มอนสเตอร์สนทนาเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ
ฟังจากการสนทนาของพวกมัน กู่ฉิงซานก็ได้ล่วงรู้เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือ พวกมอนสเตอร์คิดว่าเขาไม่สามารถเข้าใจบทสนทนาของพวกมันได้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในช่วงยุคโบราณ มันไม่มีผู้ฝึกยุทธคนใดเลยที่สามารถสื่อสารกับมอนสเตอร์ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่มีใครเข้าใจภาษาของพวกมัน
ทว่าในช่วงที่กำลังออกค้นหาสามสิ่งประดิษฐ์เทวะโบราณ กู่ฉิงซานได้รับไพ่หนังสือมาจากซีน้อย ซึ่งภายในบันทึกภาษาบรรพกาลเอาไว้
อ้างอิงตามที่ซีน้อยกล่าว นี่คือภาษาที่ใช้กันทั่วไปโดยเทพวิญญาณและมอนสเตอร์ในยุคบรรพกาล ทว่ามันได้ถูกลบล้างไปแล้วโดยเทพวิญญาณ อย่างไรก็ตาม ซีน้อยคืออาวุธของเทพวิญญาณ เป็นกำลังรบหลักที่จักต้องใช้ต่อกรกับมอนสเตอร์บรรพกาล ดังนั้นเทพวิญญาณจึงได้สอนภาษานี้แก่เธอ
ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจภาษานี้เลย
ทันใดนั้นเอง ประกายแสงบางอย่างพลันวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน
แม้จะนึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาก็รักษาท่วงท่านั่งไขว่ห้างในอากาศเอาไว้ ลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ
แต่น่าเสียดาย ที่พวกมอนสเตอร์ดันกล่าวกันอีกแค่ไม่กี่คำ ก็หุบปากลง
ภายในคุกใต้ดินชั้นที่สิบสามกลับคืนสู่ความเงียบงัน
หลงเหลือแค่เพียงเสียงกระเพื่อมของแอ่งเลือด ที่ปกคลุมอยู่บนพื้น สูงชันจนเกือบถึงหัวเข่า
ซ่า…
แอ่งเลือดซัดสาดเป็นคลื่น ไหลวนอย่างสม่ำเสมอ
กู่ฉิงซานทนเฝ้ารออีกระยะหนึ่ง
แต่สามมอนสเตอร์บรรพกาลก็ยังไม่คิดจะเอ่ยคำใด
ในหัวใจของกู่ฉิงซานยิ่งนาน ก็ยิ่งรู้สึกจั๊กจี้ราวกับว่ามีแมวตัวน้อยๆ คอยฝนกรงเล็บอยู่ในมัน
ทำไมเจ้าสามตัวนี่ถึงไม่ยอมพูดอะไรเพิ่มเติมสักที?
คงจะดีมากๆ เลย ถ้ามันพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย
สำหรับเวลานี้ แม้จะเป็นแค่การสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไร แต่มันก็ทำให้กู่ฉิงซานได้รับข้อมูล และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกมันได้มากมายนัก
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกมอนสเตอร์ก็ยังไม่คิดเอ่ยปาก
แต่แล้วกู่ฉิงซานก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด
จู่ๆเขาก็ลืมตาขึ้น และก้มลงมองแอ่งเลือดบนพื้นดินด้วยความสงสัย
“น่าแปลก เลือดพวกนี้มาจากที่ใดกัน? กระทั่งชั้นค่ายกลก็ยังจมอยู่ใต้น้ำเลือดนี่ มันช่างเป็นปัญหาซะจริงๆ”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ยื่นมือออกไป จีบเข้าด้วยวิชาลับ ใช้อากาศที่ว่างเปล่าค่อยๆ ช้อนแอ่งเลือดขึ้นมา และหุบมันรวมกันเป็นเม็ดเลือดขนาดใหญ่
ในเวลานั้นเอง เลือดบนพื้นดินทั้งหมดก็ถูกดึงดูดโดยเทคนิคมนตรา ลอยขึ้นมา เผยให้เห็นถึงค่ายกลที่จักนำไปสู่ชั้นถัดไป
เบื้องล่าง เป็นอักษรรูนกระจุกตัวกันหนาแน่น ถูกปกคลุมไว้ด้วยค่ายกล และศิลาวิญญาณที่ถูกฝังเอาไว้ในร่องก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
