กู่ฉิงซานกำลังรับชม รับฟังสิ่งที่อยู่ภายในใบหยกอย่างใจจดใจจ่อ แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีมือขาวๆ ข้างหนึ่ง ยื่นมาฉกมันไป
ใบหยกถูกดึงไปอย่างกะทันหัน
กู่ฉิงซานจึงค่อยตระหนักได้ว่าเวลานี้มีใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา
เป็นสาวงาม
ปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ ลั่วปิงลี่
มีเพียงผู้ฝึกยุทธระดับสูงอย่างลั่วปิงลี่ขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถขโมยใบหยกออกจากมือกู่ฉิงซานได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัว
กู่ฉิงซานมองหน้าอีกฝ่าย และย้อนนึกถึงคำสอนของเซี่ยกู่หงส์
เซี่ยกู่หงส์เคยบอกต่อเขาว่า ขอให้ตนรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับปรมาจารย์ลั่วเอาไว้ และกล่าวตามตรงว่าลั่วปิงลี่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา นอกจากนี้ยังมีความพลังโจมตีชนิดหาตัวจับได้ยากนัก แม้กระทั่งตัวเซี่ยกู่หงส์เองก็อาจด้อยกว่านาง
ในบรรดาเจ็ดปรมาจารย์ขุนเขาแห่งวังสวรรค์เมฆาวิเวก หากกล่าวถึงเฉพาะเพียงอำนาจการทำลายล้างตามรายบุคคล แท้จริงแล้วลั่วปิงลี่ย่อมถูกนับว่าเป็นอันดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลั่วปิงลี่จะครอบครองพลังโจมตีอันแสนร้ายกาจ แต่ขณะเดียวกันเธอก็ไม่มีการป้องกันที่ดีมากนัก กล่าวได้ว่าแม้จะโดดเด่นในด้านโจมตี ทว่าหากอยู่ในสนามรบ ก็จำต้องมีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากตามไปคอยคุ้มครองเช่นกัน
กู่ฉิงซานย้อนนึกถึงคำของอาจารย์ จากนั้นประสานกำปั้นให้แก่อีกฝ่ายด้วยความนับถือ “คำนับปรมาจารย์ลั่ว”
ลั่วปิงลี่ไม่ตอบเขา แต่เลือกปลดจิตสัมผัสเทวะลงไปแทน สำรวจเนื้อหาในใบหยกและกล่าว “ เป็นอย่างไร? ‘การบรรเลงพิณ’ จากสาวกอันดับหนึ่งของข้าไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”
กู่ฉิงซานจ้องมองใบหยกในมือเธอ ปากร้องอุทาน “เสียงของมัน แม้บัดนี้ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทมิจางหาย ปรมาจารย์ลั่วสอนสั่งนางได้ดีจริงๆ”
ลั่วปิงลี่เขกหัวเขาและกล่าว “เลิกเปล่งวาจาประจบประแจงข้าเถิด อย่างไรเสีย ข้าย่อมไม่อนุญาตให้เจ้าร่วมฝึกยุทธเคียงคู่กับสาวกขุนเขาของข้า”
กู่ฉิงซานกล่าวซื่อตรง “ปรมาจารย์ลั่วเข้าใจผิดแล้ว ตัวข้าแม้ทุ่มสุดใจให้กับการฝึกยุทธ ทว่ามิได้มีความตั้งใจคิดหาสหายเต๋าในนิกายร่วมฝึกยุทธคู่เคียง”
ลั่วปิงลี่เพ่งมองเขา การแสดงออกทางสีหน้าของเธอกลายเป็นอ่อนโยนลงเล็กน้อย
เธอเป็นผู้ฝึกยุทธผู้ใช้เสียง แท้จริงแล้วเก่งกาจเป็นอย่างยิ่งในการล่วงรู้ห้วงความคิดและอารมณ์ที่แท้จริงของผู้คน เธอสามารถล่วงรู้ความจริงของคำพูดอีกฝ่ายได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยวิถีสวรรค์
“ได้ยินเช่นนั้นก็ดี เอาเถอะ เจ้ายังคงสามารถเก็บใบหยกนี่เอาไว้ได้”
ลั่วปิงลี่ยื่นใบหยกคืนให้แก่เขา
“ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์ขุนเขา” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้าจงมากับข้า ข้ามีอะไรบางอย่างจะพูดกับเจ้า” ลั่วปิงลี่เชื้อเชิญ
กู่ฉิงซานเห็นว่าเธอมีท่าทีจริงจัง ทัศนคติที่แสดงออกมาแปรเปลี่ยนไป ตนจึงเดินตามเธอไปยังจุดสูงสุดของขุนเขา
ขุนเขากระเรียนเทามีรูปทรงคล้ายกับกระเรียนสมชื่อ ตรงส่วนปลายสูงสุดของมันคล้ายจะงอยปากนกกระเรียนที่ยืดยาวแยกออกไป
นั่นคือตรงยอดขุนเขากระเรียนเทา
ลั่วปิงลี่ยืนอยู่บนยอดเขา ไขว้สองมือตนไว้เบื้องหลัง
ภายใต้สายลมแรง ชุดคลุมของเธอพลิ้วไหวไปกับมัน ฉากนี้ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันก็เหมือนกับว่าเธอจะปลิดปลิวไปกับสายลมได้ตลอดเวลา
“หากสนทนากันที่นี่ ข้ารับประกันได้เลยว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยิน” ลั่วปิงลี่กล่าว
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
บนยอดเขา ก้อนเมฆควบแน่นกลายเป็นฝนวิญญาณ ดอกไม้พลิ้วไหวไปตามลม สายน้ำไหลอยู่เบื้องล่าง คลื่นในน้ำสั่นไหวคล้ายกำลังโกรธเกรี้ยว
ในเวลานี้ ทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางหมอกและฝน คล้ายทั้งสวรรค์และโลกมีเพียงพวกเขาอยู่เพียงลำพัง ฉะนั้นย่อมไม่มีใครสามารถลอบฟังบทสนทนาได้
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงใจ “ปรมาจารย์ลั่ว แท้จริงแล้วมีคำใดจะชี้แนะ?”
