ภายในดินแดนรกร้าง
ร่างร่างหนึ่งยังคงยืนนิ่ง คล้ายกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่
เวลาไหลผ่านไปอย่างสงบ
หนึ่งส่วนสี่ชั่วยามต่อมา
กระแสแสงปรากฏขึ้นบนผืนฟ้า และลดระดับลงมาเหนือพื้นเบื้องล่าง
แท้จริงแล้วผู้ที่มาเยือนคือผู้ฝึกยุทธ ที่ถูกทางนิกายที่อยู่ใกล้เคียง ส่งมาตรวจสอบสถานการณ์
เนื่องจากที่แห่งนี้ห่างไกลเกินไป ดังนั้นแม้ว่าจักมีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้น แต่มันก็ยากนักที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากตำแหน่งที่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้
ยิ่งเป็นเหตุการณ์ทะเลแสงเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ และไม่กี่ลมหายใจเดียวก็เหลือแค่เพียงร่างๆ เดียวยืนหยัดอยู่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
นิกายที่อยู่ใกล้เคียงเพียงสัมผัสถึงความผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วางใจ ส่งผู้ฝึกยุทธออกมาตรวจสอบสถานการณ์
ผู้ฝึกยุทธบินมาอยู่เหนือร่างที่หยั่งเท้านิ่งกับพื้นดิน ตะโกนเอ่ยถาม “เจ้าเป็นผู้ใด มาทำอะไรในที่แห่งนี้?”
เขากุมอาวุธมนตราในมือ ตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีทุกเวลา
ในสถานที่รกร้างเช่นนี้ กลับมีคนยืนอยู่ แถมยังไม่ยอมขยับเขยื้อน นี่มันช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง
“เจ้าถามว่าข้าเป็นใครกระนั้นหรือ?”
ร่างดังกล่าวเงยหน้าขึ้น และย้ำทวนคำถามสวนกลับไป
สีหน้าของผู้ฝึกยุทธแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่
เขาเร่งลดระดับลงจากท้องฟ้า คุกเข่าต่อหน้าร่างบนพื้นดิน “ผู้น้อยไม่ทราบว่าเป็นท่านเทพวิญญาณปรากฏกายขึ้นที่นี่ จึงบังอาจเผลอล่วงเกิน หวังว่าท่านจะให้อภัยในความผิดบาป”
อีกฝ่ายเป็นเทพวิญญาณไม่น่าจะผิดพลาด สังเกตได้จากแสงที่ลุกไหม้คล้ายกับเปลวไฟบนหน้าผาก ที่เปล่งประกายจนแสงและเงา ปกคลุมจนแทบมิอาจเห็นรูปลักษณ์ได้ นี่คือลักษณะของเทพวิญญาณ
และการกระทำของตนเมื่อครู่ ถือเป็นการล่วงเกินเทพวิญญาณ เป็นบาปใหญ่หลวงนัก!
เมื่อผู้ฝึกยุทธคิดได้เช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
ร่างที่ยืนนิ่งสำรวจกายที่สั่นไหวของผู้ฝึกยุทธอย่างรอบคอบ มันเกิดความพึงพอใจขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “อืม ทัศนคติของเจ้าไม่เลว ข้าสัมผัสได้ถึงความอ่อนน้อมของสิ่งมีชีวิตในยุคโบราณแล้ว ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะอภัยและมอบของขวัญแก่เจ้า”
ผู้ฝึกยุทธตกใจ และเขามิอาจทำความเข้าใจช่วงประโยคครึ่งแรกของอีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิง
ทว่าโชคยังดี ที่เขาสามารถเข้าใจประโยคครึ่งหลังได้อย่างชัดเจน
เทพวิญญาณกำลังจะมอบของขวัญให้แก่เขา!