และตราบเท่าที่ศิลาวิญญาณตกลงไป ค่ายกลก็จะถูกเปิดใช้งาน และกู่ฉิงซานก็จะสามารถเข้าไปสู่ระดับชั้นถัดไป
เขามองไปที่ค่ายกล และก้อนเลือดขนาดใหญ่ในอากาศ คล้ายกำลังลังเลว่าตนสมควรจะไปต่อดีหรือไม่
แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียงคำรามเบาๆ ก็ดังขึ้นมาจากใต้ดิน
เห็นได้ชัดว่าเสียงนี้ ดังขึ้นมาจากส่วนลึกของพื้นโลก
ทันทีหลังจากนั้น น้ำเลือดใหม่ก็ค่อยๆ แทรกซึมขึ้นมาจากพื้นดินเบื้องล่าง
น้ำเลือดค่อยๆ ปกคลุมพื้นดิน ก่อตัวเป็นแอ่งเลือดอีกครั้ง ในที่สุดพอมีระดับสูงถึงหัวเขาก็หยุดเพิ่มจำนวนลง
กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ช่างน่าฉงนนัก ข้าสมควรลองช้อนมันขึ้นมาดูอีกครั้งดีหรือไม่นะ?”
ในช่วงเวลานั้นเอง สามมอนสเตอร์บนผนังก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหว
พวกมันขยับร่างกายด้วยความไม่สบายใจ
ในที่สุด บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
“เจ้ามนุษย์โง่นี่ พวกเราไม่สามารถปล่อยให้เขากระตุ้นนายท่านใต้พิภพให้โกรธเคืองได้อีกต่อไปแล้ว” มอนสเตอร์เปล่งเสียงกระซิบ
ภายในน้ำเสียงของมัน แฝงไปด้วยความหวาดกลัวและร้อนรน
มอนสเตอร์อีกตนเร่งกล่าว “เช่นนั้นทำไมพวกเราไม่บอกมันออกไปว่า จงหยุดสร้างปัญหาให้กับนายท่านใต้พิภพกันเล่า?”
มอนสเตอร์ตนสุดท้าย ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าตะโกน “พวกเจ้าทั้งสองโง่เง่านัก! แม้ว่าภาษาของพวกมนุษย์มันจะเรียบง่าย แต่พวกเราไม่สามารถพูดกับพวกเขาได้ นี่เป็นข้อตกลง!”
มอนสเตอร์ตัวแรกกล่าว “ในเมื่อเราไม่สามารถละเมิดข้อตกลงได้ เช่นนั้นเหตุใดพวกเราไม่ลองโวยวายดู จะได้เบี่ยงเบนความสนใจของมัน? แบบนี้ดีหรือไม่?”
“เป็นความคิดที่ดี” มอนสเตอร์ตัวที่สามอนุมัติทันที
วินาทีต่อมา พวกมันก็เริ่มร้องคำราม พยายามดิ้นเร่าๆ บนผนัง คล้ายกับว่าต้องการพุ่งเข้าไปฉกชิงชีวิตของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานแสร้งแสดงท่าทีว่าตกใจ จนเผลอสะบัดมือหลุดการควบคุมเทคนิคมนตรา
เมื่อมือของเขาถูกสะบัดออกไป ก้อนเลือดในอากาศก็บิดเบี้ยวและแกว่งไปมา
และโดย ‘บังเอิญ’ อย่างไม่ทันคาดคิด ก้อนเลือดที่ว่าได้ถูกเหวี่ยงไปยังทิศทางของหนึ่งในสามมอนสเตอร์ และกระแทกเข้าใส่มัน
มอนสเตอร์ตนนั่นอึ้งงันไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติก็กรีดร้องคำรามรุนแรง
คราวนี้ คงจะเป็นเสียงคำรามที่แท้จริงของมัน เสียงนี้สั่นสะเทือนไปทั้งผืนดิน แฝงไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
มอนสเตอร์พยายามดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
ผนังทั้งหมดสั่นสะเทือน เนื่องเพราะการดิ้นรนไม่หยุดยั้ง
ตลอดทั้งชั้นใต้ดินสิบสามค่ายกลป้องกัน อักษรรูนโบราณทั้งหมดถูกเปิดใช้งานทันที มันสาดแสงสวรรค์สว่างไสว
อำนาจที่ยิ่งใหญ่และมองไม่เห็น กดดันมอนสเตอร์ จนพวกมันแนบชิดติดกำแพง
ตัวที่ถูกเลือดสาดใส่กรีดร้องภาษาบรรพกาลออกมา “ไม่! นายท่าน ท่านไม่สามารถกินข้าได้ ข้าเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของท่าน!”
