ณ ทางเข้าชั้นใต้ดิน
นายพลหวังได้ยับยั้งแสงที่ลุกไหม้บนหน้าผากของเขา
ประตูเหล็กคุกใต้ดินถูกกระชากออกโดยตรง
ชุดค่ายกลป้องกันล้วนถูกลบล้าง
นายพลหวังก้าวเข้าไปในความมืดมิด มุ่งหน้าลึกลงไปในใต้ดิน
แล้วเขาก็มาถึงคุกใต้ดินชั้นหนึ่ง
ผลปรากฏว่าพวกมอนสเตอร์ทุกตัวถูกสังหารจนสิ้น
ร่างศพของมอนสเตอร์เองก็ถูกส่งกลับไปยังตำแหน่งใดก็มิอาจทราบได้โดยค่ายกล
นายพลหวังเพ่งสังเกตคุกใต้ดินชั้นหนึ่ง ที่ว่างเปล่า อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
อีกฝ่ายเป็นใครกัน?
แล้วผู้ที่บุกรุกเข้ามาสามารถฆ่าไปได้จนถึงชั้นไหน?
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องเร่งหยุดยั้งผู้ที่บุกรุกมิให้ล่วงเกิน ‘เจ้าสิ่งนั้น’ จนโกรธเคือง มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงยากจะคาดเดาได้
นายพลหวังสูดลมหายใจลึก และเดินไปยืนบนค่ายกล เพื่อเข้าสู่ชั้นสอง
ลงต่อไปยังชั้นสาม
ชั้นสี่
…
จนมาถึงชั้นสิบสาม
นายพลหวังก้มลงมองแอ่งเลือดที่กระเพื่อมคลื่นน้อยๆ อยู่เบื้องล่าง ในแววตาของเขาเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความหวาดกลัว
การไหลเวียนของแอ่งเลือดเป็นไปอย่างเชื่องช้าและราบเรียบ บ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่มีอะไรบุกรุกเข้ามาจนถึงชั้นถัดไป
นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
นายพลหวังถอนหายใจโล่งอก เริ่มเอ่ยปาก
“ผู้ถือครองชิ้นส่วนประตูแห่งบรรพกาล ลูกหลานของผู้พิทักษ์บรรพกาล จ้าวปกครองใต้พิภพ
แต่แล้วในขณะกล่าว เสียงของนายพลหวังก็พลันขาดห้วงไป
นั่นเพราะเขาสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เจ้าตัวค่อยๆ หันหน้าไปอย่างช้าๆ มองตรงไปที่ผนัง
เห็นแค่เพียงสัตว์แมลงตัวหนึ่งที่มีสองหนวดชี้ขึ้นอยู่บนหัว กำลังเกาะบนผนัง มิขยับกายเคลื่อนไหวไปที่ใด
ขณะเดียวกัน บนผนังที่มันเกาะอยู่ ใต้ช่วงท้องเป็นเมือกเหลวสีใส
แม้ว่าทากตัวนี้จะมีขนาดเล็กเท่ากับเล็บนิ้วมือ แต่เหตุใดมันจึงสามารถมีชีวิตรอดอยู่ที่นี่ได้กัน? มันสามารถเล็ดลอดจากการตรวจสอบของเทพวิญญาณไปได้อย่างไร?
นายพลหวังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายปลดปล่อยการรับรู้ของเขาเข้าใส่มันเบาๆ
โผละ!
ทากเหนียวหนืดเพียงสัมผัสถูกการรับรู้ของนายพลหวังเบาๆ มันก็เหลวเละ และตกตายลงทันที
นายพลหวังประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะไม่ว่ามันจักเป็นแมลงที่อาศัยอยู่ที่นี่ หรือถูกทิ้งไว้โดยมนุษย์ที่บุกรุกเข้ามาก็ตามที สุดท้าย จะอย่างไรมันก็ตายลงไปแล้ว
ละเว้นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปดีกว่า นายพลหวังเริ่มกลับมาเอ่ยถึงหัวข้อหลักอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เหตุใดสัญญาณเตือนภัยจึงดังขึ้น รบกวนการพักผ่อนของเจ้า?” เขาเอ่ยถาม
สักพักหนึ่ง
เสียงที่แหบห้าวก็ดังลอดออกมาจากส่วนลึกของแอ่งเลือด “ข้ายังคงสบายดี หากไม่นับรวมไอ้แมลงเหม็นที่มารบกวน เราจ้าวปกครองจักสบายยิ่งกว่านี้”
นายพลหวังตกใจ
“แมลงเหม็น…” เขาเอ่ยทวนซ้ำคำนี้กับตัวเอง
“ถูกต้อง แต่มิต้องคิดไปไกล” เสียงแหบห้าวกล่าวเหน็บแนม “เพราะแมลงเหม็นที่ว่า คือตัวตนน่าเวทนาตนหนึ่งที่กล้าเรียกตัวมันเองว่าเทพวิญญาณ”
พอรับรู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายหมายถึงตน สีหน้าของนายพลหวังเริ่มกลายเป็นมืดมน
เขาค่อยๆ เอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าจะเล่าเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งให้ฟัง มีแมลงตนหนึ่งได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ว่าจงปกป้องประตูให้ดี ทว่าสุดท้ายแล้ว พวกมันกลับละเมิดคำสั่งของเจ้านาย เริ่มที่จะกลืนกินลูกหลานของเจ้านายแทน เจ้าลองคิดดูซี? ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ชั่วช้าหรือไม่? แล้วหากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูเจ้านายของมันเล่า? ชะตากรรมสุดท้ายของมันจะเป็นอย่างไร?”