ลั่วปิงลี่ “สงครามแนวหน้ายิ่งนาน ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ฝึกยุทธระดับสูงพากันตกตาย กำลังรบเผ่ามนุษย์เริ่มถดถอยลง เรื่องเหล่านี้เจ้าทราบหรือไม่?”
“เป็นเรื่องหนาหู ผู้น้อยเคยได้ยินมาบ้างเช่นกัน” กู่ฉิงซานพยักหน้ากล่าว
ลั่วปิงลี่ “ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเร็วๆ นี้ ทางเทพวิญญาณจึงได้ถ่ายทอดประสงค์ของพวกเขาลงมา และขอให้ทางนิกายจัดหากลุ่มสาวก จากในแต่ละขุนเขา เลือกมาจำนวนหนึ่งเพื่อเดินทางไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณหรือผู้รับใช้ทวยเทพเป็นการส่วนตัว”
“ให้ไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานทวนถาม
“ใช่ ขุนเขาของข้า เดิมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเทพวิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงได้รับ ‘สิทธิ์’ มาจำนวนหนึ่ง ที่สามารถส่งสาวกไปฝึกยุทธกับเทพวิญญาณได้” ลั่วปิงลี่กล่าว
กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด
สถานการณ์ในปัจจุบันกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เผ่ามนุษย์ทั้งพ่ายแพ้และล่าถอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิอาจยืนหยัดต่อกรกับมอนสเตอร์บรรพกาลได้ กระทั่งเทพวิญญาณเองก็ยังได้รับความเดือดร้อน
ส่งผลให้เทพวิญญาณบังเกิดความต้องการที่จะยกระดับความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง มุ่งมั่นที่จะสร้างกลุ่มนักรบที่ทรงประสิทธิภาพ เพื่อแผนการระยะยาวสำหรับสงครามในอนาคต
“กระทำการเร่งด่วนเช่นนี้ เกรงว่าเทพวิญญาณคงร้อนรนไม่น้อยเลยสินะ?” กู่ฉิงซานโพล่งออกมา
ลั่วปิงลี่ผงะ ร้องตำหนิเขา “เจ้าช่างกล้านัก พูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?”
ต้องรู้นะว่าการสนทนาเชิงลบใดๆ เกี่ยวกับเทพวิญญาณ มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปและภัยพิบัติเสมอๆ
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ขออภัย แต่ข้ายังอยากฟังรายละเอียดจากปรมาจารย์ลั่วมากกว่านี้ เชิญท่านพูดต่อเถอะ”
ลั่วปิงลี่มองเขาอีกครั้งและกล่าว “ทางนิกายจึงตัดสินใจทำการประลองเทียบเปรียบครั้งใหญ่ และเลือกเฟ้นสาวกจากในทุกรุ่นที่มีคุณสมบัติโดดเด่นยอดเยี่ยม เพื่อไปฝึกยุทธในพระราชวังเทวะกับเหล่าทวยเทพ”
“หากสามารถได้รับโอกาสรับคำแนะนำจากเทพวิญญาณโดยตรงเช่นนี้ ข้าเกรงว่าทุกรุ่นของสาวกนิกาย จะทำลายล้างกันเองเพื่อช่วงชิงตำแหน่งของพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว
เขายังคงยิ้มและกล่าวต่อ “หากแต่ไม่ใช่ว่าการประลองเทียบเปรียบของทางนิกายเราเสร็จสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วหรอกหรือ? ท่านไม่น่าจะต้องมาเป็นกังวลเรื่องนี้เลยนี่?”