อีกเสียงหนึ่งที่แหบห้าว ดังขึ้นมาจากส่วนลึกของใต้ดิน “จงมอบเลือดเนื้อ และจิตวิญญาณของเจ้า เป็นอาหารว่างให้แก่ข้าซะโดยดี”
วินาทีต่อมา เลือดทั้งก้อนก็โถมเข้าห่อหุ้มมอนสเตอร์ และแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมัน
มอนสเตอร์หยุดดิ้นรนทันที
มันตายแล้ว
เจ็ดถึงแปด เชือกดักมารที่คอยรัดมันถูกคลายลง
ร่างของมอนสเตอร์ร่วงตกลงไปในแอ่งเลือด แปรสภาพกลายเป็นก้อนสีดำๆ และจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ในส่วนผิวน้ำของแอ่งเลือด เริ่มหมุนเป็นวังวน คล้ายกับว่ามีอะไรบางสิ่งบางอย่างกำลังถูกส่งผ่านลงไปยังส่วนลึกของใต้ดินผ่านทางแอ่งเลือด
ตามมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาที่ฟังดูพึงพอใจดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง
จากนั้น ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบงัน
มอนสเตอร์สองตัวบนผนัง ไม่คิดแสร้งดิ้นรนอีกต่อไป
พวกมันพยายามปีนขึ้นไปให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างจากแอ่งเลือด ทั้งตนทั้งร่างนิ่งงันราวกับรูปปั้น ไม่คิดส่งเสียงใดๆ อีกต่อไป
กู่ฉิงซานมองดูแอ่งเลือด ในดวงตาของเขาเผยถึงร่องรอยของความเคร่งเครียด
ตอนนี้ ดูเหมือนว่า แม้จะเพียงเฉียดปลายนิ้วไปสัมผัสกับเลือด จุดจบเพียงอย่างเดียวก็คือความตาย
เพราะกระทั่งมอนสเตอร์ในชั้น สิบสามที่กู่ฉิงซานมิอาจโจมตีพวกมันได้ ก็ยังมีจุดจบเช่นนี้
กู่ฉิงซานลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ แสดงท่าทีคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัวและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาเริ่มวิเคราะห์บทสนทนาระหว่างพวกมอนสเตอร์อย่างรวดเร็ว
อย่างแรกเลย เขาได้รู้ว่า พวกมันคิดว่าภาษาของมนุษย์นั้นง่ายดายยิ่ง
อย่างที่สอง พวกมันไม่อาจคุยกับมนุษย์ได้ เนื่องจากไม่สามารถทำลายข้อตกลง
สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ มอนสเตอร์บรรพกาลสามารถเข้าใจภาษาของมนุษย์ แต่พวกมันแสร้งโง่ ทำเป็นไม่เข้าใจ
เช่นนั้น…
‘ข้อตกลง’ นี้มีไว้เพื่ออะไรกัน?
แล้วพวกมันตกลงกับใคร?