“เราไม่มีเจ้านาย!” อีกเสียงคำรามด้วยความโกรธ “นี่ก็เป็นเวลายาวนานกว่าหลายร้อยล้านปีมาแล้ว ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์มิได้กลับมาจาก ‘ประตูแห่งโลกา’ ปากเสียแบบนี้หรือว่าเจ้าเองก็อยากกลายเป็นอาหารของข้าด้วย?”
นายพลหวังเมื่อสามารถทำให้อีกฝ่ายโมโหได้สำเร็จ ก็ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิ
เขาเอ่ยอย่างสงบ “ไม่ แน่นอนว่าไม่ ข้าจะยังคงอยากจะช่วยเหลือเจ้าให้สามารถกลืนกินลูกหลานของเจ้านายเจ้าต่อไป ตราบใดที่เจ้ายังไม่ลืมข้อตกลงของพวกเรา”
เสียงแหบห้าวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องอ้างตนว่าเป็นทวยเทพของมนุษย์ เหตุใดถึงต้องเลียนแบบรูปร่างของมนุษย์ด้วย? เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ยึดติดกับ ‘ประตู’ นัก?”
แล้วในน้ำเสียงของมันก็เผยถึงความเยาะหยันเล็กน้อย “ใช่เพราะต้องการหลบเลี่ยงพวกเราหรือไม่?”
สายตาของนายพลหวังกลายเป็นลึกล้ำ “พวกเราเดินทางไปทั่วทุกโลก จนได้มาถึงปลายสุดของโลก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจหาหนทางไปยัง ‘อีกฟากฝั่งใหม่’ ได้ ดังนั้น ความต้องการของพวกเราก็คือให้เจ้าทำตามข้อตกลง จงเปิดประตูแห่งบรรพกาลอีกครั้ง พวกเราจักได้เข้าไปค้นดูว่าแท้จริงแล้วมีสิ่งใดอยู่ภายใน”
เสียงแหบห้าวเย้ยหยัน “ช่างโง่เง่านัก! กระทั่งอดีตเจ้านายเรายังหายตัวไปในประตูบานนั้นเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี นับประสาอะไรกับแมลงเหม็นเช่นเจ้า!”
นายพลหวังยืนยันหนักแน่น “จงอย่าได้ลืมเลือนข้อตกลงระหว่างพวกเรา! หากเจ้ากล้าละเมิดมัน ต่อให้เจ้าเป็นจ้าวปกครอง พวกเราก็ไม่คิดจะละเว้น!”
“เหอะ! ทางเจ้าเองก็ทำตามข้อตกลงให้ลุล่วงเถิด ถึงเวลานั้นเราก็จะปล่อยให้เจ้าเข้าไปภายในตามสัญญา”
เสียงแหบห้าวกล่าวด้วยความดูหมิ่น
นายพลหวังเปล่งเสียงดังขึ้นและกล่าว “พวกเราลุล่วงแล้ว! เจ้าเองก็กำลังกลืนกินเผ่าพันธุ์มนุษย์จนสมใจอยากแล้วมิใช่หรือ!”
เสียงแหบห้าวตวาดสวนกลับ “ไม่ใช่! ระบบข้าหมายถึงสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดมิใช่ลูกหลานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากแต่เป็นระบบที่ได้รับสืบทอดกันมา! ครั้งหนึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เคยครอบครองระบบ พวกเขาจึงกลายเป็นตัวตนที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจเหลือคณา! เจ้ายังมิได้บรรลุในเรื่องนี้เลย นี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญ!”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกนะจ้าวปกครองพิภพ เพราะพวกเราเองก็มีวิธีจัดการกับระบบแล้วเช่นกัน!”