นี่นับว่าเป็นโอกาสที่ดีอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกยุทธคำนับ หมอบกราบอย่างบ้าคลั่งและกล่าวด้วยความปีติ “ขอบพระคุณท่านเทพวิญญาณ ผู้น้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง”
“ข้าสัมผัสได้ถึงความนอบน้อมอันเปี่ยมล้นของเจ้า”
ขณะกล่าว ร่างที่ว่าก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง
มันเปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ
เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นคนคนเดียวกันกับผู้ฝึกยุทธเบื้องหน้า ทุกสรีระเหมือนกันทุกประการ ไม่มีจุดแตกต่างใดเลยระหว่างพวกเขา เกรงว่ากระทั่งคนสนิท ก็ยังมิอาจแยกแยะทั้งสองได้
ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ตรงบริเวณหน้าผากของเทพวิญญาณ ยังคงมีแสงกำลังลุกไหม้อยู่
และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะตระหนักถึงมันเช่นกัน
เขาจึงยกมือขึ้นมาแตะลงตรงหน้าผาก และทันใดนั้นแสงที่ลุกไหม้ก็หายไป
จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าบอกว่ารู้สึกเป็นเกียรติ เช่นนั้นข้าก็จักขอรับเอาตัวตนของเจ้าไป โดยไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด ข้าจะมอบความตายอันสงบให้ เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้า”
ผู้ฝึกยุทธที่กำลังคำนับ พอได้ฟังก็ตกตะลึง
เรื่องราวมันพลิกผันเร็วเกินไป จนเขาไม่รู้ว่าสมควรจะตอบสนองอย่างไร
ทว่ามันสายเกินไปที่จะมานึกคิด เขาไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย ทั้งคนทั้งร่างก็ค่อยๆ สูญสิ้นพลัง และแปรเปลี่ยนเป็นรูปปั้นสีเทาไป
รูปปั้นสีเทาถูกสายลมพัด มันกลายเป็นฝุ่นผง ปลิดปลิวไปในท้องฟ้า
ไม่มีตัวเขาอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป
ไม่สิ
ยังมีตัวเขาอีกคนหนึ่งที่พึ่งปรากฏขึ้นอยู่ที่นี่
ตัวเขาคนใหม่วาดมือออกไป
ถุงเก็บสัมภาระ อาวุธมนตรา และเครื่องมือต่างๆ ทั้งหมดบนพื้นดินลอยขึ้นมาตกลงในมือของเขา
เขาเก็บสิ่งของต่างๆ จากนั้นหลับตาลง กลั่นกรองตรวจสอบข้อมูลตามความทรงจำของผู้ฝึกยุทธ
“ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาตามหาจริงๆ กู่ฉิงซาน ศิษย์เอกของเซี่ยกู่หงส์ ได้ก่อเรื่องขึ้นที่วังสวรรค์เมฆาวิเวก ดึงดูดความสนใจจากเทพวิญญาณ…เหตุการณ์ในครั้งนั้นนับว่าเป็นเรื่องใหญ่นัก เพราะมันทำให้เทพวิญญาณหลายองค์เพ่งความสนใจมายังนิกายนี้ แต่มันช่างเป็นปัญหาจริงๆ ที่ข้าไม่สามารถพบกับพวกเขาในห้วงอดีตได้…”
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องหาวิธีการเข้าสู่วังสวรรค์เมฆาวิเวกด้วยตนเองซะแล้ว…”
ผู้ฝึกยุทธใช้เวลาครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งหายไปยังทิศทางที่ไกลออกไป
อีกด้านหนึ่ง
ณ ค่ายกำลังพลสำรองที่ยี่สิบสามของเผ่ามนุษย์
ช่วงกลางดึก
ภายในค่ายทหาร กู่ฉิงซานได้มาถึงหน้าประตูค่าย
ผู้ฝึกยุทธที่คอยรับหน้าที่เฝ้าประตูและควบคุมค่ายกล ได้ตรวจสอบตราประจำตัวของเขา ก่อนจะเผยรอยยิ้มแย้มออกมา
