ท่ามกลางท้องทะเล
กู่ฉิงซานวางมือลงบนระเบียงเรือเหาะ หลับตาลง ในสมองขบคิด
ผู้ฝึกยุทธจากยุคโบราณคนนั้นช่างยอดเยี่ยมเสียจริง เขาไม่เพียงแต่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อ แต่ยังกระทั่งสร้างเรือเหาะที่สามารถดำดิ่งสู่ห้วงทะเลลึก และเก็บรวบรวมประสบการณ์ ความรู้ อารยธรรม ฯลฯ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการฝึกยุทธเอาไว้ภายในเรือเหาะ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เรือเหาะทั้งลำนี้ คือหีบสมบัติที่รวบรวมภูมิปัญญาสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสมบัติเช่นนี้ กู่ฉิงซานแม้จะเกิดความโลภ แต่เขาก็ไม่คิดจะทำการเรียนรู้เนื้อหาทั้งหมดอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
ในเวลานี้ การรู้มากไปไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่ดี ตรงกันข้าม การรู้น้อยแต่สามารถนำมันไปใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ได้ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งสมควร
ต้องไม่ลืมนะว่าภาพทับซ้อนในยุคนี้ คือยุคในช่วงเวลาที่โลกกำลังล่มสลาย ดังนั้นเขาจะต้องเร่งฝึกยุทธให้เร็วที่สุด เพื่อออกไปยังโลกถัดไป
กู่ฉิงซานเลือกแล้ว เลือกอีก ค้นหาวิธีที่ทรงประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตนเอง เพื่อเพิ่มความไวในการฝึกยุทธ และขยายอำนาจของพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาคิดว่า เขาเกือบจะพร้อมแล้ว เจ้าตัวก็หยิบเอาเม็ดยาวิญญาณออกมา นั่งพับเพียบลง แล้วหลับตาเข้าสู่ห้วงสมาธิ
ด้วยความสามารถของ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ และแต้มพลังวิญญาณในร่างกายที่มีมากกว่าหนึ่งล้าน ไหนจะมรดกเทคนิคดาบที่ได้รับสืบทอดมาจากเซี่ยกู่หงส์ ประสบการณ์ทั้งหมดจากผู้ฝึกยุทธในสมัยโบราณ ส่งเสริมให้กู่ฉิงซานสามารถตัดผ่านขอบเขตย่อยได้สำเร็จในเวลาเพียงไม่นาน
หลังจากนั้นสักพัก
เขาก็ลืมตาขึ้น
ในเวลานี้ ตัวเขาได้มาหยุดยืนอยู่ในขอบเขตลมปราณจิตขั้นปลายแล้ว!
พลังวิญญาณตลอดทั้งร่างกายเกิดความผันผวน มันเปลี่ยนแปลงและวุ่นวายเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาพึ่งตัดผ่านขอบเขตลมปราณจิตขั้นกลาง แถมตอนนี้ยังตัดผ่านมาถึงขั้นปลายอีก ด้วยการตัดผ่านอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พลังวิญญาณเกิดความไม่เสถียร
โชคดีที่สถานการณ์นี้ไม่ร้ายแรงมากเกินไป มิฉะนั้นแล้ว หากกู่ฉิงซานคิดหมายจะตัดผ่านอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ มันคงจะเป็นเรื่องยาก
กู่ฉิงซานย้อนนึกถึงกระบวนการโบราณที่ช่วยให้พลังวิญญาณสงบลง สองมือประกบพนมเข้าด้วยกัน ก่อนจะเริ่มจีบออกด้วยวิชาลับ
มันคือวิชาลับ ‘เก้าปฏิวัติ ปลดปล่อยพลังวิญญาณ’
ในสมัยโบราณ ยามเมื่อต้องเผชิญกับพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ฝึกยุทธระดับสูงจึงเกิดความคิดอันยอดเยี่ยมขึ้น