กู่ฉิงซานเริ่มขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ โดยไม่รู้ตัว เขาพบว่าในหัวใจได้บังเกิดความหนาวเหน็บเป็นประวัติการณ์
…
อีกด้านหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎที่พาตัวกู่ฉิงซานเข้าไปในคุกใต้ดิน และปิดประตูขังเขาตามคำสั่งของผู้ดูแลหลี่ ได้ออกไปทำภารกิจต่อ จัดส่งคนอื่นๆ เข้าไปในโรงเชือดอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งสองคนก็กลับมารายงานผู้ดูแลหลี่
“รายงานท่านผู้ดูแล งานของเหล่าบุคลากรในวันนี้ได้ถูกจัดการตามที่ท่านเห็นสมควรเรียบร้อยแล้ว” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎกล่าว
“ช่วยลงรายละเอียดให้ข้าด้วย” ผู้ดูแลหลี่กล่าว
อีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธหยิบใบหยกออกมา กุมไว้ในมือ และเอ่ยรายงานต่อ
ผู้ดูแลหลี่อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
ทันใดนั้นเขาก็ขัดจังหวะอีกฝ่าย เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “ศิลาวิญญาณของพ่อครัวค่ายเก้าที่ จัดเตรียมเอาไว้ให้ในวันนี้ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นไปจัดการสั่งให้เขาสังหารมอนสเตอร์ในส่วนของวันนี้ เพิ่มมากกว่าเดิม”
“ขอรับ ข้าจะไปแจ้งเรื่องแก่เขาหลังจากนี้ในทันที” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎกล่าว
รายงานยังคงดำเนินต่อไป
หลังจากนั้นไม่นาน
เรื่องทุกอย่างที่ต้องรายงานก็จบลง
ผู้ดูแลหลี่กำลังจะโบกมือให้ทุกคนล่าถอยไป แต่ก็พลันนึกขึ้นได้ถึงอะไรบางอย่าง
“จริงสิ แล้วไอ้เด็กเหลือขอจากค่ายที่ยี่สิบสามเล่า?”
“เด็กคนนั้นถูกพาตัวไปยังคุกใต้ดินตามที่ท่านผู้ดูแลสั่งการแล้ว” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎกล่าว
ผู้ดูแลหลี่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ หยิบเอาหยกวิญญาณขึ้นมา ลูบไล้มัน ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเกียจคร้าน “เขารู้สึกสำนึกเสียใจบ้างไหม?”
“ไม่เลยท่านผู้ดูแล เด็กคนนั้นไม่กล่าวกระไรตลอดทาง นอกจากนี้ยังตรงเข้าไปในคุกใต้ดินตามคำสั่งของพวกเราอย่างว่าง่าย”
ผู้ดูแลหลี่ลองทบทวนเกี่ยวกับมันดู และหันไปเอ่ยถามผู้ฝึกยุทธที่อยู่ข้างๆ “ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วใช่หรือไม่? เกี่ยวกับข้อมูลของเจ้าเด็กเหลือขอนี่”
ผู้ฝึกยุทธกล่าว “รายงานท่านผู้ดูแล จางเสี่ยวหยุน เป็นผู้ฝึกยุทธเร่ร่อน เกิดในครอบครัวสามัญ บรรพบุรุษของเขาหารายได้จากการปรุงอาหารวิญญาณให้แก่ผู้ฝึกยุทธ”
“ทว่าเมื่อคราก่อนที่โลกบรรพกาลบุกโจมตี พวกมันได้สังหารทุกคนในครอบครัวของเขาไป เหลือแค่เพียงจางเสี่ยวหยุนคนเดียวที่รอดชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตัดสินใจมาเข้าร่วมกับกองทัพ”
คิ้วที่ขมวดมุ่นของผู้ดูแลหลี่คลายลง “เช่นนั้นก็ดี หากเรื่องราวของเจ้าเด็กนั่นมันน่าเศร้าถึงขนาดนั้น ข้าก็จะส่งเขาไปอยู่กับครอบครัวเอง แบบนี้ทั้งครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้งไง”
“ฮ่าๆๆ ท่านผู้ดูแลช่างเล่นคำได้น่าขบขันนัก”
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
ขณะกำลังสนทนากันอยู่ พวกเขาก็เห็นว่าประตูค่ายถูกเปิดออกโดยไม่มีผู้ใดควบคุม พร้อมกันกับผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งในชุดเกราะเต็มตัวบินเข้ามาจากภายนอก
ผู้ดูแลหลี่ผุดลุกขึ้น สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที “นายพลหวัง เหตุใดท่านถึงได้มาที่นี่ด้วยตนเอง?”