“วิธีใด?”
“พวกเราได้ทดลองคาดคำนวณอำนาจจากหลากหลายระบบแล้ว แล้วค้นพบว่า ระบบแรกที่พวกเราจะปลดปล่อยออกไป คือระบบของราชามาร!”
“ระบบ…ของราชามาร…”
“ใช่ นี่คือระบบที่น่ากลัวที่สุด มันจะทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตกลายเป็นทาส เข้ากลืนกินเผ่าพันธุ์มนุษย์นับไม่ถ้วน และจบด้วยการถือกำเนิดของราชามารที่แท้จริง!”
“ไม่ได้! อย่างไรก็ห้ามปล่อยให้พวกมันสร้างราชามารเด็ดขาด!”
“แน่นอนว่าไม่ เพราะพวกเราจะแสดงเป็นเทพวิญญาณของพวกมนุษย์ ในขณะเดียวกัน ก็แปรเปลี่ยนให้ระบบของราชามารคือความชั่วร้าย สร้างความหวาดกลัวในมันให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ พิสูจน์ให้พวกมันเห็นว่าระบบเป็นสิ่งพวกมันสมควรหลีกเลี่ยง!”
นายพลหวังกล่าวต่อด้วยความตื่นเต้น “ตราบใดที่เจ้าสามารถช่วยเหลือพวกเรา และรับประกันว่าระบบแรกที่จะตื่นขึ้น เป็นระบบของราชามาร เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นต่อให้พวกเราไม่ทำอะไร เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะหวาดกลัวในระบบนี้ ส่วนพวกข้า ในฐานะเทพวิญญาณ ก็จักเป็นคนนำเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าต่อกรกับระบบของราชามารเอง”
เสียงแหบห้าวพอได้ฟังก็เงียบไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มันก็ถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ส่วนตอนนี้ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปรายงานต่อพระบิดาอีกครั้ง และจะปรึกษาหารือกันว่า สมควรทำอย่างไร ระบบราชามารจึงจะตื่นขึ้นเป็นอันดับแรก”
นายพลหวังกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “และเมื่อใดก็ตามที่เราสามารถทำมันได้สำเร็จ เจ้าจงจัดเตรียมประตูเอาไว้ให้พรั่งพร้อม และยินยอมปล่อยให้พวกเราเข้าไปสำรวจภายในมัน”
“แน่นอน ตราบใดที่เจ้าสามารถปิดกั้นมิให้เผ่าพันธุ์มนุษย์กับระบบรวมตัวกันได้” เสียงแหบห้าวกล่าว
นายพลหวังรับฟัง ก็ผุดรอยยิ้ม
“ตกลงตามนั้น เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าคงต้องขอตัวก่อน” เขากล่าว
“ไปเถอะ แต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญ ก็จงอย่าได้เสนอหน้ากลับมาอีก” เสียงแหบห้าวกล่าว
นายพลหวังหันหลัง เตรียมตัวทะยานขึ้นไป
แต่แล้วเขาก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน และเอ่ยถาม “ชายผู้นั้น เจ้าได้กินมันไปแล้วใช่หรือไม่?”
“อะไรอีก?” เสียงแหบห้าวเริ่มรำคาญ
ทว่าไม่รีรอให้นายพลหวังตอบ มันก็เอ่ยไปว่า “ใช่ ข้าได้กินผู้ใต้บังคับบัญชาไป แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนั้น”
นายพลหวังขบคิด ยังคงเอ่ยถาม “มิได้หมายถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า หากแต่หมายถึงชายเผ่ามนุษย์ที่หลบหนีไปเมื่อครู่นี้”
เสียงแหบห้าว “เขาพึ่งขึ้นไปจากที่นี่ เจ้ามิได้สวนกันแล้วสังหารมันลงหรอกหรือ?”
ใบหน้าของนายพลหวังแปรเปลี่ยนไป
แล้วทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปจากที่เดิมทันที
อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปยังผนังที่ทากตัวน้อยๆ ทิ้งร่องรอยเมือกน่าขยะแขยงเอาไว้
นายพลหวังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
“มันมิใช่สิ่งนี้…”
เขาลังเลและกล่าว “เมื่อครู่ข้าเร่งร้อนลงมาเร็วเกินไป…ดังนั้นมิอาจเพ่งสำรวจในแต่ละชั้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว…ทว่าการที่เผ่ามนุษย์รอดพ้นไปได้นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย…”
เปรี้ยง!