ลั่วปิงลี่กล่าว “ในเวลานี้ สิ่งที่ผิดแผกไปก็คือ ทางระดับสูงของแต่ละขุนเขาต่างปิดประตูบ้านตนเอง ทำการจัดการประลองในหมู่สาวกของตนขึ้น เพื่อคัดเลือกผู้ที่จะได้รับสิทธิ์นี้”
กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ใส่ใจว่า “ยังคงต้องทำการเฟ้นเลือกอยู่อีกหรือ? มิใช่ว่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงคอยสอนสั่งศิษย์ของพวกเขาทุกวันอยู่แล้ว ฉะนั้นย่อมต้องทราบดีว่าจิตแห่งเต๋าของผู้ใดเหมาะสมและคู่ควร?”
ลั่วปิงลี่กล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่การที่ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อต้องการบอกกับเจ้าว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ปรมาจารย์วังขาดการติดต่อไป ขณะที่สาวกจากขุนเขาหลัก จักต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของสาวกทั้งหมด ดังนั้นหลังจากหารือกันแล้ว ทางปรมาจารย์ขุนเขาจึงตัดสินใจมอบ ‘สอง’ สิทธิ์ให้แก่พวกเจ้า”
กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “แท้จริงแล้วสิทธิ์ที่ว่ามีทั้งหมดกี่ตำแหน่ง?”
“สามสิบตำแหน่ง” ลั่วปิงลี่ตอบตามตรง
“มีถึงสามสิบตำแหน่ง? ทว่ากลับมอบให้ขุนเขาหลักเพียงแค่ สองเท่านั้นเองหรือ?” เขาหัวเราะ
ลั่วปิงลี่มองเขาและกล่าว “ใช่ นี่คือผลจากการหารือของเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา และเนื่องจากปรมาจารย์วังไปยังแนวหน้า และไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้นทุกคนจึงตัดใจกันเอง ข้าหวังว่าเจ้าจะคัดเลือก สองตำแหน่งได้อย่างเหมาะสม”
เธอกล่าวต่อ “ส่วนประเด็นในเรื่องนี้ ทางขุนเขารุ่งอรุณโบราณได้ทำการแจ้งต่อหวงซานกับเฉินหยางแล้ว และบอกให้พวกเขาเตรียมตัวต่อสู้ สำหรับสิทธิ์ที่มีเพียงสองของขุนเขาหลัก”
กู่ฉิงซานเงียบไป
นี่อีกฝ่ายเมินตนเอง และไปแจ้งเรื่องนี้แก่หวงซานและเฉินหยางโดยตรงอย่างงั้นหรือ?
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองจะมีจิตใจที่ดี หากแต่พวกเขายังคงเด็กเกินไป ที่จะทานทนต่อสิ่งยั่วยวนเช่นนี้ได้
เกรงว่าพวกเขาคงมิอาจทานทนต่อโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ฝึกยุทธกับเทพวิญญาณเป็นการส่วนตัว!
กู่ฉิงซานค่อยๆ ได้สติกลับคืน
แต่ละขุนเขาล้วนจัดงานประลองของตนเองขึ้น …
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาจะต้องต่อสู้กับหวงซานและเฉินหยาง เพื่อช่วงชิงคุณสมบัติในการเข้าสู่พระราชวังเทวะใช่หรือไม่?
…กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยมและมุ่งร้ายอันลึกล้ำ
อาศัยประโยชน์จากในช่วงเวลาที่ท่านอาจารย์ขาดการติดต่อไป จงใจมอบให้เพียงสองสิทธิ์ โยนลูกพีชลงมาเพียงสอง เพื่อหมายยุยงให้สามหมาป่าแห่งขุนเขาหลักแก่งแย่งกันเอง
ทำกันแบบนี้ พวกเขากล้าดีอย่างไร!?
ท่านอาจารย์เพียงสูญเสียการติดต่อไป ดังนั้นพวกเขาเลยคาดเดาไปว่าท่านอาจารย์จะไม่สามารถกลับมาใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม จากชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์อื่นๆ ทำให้กู่ฉิงซานทราบกระจ่างแก่ใจว่า เซี่ยกู่หงส์นั้นปลอดภัยดี และเขาจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวจนกระทั่งวังสวรรค์ถูกทำลาย
กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนยอดเขา เบนสายตาออกไปมองเมฆหมอกภายนอก
เขาค้นพบว่าเมฆหมอกกำลังก่อตัวขึ้น ฝนเทลงมาเป็นครั้งคราว บ้างก็กระจายหายไป
…………………..
Related