นั่นคือการ ‘ระบายพลังวิญญาณที่ปั่นป่วนออกไป’
หลังจากที่พลังวิญญาณทั้งหมดถูกระบายออก ตันเถียนก็จะว่างเปล่า ปลอดโปร่งโดยสมบูรณ์
เมื่อตันเถียนสร้างพลังวิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มันก็จะมั่นคง เพราะพลังวิญญาณใหม่จะอ่อนแอ และสามารถบังคับให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณสงบลงได้อย่างง่ายดาย
กู่ฉิงซานใช้กลยุทธ์ปลดปล่อยพลังวิญญาณตามวิธีการโบราณอย่างช้าๆ สร้างพลังวิญญาณใหม่ขึ้นมา แล้วจากนั้นก็บังคับให้พวกมันไหลไปตามเส้นลมปราณทั้งหมด จนท้ายที่สุดกลับมายังตันเถียน
พลังวิญญาณจึงค่อยสงบลง
เนื่องจากพลังวิญญาณได้รับการข่มจนสงบลงแล้ว ในตอนนี้ ผู้ฝึกยุทธก็จะสามารถชักนำพลังวิญญาณ มาใช้ในการฝึกตน ตัดผ่านไปยังขอบเขตขั้นต่อไปได้
อัตราความเร็วในการพัฒนาของพวกเขาจะถูกกำหนดโดยคุณสมบัติทางด้านฝึกยุทธ รวมไปถึงความเข้าใจที่มีต่อเทคนิคฝึกยุทธที่ตนเรียนรู้
อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธสมัยโบราณย่อมไม่เหมือนกับกู่ฉิงซาน ที่สามารถเรียนรู้ทุกประเภทของการฝึกยุทธขั้นสูงได้เลยโดยตรง
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ถอนหายใจเล็กน้อย
เขารู้สึกชื่นชมต่อภูมิปัญญาของผู้ฝึกยุทธในสมัยโบราณจริงๆ
ตนผุดลุกขึ้นจากพื้นเรือเหาะ และเริ่มรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณอย่างระมัดระวัง
เขาค้นพบว่า ปริมาณพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นจากเดิมราวๆ มากกว่าครึ่ง
ฉะนั้น นี่หมายความว่า เมื่อไหร่ที่เขาทะลวงผ่านขอบเขตลมปราณจิต ยกระดับขึ้นสู่ดาราโกลาหล ปริมาณพลังวิญญาณย่อมต้องพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
ซึ่งปริมาณพลังวิญญาณจะส่งผลโดยตรงต่อพลังโจมตีและระยะเวลาในการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ
สำหรับเทคนิคดาบและวิชาลับ ยิ่งพลังวิญญาณมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
อ้างอิงจากเกณฑ์มาตรฐานความแข็งแกร่งทางพลังวิญญาณในปัจจุบันของกู่ฉิงซาน ต่อให้เขาปลดปล่อยเทคนิคลับแห่งดาบแบบไม่ใส่ใจ ก็ยังมีอำนาจโจมตีเทียบเท่าได้กับขอบเขตประทับเทพโจมตีอย่างเต็มกำลังหลายๆ ครั้งซ้อนทับกัน!
ต่อมา ก็ถึงเวลาที่จักต้องทะลวงฝ่าขอบเขตใหญ่ต่อไปแล้ว
กู่ฉิงซานขบคิดถึงสิ่งนี้ และมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณของเขามีมากกว่าหนึ่งจุดหนึ่งล้าน!
‘วิชายุทธเทพสงคราม’ เองก็พร้อมแล้ว ที่จะยกระดับให้สามารถเรียนรู้สกิลของเทพวิญญาณได้ตลอดเวลา
ทว่า…
แล้วทำไมเขาจะต้องเรียนรู้เทคนิคของเทพวิญญาณด้วยเล่า?
ก็ในเมื่อกู่ฉิงซานได้ล่วงรู้แล้ว ว่าเซี่ยกู่หงส์อาศัยเพียงอำนาจเทคนิคดาบ ก็สามารถมีชัยเหนือเทพวิญญาณไปได้มากกว่าครึ่ง
เมื่อรู้ว่าตนเองครอบครองความสามารถที่สาดแสงระดับดวงอาทิตย์ แล้วจักปรารถนาเดินทางไปครอบครองความสามารถที่เปล่งประกายได้แค่เพียงแสงจันทร์ไปเพื่ออะไร?
เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเอ่ยปาก “ระบบ ฉันมีคำถาม”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบกลับมา “คุณสามารถถามมาได้ แต่ในทุกๆ คำถามจากนี้ไป จะถูกเรียกเก็บเป็นสิบแต้มพลังวิญญาณ”
กู่ฉิงซาน “อ่าว ทำไมต้องเรียกเก็บแต้มพลังวิญญาณด้วย ก่อนหน้านี้ไม่เคยเรียกเก็บเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ขอบคุณมากสำหรับยี่สิบแต้มพลังวิญญาณที่พึ่งจ่ายมา ฉันจะตอบคำถามตามนี้: เนื่องจากคุณมีแต้มพลังวิญญาณมากกว่าหนึ่งล้าน ระบบจึงต้องขอส่วนแบ่งบ้างเล็กน้อย ดั่งในสมัยโบราณ ที่มีคำกล่าวว่า ชายสามัญมั่งมีเพราะตระหนี่ถี่เหนียว นกยูงสลัดขนจึงสง่า” ระบบเทพสงครามตอบ
กู่ฉิงซานมองไปยังแต้มพลังวิญญาณของเขา และเห็นว่าจำนวนมหาศาลของมันขยับลงเล็กน้อย
เป็นยี่สิบแต้มพลังวิญญาณที่ถูกหักออกไป
ไอ้เจ้าระบบนี่ …
แต่มันก็แค่ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม เขายังมีแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดของแต้มพลังวิญญาณไปนับล้าน!
ซึ่งการที่สามารถมาถึงจุดนี้กล่าวได้ว่าเป็นเพราะเขาอาศัยพลังของระบบคอยช่วยเหลือ มิฉะนั้นแล้วกู่ฉิงซานคงเก็บแต้มพลังวิญญาณได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้น
ฉะนั้น เลิกเถียงเกี่ยวกับยี่สิบแต้มพลังวิญญาณของมันจะดีกว่า
กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ
เขาเอ่ยถามต่อว่า “ฉันต้องการรู้ว่า ทำไมระบบเทพสงครามถึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการยกระดับขึ้นเพื่อฝึกยุทธสกิลของเทพวิญญาณด้วย?”
“นอกจากนี้ หมายความว่าสกิลของเทพวิญญาณมันดีกว่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่รึเปล่า?”
“ขอบคุณสำหรับอีก ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณ คำถามแรกง่ายดายมาก เป็นเพราะว่าเราสองได้ย้อนเวลากลับมายังยุคก่อนวันสิ้นโลก เพื่อไม่ให้ถูกสิ่งใดตรวจจับได้ และเพื่อให้การย้อนเวลานั้นสำเร็จลุล่วง ระบบจำต้องละทิ้งความสามารถส่วนใหญ่ไป วิชายุทธเทพสงครามถูกลดระดับลงให้อยู่ในรูปแบบที่อ่อนแอที่สุดที่เป็นไปได้ คุณสามารถตรวจสอบดูฟังก์ชันอื่นๆ ในระบบเทพสงครามได้ แล้วจะเข้าใจเกี่ยวกับมันมากขึ้น”
กู่ฉิงซานตั้งตารอคำต่อไปที่จะปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม
อย่างไรตาม เบื้องล่างหน้าต่าง กลับเห็นแค่เพียงไอคอนที่กระจัดกระจายอยู่สาดแสงเย็นเยียบออกมาอย่างเงียบๆ พวกมันคือฟังก์ชันต่างๆ ที่เขาปลดล็อกได้ ไล่ตั้งแต่ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ไปจนถึง ‘ภารกิจเทพสงคราม’
ยกเว้นห้าไอคอนที่ปลดล็อกได้ ไอคอนอื่นๆ ล้วนถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม คล้ายกับหลุมดำ ในบางครั้ง พวกมันก็จะปล่อยหมอกสีดำที่ไม่สามารถมองเห็นได้ออกมา
“ยังมีอีกหลายฟังก์ชันที่ยังไม่ได้ถูกเปิด…” กู่ฉิงซานพึมพำ
“ใช่ ความอ่อนแอเช่นนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ”
ระบบเทพสงครามบ่น และกล่าวต่อ “สำหรับคำถามที่สองของคุณ สกิลของเทพวิญญาณนั้น แท้จริงแล้วมิได้โดดเด่นหรือเหนือไปกว่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์เลย”
“งั้นทำไม ถ้าคิดจะเรียนรู้สกิลของเทพวิญญาณ ถึงจำเป็นต้องยกระดับระบบเทพสงครามด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ขอบคุณสำหรับ สิบแต้มพลังวิญญาณ เพราะว่าสกิลเทพวิญญาณนั้น มิใช่สกิลของเทพวิญญาณเองจริงๆ มันเป็นเพียง ‘สกิลลอกเลียน’ ที่มีต้นกำเนิดมาจากจาก ‘เผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณ’ เมื่อนานมาแล้ว นานที่ว่านี่ หมายถึงนานนมยิ่งกว่าในยุคโบราณ เป็นการลอกเลียนพลังอันเรียบง่ายอย่างเชี่ยวชาญ”
คำตอบนี้ บอกตามตรงว่าค่อนข้างสร้างความประหลาดใจให้แก่กู่ฉิงซาน
เขาไตร่ตรองและเอ่ยถาม “ดังนั้น แท้จริงแล้วหมายความว่าสกิลของเทพวิญญาณ เดิมทีมันก็คือสกิลดั้งเดิมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่ไหม?”