ระหว่างกล่าว ทั้งร่างของเขาก็พลันระเบิดแสงสีเทากวาดกระจายไปทั่ว
“กล้าเล่นลูกไม้กับข้าอย่างงั้นหรือ? ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ว่าจบ เขาก็หายตัวไปจากชั้นนี้อีกครั้ง
…
อีกด้านหนึ่ง
ภายนอกโรงเชือด
ในพุ่มไม้หนา
กู่ฉิงซานซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ในช่วงเวลาที่เทพวิญญาณกำลังเข้าสู่คุกใต้ดิน ตัวเขาก็ได้แปลงกายเป็นมดแล้วซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างระหว่างรั้วของชั้นห้า
และเมื่อเทพวิญญาณลงจากชั้นห้าไป กู่ฉิงซานก็ออกมาที่นี่ทันที
เขาออกมาจากคุกใต้ดิน และเห็นว่าตลอดทั้งโรงเชือดตกอยู่ในความโกลาหล
ผู้ดูแลหลี่และสมุนที่ทรงพลังของเขาหลายคนเสียชีวิตลง
ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎจากค่ายอื่นๆ ล้วนเร่งเข้ามาในห้องของผู้ดูแล
ส่วนกู่ฉิงซาน เขาเดินฝ่าฝูงชนที่วิ่งวุ่นไปอย่างเงียบๆ มุ่งหน้าหาสถานที่สงบ
แต่ก็ไม่ได้ไปไกลจนเกินไปนัก
เพราะถ้าหากเขาไปไกลเกินไป ‘ทาก’ ก็จะไม่ทำงาน
ในจิตใจของเขา ย้อนนึกไปถึงคำแนะนำของชายแก่แห่งสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง
…
“นี่เป็นของดีนะ มันเป็นแมลงดักฟังที่ดีกว่าพวกตัวอื่นๆ ทั่วๆ ไป”
“ปกติแล้ว พวกแมลงดักฟังน่ะจะถูกพบตัวได้ง่าย และผู้ถูกดักฟังก็มักจะโกรธและเหยียบไอ้แมลงนั่นจนตัวแตกตายโดยตรง”
“ในขณะที่ทากตัวนี้ แม้จะดูเหมือนมีชีวิต แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงอวัยวะทางชีวภาพเล็กๆ เท่านั้น”
“เมื่อใดก็ตามที่มันถูกเหยียบ ฟังก์ชันการดักฟังของมันก็จะเริ่มทำงานทันที”
…
ทากตัวนี้คือของขวัญที่เขาได้รับจากชายแก่แห่งสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง ในครั้งที่เขาเดินทางไปยังอัลเบอัส
ตอนนี้ ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากมันแล้ว
เขารับฟังบทสนทนาที่มีตัวทากเป็นสื่อกลางอย่างเงียบๆ
รับฟังโดยมิได้เคลื่อนย้ายออกไปไหนเลย จนกระทั่งสองสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง เริ่มจะเอ่ยถามไถ่ถึงตัวเขา
ดิสก์ค่ายกลก็ถูกกดเปิดใช้งานทันที
กู่ฉิงซานหายวับไปจากสถานที่เดิม
และห่างออกไปอีกหลายพันลี้ ท่ามกลางภูเขารกร้างนับไม่ถ้วน
ร่างของกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่เปิดโล่ง
นี่คือสถานที่ที่เขาทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์
หากพวกท่านยังจดจำกันได้ เริ่มต้นนับจากโลกทะเลทรายเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดที่จัดตั้งค่ายกล ในทุกๆ ครั้งกู่ฉิงซานล้วนติดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายเผื่อเอาไว้ด้วยตลอดมา
และในตอนนี้ ในที่สุดมันก็ได้ใช้ประโยชน์ สามารถนำพาเขาให้หนีรอดจากอันตรายถึงชีวิต!
กู่ฉิงซานยืนอยู่ในจุดเดิม ปากอ้าถอนหายใจยาว
การสอดแนมข้อมูลจากเทพวิญญาณและมอนสเตอร์บรรพกาลด้วยตนเอง นับว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายร้ายแรงยิ่งนัก
ทว่าโชคยังดี ที่เขาสามารถผ่านพ้นความอันตรายที่ว่ามาได้ สามารถเปิดเมฆหมอกหนาแน่นที่คอยปกคลุมโชคชะตาของเผ่ามนุษย์ตลอดมาได้ในที่สุด…
กู่ฉิงซานได้ล่วงรู้ถึงความจริงของยุคบรรพกาลแล้ว!
………………………….