังร้อยบุปผา
“ฉิงซาน เดิมทีข้าไม่ต้องการบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า…”
เสียงของนางเซียนไป่ฮั่วดังลอดเข้ามาในหูอีกครั้ง
กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอโดยตรง “อาจารย์ ข้ามีความลับจะบอกแก่ท่าน”
“ความลับอันใด?” เซี่ยเต๋าหลิงถาม
“แท้จริงแล้วข้ามิเพียงเป็นผู้หวนคืน แต่ยังเป็นคนที่ย้อนเวลามาจากอนาคตอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วเงยหน้า กวาดสายตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ และเอ่ยถาม “เจ้าย้อนเวลากลับมาอย่างงั้นหรือ?”
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ
“แล้วเหตุใดความแข็งแกร่งของเจ้าถึงได้ยังคงอ่อนแอเช่นนี้?” นางเซียนไป่ฮั่วงงงวย
กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็คล้ายกับลิ้นจุกปาก ไม่อาจเอ่ยคำใด
นางเซียนไป่ฮั่วคิดเกี่ยวกับมัน “ฉิงซาน ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อเจ้านะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความแข็งแกร่งคือรากฐานของทุกสิ่ง ดังนั้น ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจก่อน เพื่อเสริมสร้างพื้นฐานวรุยุทธ์”
แล้วกู่ฉิงซานตายทันที
เขาลืมตาขึ้น
เขาพบว่าตัวเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิด
“เหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อยเก้าสิบหก แต่ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกขอโอกาสแค่สองครั้งก็พอไม่ใช่หรือ” ร่างแสงทมิฬกล่าว
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นเล่า? เอาเป็นคำพูดให้กำลังใจ หรืออะไรนอกจากนั้น คิดไม่ได้เลยหรือ?” กู่ฉิงซานเศร้า
“ข้าคิดอะไรยุ่งยากแบบนั้นไม่ออกหรอก เพราะติดอยู่ที่นี่ข้าไม่ได้พูดคุยกับผู้ใดเลย นิทราเป็นเพียงตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้น” ร่างแสงทมิฬถอนหายใจ
พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็พาลย้อนนึกถึงซีน้อย
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบอาหารแห้งจำนวนมากออกมา
“งั้นตอนนี้ก็เรียนรู้วิธีการกินซะ มันจะมีประโยชน์หลังจากที่คุณสามารถออกไปข้างนอกได้แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว
ร่างแสงทมิฬปรับทัศนคติใหม่ และเริ่มให้ความสำคัญกับพวกมัน “นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นทักษะการเอาชีวิตรอดที่สำคัญยิ่ง ผู้คนภายนอกล้วนรับประทานอาหารเกือบทุกวัน”
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงตอนที่มันทำลายเมืองเล็กๆ จึงเอ่ยให้คำแนะนำออกไปว่า “อ้อ แล้วก็อย่าได้กินคนอีก คนน่ะเต็มไปด้วยโรคและทุกชนิดของสิ่งสกปรก ไม่ใช่ของดี ไม่อร่อย ต่อไปคุณจะต้องกินอาหารแบบเดียวกับที่พวกเรากิน”
ร่างแสงทมิฬนิ่งคิดไปครู่ สุดท้ายพยักหน้า “หากข้าออกไปภายนอกได้ ข้าจะใช้ชีวิตใหม่เหมือนคนทั่วๆ ไป”
ว่าจบ เขาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นกู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง ตรงเข้าไปหาอาหาร นั่งลง และเริ่มคิดว่าจะกินอะไรก่อนดี
“ช่วยส่งผมไปก่อน แล้วจากนั้นคุณค่อยเลือกว่าจะกินอะไรอย่างช้าๆ ก็ได้ ไม่มีใครแย่งแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว
“จัดไป!”
คลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับเข้าใส่กู่ฉิงซานอีกครั้ง
ณ วังร้อยบุปผา
“ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าพลังของข้าอ่อนแอเกินไป ดังนั้นสมควรเพิ่มพูนมันเสียก่อนเป็นอันดับแรก” กู่ฉิงซานกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วเห็นด้วย “อืม ความแข็งแกร่งเป็นรากฐานของทุกสิ่ง ข้าคิดว่า…”
กู่ฉิงซานขัดจังหวะเธอทันที “อาจารย์ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไปยังดินแดนชิงอำนาจ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากจะขอร้องอาจารย์ ให้ช่วยบอกวิธีไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แก่ข้าด้วยเถอะ ข้าจะได้สามารถเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เมื่อใดก็ได้ หลังจากที่ข้ามีความแข็งแกร่งมากพอ”
นางเซียนไป่ฮั่วขบขัน “นั่นสินะ เพราะหลังจากที่เจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ เจ้าคงต้องอยู่ที่นั่นอีกนาน หากจะให้เจ้าย้อนกลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง การเสียเวลาไปและกลับ มันคงจะไม่คุ้มค่า”
ว่าจบเธอก็หยิบบางสิ่งออกมา
นี่คือดิสก์ค่ายกลสี่เหลี่ยมที่ถูกหล่อขึ้นด้วยบรอนซ์
ในมุมทั้งสี่ของดิสก์ค่ายกล แต่ละด้านแกะสลักไว้ด้วย กิเลน หงส์ เต่า และมังกร
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “การจะเข้าสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ จำเป็นต้องใช้สองสิ่ง หนึ่งคือค่ายกลเคลื่อนย้ายของนิกายวังสวรรค์ อีกหนึ่งคือใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์
“หากเป็นในอดีต ข้าสามารถให้เจ้าเข้าสู่โลกใบนั้น และช่วยให้เจ้าให้สามารถคงชีวิตอยู่ได้เลยในทันที”
“แต่ตอนนี้ ใบหยกพิทักษ์กายาของวังสวรรค์ได้หมดพลังงานลงแล้ว และได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถใช้มันช่วยรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไป”
“ตอนนี้ ในมือข้า เหลือเพียงดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายสู่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แผ่นนี้เท่านั้น”
“และข้าขอส่งต่อมันให้แก่เจ้า”
ขณะกล่าว เซี่ยเต๋าหลิงก็ขยับมือหยกเล็กน้อย
ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายสี่โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ ลอยไปอยู่ตรงหน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรับมันไว้
เขาพบว่าตัวดิสก์มีน้ำหนักมาก เพียงสัมผัสก็รู้สึกเย็นวาบ มันท่วมไปด้วยความผันผวนชนิดหนึ่งที่มิอาจบอกบรรยายได้
นี่คือดิสก์ค่ายกลที่ตกทอดกันมาตั้งแต่ในยุคโบราณอันไกลโพ้น บนค่ายกลสลักไว้ด้วยอักษรรูนโบราณ แลดูลึกลับ กู่ฉิงซานเพ่งมองมันอยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้
ทันใดนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่านี่คือค่ายกลชั้นสูง สูงล้ำเกินกว่าที่ความรอบรู้ในด้านค่ายกลของตนจะทำความเข้าใจได้
พอมั่นใจ บนหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยเด้งขึ้นมาทันที
“ไอเท็ม ดิสก์ค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์”
“ระดับ เป็นไอเท็มพิเศษ ไม่มีระดับ”
“พงศาวดารวันสิ้นโลก ไอเท็มนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียง”
“วิชายุทธเทพสงคราม ไอเท็มนี้คือค่ายกลรับส่งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ หากต้องการเข้าใจในโครงสร้างของค่ายกลนี้ คุณจำเป็นต้องจ่าย แปดแสนแต้มพลังวิญญาณ”
“คำอธิบาย ยิ่งคุณเสริมสร้างความสำเร็จในศาสตร์ค่ายกลของคุณได้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งช่วยลดการใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มากเท่านั้น”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
แปดแสนแต้มพลังวิญญาณ เป็นจำนวนมหาศาล
ดังนั้น การฝึกฝน เพิ่มพูนความรู้ในด้านค่ายกล จึงไม่ใช่ตัวเลือกหลักของเขาในตอนนี้
แต่นับว่าโชคยังดี ที่ในที่สุดเขาก็ฟันฝ่าด่านนี้ได้สำเร็จแล้ว จากนี้ไป เขาสามารถเดินทางไปยังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์เพื่อค้นหาดาบนภาได้ในทันที!
กู่ฉิงซานเก็บดิสก์ค่ายกล กล่าวด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ส่งต่อสิ่งนี้ให้แก่ข้า”
เซี่ยเต๋าหลิงยิ้ม “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป”
กู่ฉิงซานยิ้ม ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกรู้คุณ
มีอาจารย์ที่น่าเคารพแบบนี้ ตัวเขาในฐานะศิษย์ก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก
ในเวลานี้ เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ “ฉิงซาน คราวนี้ข้าจะ ‘ส่งเจ้าไปยังดินแดนชิงอำนาจ’ เพื่อให้เจ้ามีส่วนร่วมในการคัดกรองหน้าใหม่ และได้รับความช่วยเหลือจากระบบชีวิต”
กู่ฉิงซานเมื่อได้ยินสิ่งนี้ วิสัยทัศน์ก็พลันมืดมิด
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง
และค้นพบว่า ตัวเองยังคงยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืด
เขามองไปทางร่างแสงทมิฬ
พบว่าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นตัวเอง อยู่ในท่วงท่าจับน่องไก่ในมือ อ้าปากกว้าง เตรียมที่จะกัดมัน เพื่อลิ้มลองรสชาติดูว่าจะเป็นอย่างไร
ทั้งสองประสานสายตากัน
“…” กู่ฉิงซาน
“…” กู่ฉิงซานอีกคนหนึ่ง
………………………..
Related