“ข้าอยากจะบอกว่าอาหารวิญญาณในวันนี้อร่อยขึ้นจนน่าประหลาดใจ ที่แท้ก็เป็นเพราะว่ามีพ่อครัวคนใหม่เข้ามานี่เอง”
“ยกยอกันเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ว่าแต่เจ้าจะออกไปที่ใดกัน?” ผู้ฝึกยุทธเอ่ยถาม
“ข้าจะออกไปเดินสำรวจรอบๆ เพราะอย่างไรซะ ก็ยังไม่คุ้นเคยกับบริเวณนี้” กู่ฉิงซานกล่าว
ผู้ฝึกยุทธรับฟัง และอธิบายออกไปอย่างตั้งใจ “เช่นนั้นจงอย่าเดินไปสำรวจในทิศเหนือ ที่นั่นมีค่ายทหารอยู่มากมาย ทว่าเจ้ามิอาจย่างกรายเข้าไปได้ ทางทิศตะวันตกเป็นภูเขาแห้งแล้ง มันไม่มีสิ่งใด ส่วนตลาดจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มันเต็มไปด้วยกำลังพลสำรองจากนิกายหลากหลายแห่ง ดังนั้นคึกคักมีชีวิตชีวา เจ้าสามารถไปซื้อสิ่งที่จำเป็นที่นั่นได้”
“ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะ” กู่ฉิงซานประสานกำปั้น
“อืม ไปเถอะ”
แล้วผู้ฝึกยุทธก็เปิดช่องว่างค่ายกล ให้กู่ฉิงซานเดินออกจากค่ายทหาร
ในช่วงแรก กู่ฉิงซานบินไปตามทิศตะวันออกเฉียงใต้อยู่ครู่หนึ่ง สักพักเมื่อคิดว่าพ้นระยะการตรวจจับ เขาจึงค่อยหันไปในทิศทางตะวันตก
บินต่อมาได้ราวๆ ครึ่งชั่วยาม
กู่ฉิงซานก็มาถึงส่วนลึกของภูเขาแห้งแล้ง
เขาเลือกตรงพื้นที่โล่งกว้าง ลดระดับลง และเริ่มจัดวางชั้นค่ายกล
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่สักพัก ทำสมาธิจนสงบ และรู้สึกได้ว่าตนเองพร้อมแล้ว
เขาถอดหน้ากากเงินจักจั่นน้ำแข็งออก พริบตานั้นพลังวิญญาณจากทั้งร่างพลันพลุ่งพล่าน คล้ายเตรียมการที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตต่อไป
สวรรค์และโลกตระหนักได้ถึงลางบอกเหตุบางประการในตัวของเขา มันเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกัน
สายลมพัดกระพือ
เมฆหมอกครึ้ม
สายฟ้าในมวลเมฆสาดแสงไม่รู้จบ
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยกะพริบขึ้นในสายตาของกู่ฉิงซาน
“คุณกำลังตัดผ่านขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ทะลวงสู่ขอบเขตลมปราณจิต”
“ทัณฑ์สวรรค์ใกล้จะปรากฏ โปรดเตรียมตัวรับโทษทัณฑ์ให้จงดี”
“ห้า”
“สี่”
“สาม”
“สอง”
“หนึ่ง”
เปรี้ยง!
เสียงสะเทือนเลือนลั่น สายฟ้าฟาดผ่าลงมา
ทว่ากู่ฉิงซานยังคงยืนนิ่งอยู่ในสถานที่เดิม ที่ทำแค่เพียงสั่งการนึกคิดในจิตใจ
สองดาบยาวผลุบออกมาจากในความว่างเปล่า พุ่งขึ้นไปเบื้องบน ฟาดสับเข้าใส่สายฟ้าจนแตกกระจายตัวออกไป
สายฟ้าสวรรค์ถูกสะบั้นโดยดาบบิน กระเซ็นเป็นเส้นสาย กระจายไปทั่วสารทิศ
อย่างไรก็ตาม เมฆแห่งโทษทัณฑ์ย่อมไม่หยุดยั้งเพียงเท่านี้ มันเริ่มผลิตสายฟ้าสวรรค์มากยิ่งกว่าเดิม และฟาดผ่าลงใส่กู่ฉิงซาน
เปรี้ยง!
ทว่ากู่ฉิงซานเพียงรับมือโดยการสั่งการนึกคิด ให้ดาบบินใช้เทคนิคดาบอย่างเงียบๆ
สองดาบแปรผันเป็นภาพติดตา ทั้งทุบทั้งสับเต็มกำลัง ลอยอาละวาดกลับไปกลับมาท่ามกลางพายุสายฟ้า
สักพักสายฟ้าสวรรค์ก็อัดแน่นกันเป็นก้อนกลม พัฒนารูปแบบการโจมตีไปอีกขั้น แล้วเข้าระเบิดใส่ดาบบิน
สายฟ้ากับดาบบินสู้กันต่อเนื่อง ต่างฝ่ายต่างไม่มีผู้ใดคิดจะยอมกัน!