ตูม!
ขณะเดียวกันนั้นเอง ผืนโลกพลันสั่นสะเทือน
ต่อมา เสียงร้องคำรามที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็ดังขึ้นมาจากใต้พื้นดิน
สีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เพราะฟังจากทิศทางของเสียง มันเป็นคุกใต้ดิน!
คุกใต้ดินแตกต่างจากที่อื่นๆ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อกักขังมอนสเตอร์ทรงพลังบางตัว ที่มิอาจสังหารลงได้
นับตั้งแต่ก่อตั้ง ทางโรงเชือดก็ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของเบื้องบนมาโดยตลอด เพื่อให้แน่ใจว่ามอนสเตอร์เหล่านั้นจะถูกขังไว้ใต้ดิน และหุบปากเงียบไปตลอดกาล
ซึ่งในคุกใต้ดินมันไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้!
นายพลหวังจ้องมองทุกคนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเอ่ยถาม “เป็นผู้ใดที่อยู่ในผนึกคุกใต้ดิน?”
ผู้ดูแลหลี่ กล่าวติดๆ ขัดๆ “เป็น…เป็นพ่อครัวคนหนึ่งที่พึ่งมาใหม่”
“จงบอกชื่อ ฐานวรยุทธ และถิ่นที่มาของเขา” นายพลหวังกล่าวต่อ
“จางเสี่ยวหยุน ขอบเขตแก่นทองคำ ค่ายกำลังพลสำรองที่ยี่สิบสาม”
“ขอบเขตแก่นทองคำ? เจ้าปล่อยมันเข้าไปยังสถานที่นั้นได้อย่างไร? นั่นคือสถานที่ต้องห้ามอย่างชัดเจน เจ้าต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ให้มันเข้าไปที่นั่น?” เสียงของนายพลหวังร้ายแรงยิ่ง
เหงื่อเม็ดเท่าลูกปัดผุดขึ้นมาบนหน้าผากของผู้ดูแลหลี่ ทว่ามิกล้าเอ่ยตอบได้แม้เพียงครึ่งคำ
“คือว่าใต้เท้า…”
ผู้ดูแลหลี่หยิบถุงสัมภาระออกมา เผยรอยยิ้มแห้งๆ และยื่นมันยัดลงในมือของนายพลหวัง
เพล้ง!
พริบตานั้นแสงอันศักดิ์สิทธิ์พลันสาดเข้าใส่กายของผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ
พริบตาเดียว คนทั้งหมดก็กลายเป็นขี้เถ้า
“นี่” ผู้ดูแลหลี่ตกตะลึง
แม้ว่าผู้ดูแลหลี่จะเป็นคนชั่วร้ายหรือละโมบเพียงใด ทว่าวิสัยทัศน์ของเขาย่อมไม่เลว มิฉะนั้นคงไม่ได้ถูกส่งมาคุมสถานที่แห่งนี้
ผู้จัดการหลี่จู่ๆ ก็ร่ำร้องออกมา “นายพลหวัง! ไม่สิ ท่านเทพวิญญาณ ได้โปรด”
เพล้ง!
เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ปะทุออกมาจากกายเขา เผาผลาญทั้งคนทั้งร่างลอยหายกลายเป็นขี้เถ้าทันที
ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในค่ายทหารถูกเผาจนสิ้น
ไร้ซึ่งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
นายพลหวังยืนนิ่งงัน
ตรงหน้าผากของเขา ปรากฏแสงไสวที่กำลังลุกโชติช่วง ไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับลง
“ฮึ่ม! เจ้าคนโลภ! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงมีคนที่สามารถเข้าไปที่นั่นได้”
นายพลหวังหันหลังกลับ มองไปยังทิศทางนอกประตู
“คุกใต้ดิน…เกิดการตกตายขึ้นเป็นจำนวนมาก…ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปตรวจสอบมันด้วยตนเองซะแล้ว”
วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายไปจากสถานที่นั้นโดยตรง
………………..