“ถูกต้อง และขอบคุณสำหรับอีกสิบแต้มพลังวิญญาณ” ระบบกล่าว
ประกายวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยถามทันใด “งั้นแล้วพวกมอนสเตอร์บรรพกาลล่ะ? ต้นกำเนิดสกิลของพวกมัน ใช่มาจากการศึกษาและลอกเลียนแบบสกิลของเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกันรึเปล่า?”
ระบบเทพสงคราม “หายากนักที่คุณจะคิดได้ถึงปัญหานี้ เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ ดังนั้นขอเก็บเป็น ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณ และระบบจะตอบคำถามดังต่อไปนี้”
“มอนสเตอร์บรรพกาลเดิมเป็นสิ่งที่ถูกรังสรรค์ขึ้น ร่างกายของพวกมัน ความสามารถของพวกมัน ทุกสิ่งของพวกมัน ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ก่อนยุคโบราณ ขีดเขียนขึ้น”
“นอกจากนี้ ระบบยังมีข้อมูลพิเศษเพิ่มเติมให้ว่า หลังจากยกระดับวิชายุทธเทพสงครามของคุณต่อไป ก็จะสามารถเรียนรู้ สกิลของมอนสเตอร์บรรพกาลได้เช่นกัน”
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม “แล้วถ้าฉันต้องการจะยกระดับไปขั้นถัดไปล่ะ? มันจะต้องทำอย่างไร?”
“ขอบคุณสำหรับ ยี่สิบแต้มพลังวิญญาณ ขอตอบว่ามันเป็นไปได้เลยในทันที สำหรับการอัปเกรดในขั้นแรก สำหรับขั้นที่สอง การยกระดับวิชายุทธเทพสงคราม ครั้งต่อไปจำเป็นต้องใช้สามล้านแต้มพลังวิญญาณ”
กู่ฉิงซานอุทานด้วยความโกรธ “สามล้าน! คิดว่าฉันจะไปหาแต้มพลังวิญญาณขนาดนั้นมาจากที่ไหนกัน!?”
ระบบเทพสงครามอธิบายอย่างสงบ “เผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณไม่ได้ใช้แต้มพลังวิญญาณมากนักในการสร้างร่างของมอนสเตอร์บรรพกาล แต่อย่างไรก็ตาม พลังของมอนสเตอร์นั้น แต่เดิมก็มากจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณ ด้วยเหตุนี้เอง พวกมันจึงแข็งแกร่งกว่าเทพวิญญาณที่เลียนแบบเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่เล็กน้อย”
ระบบย้ำ “ดังนั้น มันจึงมีราคาแพงกว่าขั้นแรก”
กู่ฉิงซานไร้ซึ่งคำจะกล่าว
เขามองไกลออกไปในทะเล และกลั่นกรองข้อมูลที่ได้มาจากระบบเทพสงคราม
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการถึงขอบเขตความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในช่วงก่อนยุคโบราณ
จากบทสนทนาระหว่างจ้าวปกครองใต้พิภพกับเทพวิญญาณ สามารถบอกได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ก่อนยุคโบราณ เคยเข้าไปในประตู
เช่นนั้นอะไรอยู่เบื้องหลังประตูกันแน่?
เหตุใดหลายร้อยล้านปีผ่านไปแล้ว พวกเขาถึงได้ไม่กลับมา?
กู่ฉิงซานมองดูคลื่นทะเลที่ซัดสาด และความมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป
ในปัจจุบันนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณทุกคนได้ตกตายลงแล้ว
โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์กำลังมาถึงทางตัน
บางทีในตลอดทั้งโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ คงจะมีเพียงเต่ายักษ์เท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตอยู่ได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ประกายแสงบางอย่างก็กะพริบไหวขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน
หัวใจของเขาเต้นครึกโครม
เดี๋ยว…
เดี๋ยวก่อนนะ…
ในยุคโบราณ แท้จริงแล้วมันมีทั้งหมดกี่โลกกันแน่!?
…………………..