…
เวลาได้ไหลผ่านไป
ทัณฑ์สายฟ้าได้สิ้นสุดลง
กู่ฉิงซานสามารถรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
เขาถอนหายใจ ลูบหน้าของตนเอง เพื่อการแสดงออกที่ดูเป็นมิตร
วินาทีถัดมา
“ว๊าก ฮะฮ่าๆๆ ราชาภูตผีกู่ เจ้ากำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์อีกแล้ว ความว่องไวในการยกระดับของเจ้านี่มันช่างรวดเร็วเสียจริงๆ” ราชาภูตร่างใหญ่กระโดดลงมาจากในความว่างเปล่า
“…สหายกู่ หากเทียบกับคราก่อนที่เรากษัตริย์ปรากฏกายขึ้น เราสัมผัสได้ว่าทัณฑ์สวรรค์ส่งแรงกดดันถดถอยลงมากนัก ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก” กษัตริย์ปีศาจโค้งเอวก้มหัวให้ เดินพูดออกมาจากในอากาศทีี่ว่างเปล่า
อีกหนึ่งราชาภูติผีที่สวมชุดคลุมสีทอง ไร้ซึ่งรอยยับย่นใดๆ เจาะอากาศที่ว่างเปล่าปรากฏกายออกมา และโบกมือให้กู่ฉิงซาน
“ลูกพี่กู่ ในเมื่อท่านได้มาถึงขอบเขตลมปราณจิตแล้ว ดังนั้นในทัณฑ์สวรรค์คราวนี้จึงมีคนใหญ่คนโตอีกสองสามคนมาเยือน มาเถิด ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวเอง”
กู่ฉิงซานผายมือออก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายภูตโลหิต! ฮะฮ่าๆ ยินดีต้อนรับ! พี่น้องข้า คราวนี้ข้าได้ตระเตรียมอาหารวิญญาณ สุรา และเนื้อสัตว์ไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น มาใช้โอกาสนี้ฉลองร่วมกันเถิด”
“คำนี้แหละที่ข้ารอคอย! สารภาพตามตรง ว่าพริบตาที่ข้าได้รับสัญญาณเตือนการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ข้าก็เร่งตอบรับมันในทันที เพื่อจักได้มาพบหน้าสหายกู่แต่เนิ่นๆ”
“มาเถิด ทุกคนเร่งหยิบโต๊ะของตัวเองออกมา แล้วนั่งดื่มกัน เวลาไม่คอยท่าหรอกนะ!”
“หะ? แล้วราชินีภูตผีเล่า คราวนี้ไปอยู่ไหนแล้ว?”
“ฮ่าๆๆ นี่เจ้าหลงนางแล้วหรือไร รู้หรือไม่ว่าปีศาจเช่นเจ้านางก็สามารถกินได้ไม่มีละเว้น!” “อนิจจา แท้ที่จริงแล้วข้าก็ฟาดเผ่าพันธุ์นางไปไม่น้อยเช่นกัน แต่นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนข้ายังเยาว์วัยนัก แต่ตอนนี้ข้าเพียงอยากสนทนาด้วยเท่านั้น”
เสียงของผู้หญิงดังขึ้น “แค่เพียงสนทนาเท่านั้นเองหรือ? นึกว่าจะอยากเล่นสนุกด้วยกันเสียอีก”
เห็นแค่เพียงราชินีภูติผีปรากฏกายออกมาจากในความว่างเปล่าบนท้องฟ้า ลดระดับลงมาจากเบื้องบน
เธอตกลงข้างกายกู่ฉิงซาน พ่นลมหายใจรดต้นคอเขาเบาๆ ค่อยเบนสายตาไปมองภูตผีปีศาจตนอื่นๆ “ทว่าคงมิได้ เพราะยามนี้ข้ากำลังพึงใจราชาภูตกู่ เสน่ห์ของเขาช่างร้ายกาจนัก เพียงแค่สบสายตา ก็มิอาจลืมเลือนได้”
ภูตผีปีศาจพอได้ฟังก็หัวเราะเสียงดัง
กู่ฉิงซานยื่นแก้วสุราให้กับราชินีภูตผี และยิ้ม “มาดื่มกันเถิด”
แล้วงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น
แค่เอ่อ…คือว่านะ…สถานการณ์แบบนี้มันสมควรจะเรียกว่าทัณฑ์สวรรค์จริงๆ รึเปล่าเนี่ย…
………………………………….
Related