ยุคโบราณ แท้จริงแล้วมีกี่โลกกันแน่?
เมื่อคิดถึงปัญหานี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มกลายเป็นจริงจังขึ้น
“ระบบ ในยุคนี้ นอกเหนือไปจากโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์แล้ว ยังมีอยู่อีกกี่โลกกันแน่?” กู่ฉิงซานถาม
ระบบตอบ “เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับระบบ ดังนั้นไม่สามารถตอบคำถามได้”
กู่ฉิงซาน “แต่ปัญหาสำคัญจริงๆ นะ ฉันจะมอบแต้มพลังวิญญาณให้ยิ่งกว่าในทุกๆ ครั้งเลย ขอแค่คุณบอกมา”
“สำหรับปัญหานี้ คุณจะต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน และอีกอย่าง มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน”
กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอมแพ้
เขาเดินวนไปวนมาในเรือเหาะ ขบคิดเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้สำรวจโลกอื่น
โลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ในยุคปัจจุบันที่เขาอยู่ เป็นช่วงเวลาของการล่มสลาย
บนผืนดิน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนตกตายจนสิ้น
ท้องทะเลก็ยังว่างเปล่า
กู่ฉิงซานแล่นเรือโดดเดี่ยวอยู่ในทะเล สมองขบคิดว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไรดี?
เขาเค้นสมองเป็นเวลานาน ในที่สุดก็นั่งพับเพียบลง และเริ่มวางมือลงบนเรือเหาะ
เพราะนอกเหนือไปจากเทคนิคฝึกยุทธของผู้ฝึกยุทธในสมัยโบราณแล้ว บนเรือลำนี้ มันยังมีบันทึกเกี่ยวกับอารยธรรมและประวัติศาสตร์รวมเอาไว้อีกด้วย
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป และทำการค้นหามันอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นไม่กี่สิบลมหายใจ
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย ปากอ้าขยับพึมพำ “เจอแล้ว”
ตามบันทึกของผู้ฝึกยุทธเผ่าพันธุ์มนุษย์ มันมีอยู่ทั้งสิ้นสองโลกในยุคนี้
หนึ่งคือโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์
และอีกหนึ่งคือโลกปีศาจดึกดำบรรพ์[1]
ในตำนานเมื่อนานมาแล้ว ยามเมื่อเทพวิญญาณได้ปรากฏกายครั้งแรก พวกเขาได้ใช้ออกด้วยหลากหลายวิธีการ จนได้รับความเชื่อมันและไว้วางใจจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์
แน่นอน ว่าครั้งหนึ่งเทพวิญญาณเองก็เคยก้าวเข้าสู่โลกปีศาจดึกดำบรรพ์เช่นกัน เป้าประสงค์ก็เพื่อต้องการติดต่อกับพวกปีศาจ
ทว่าสุดท้ายก็ล้มเหลว
เทพวิญญาณได้ทดลองพยายามที่จะเรียนรู้สกิลของพวกปีศาจ แต่ในที่สุดก็ค้นพบว่า เหล่าปีศาจนั้นถือกำเนิดมาจากปฐมบทแห่งความโกลาหล เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลอมรวมเข้ากับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ดังนั้นจึงครอบครองความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแก่นแท้ของโลกทั้งมวล และไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้เอง สำหรับโลกฝั่งปีศาจ เหล่าทวยเทพเลยไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้
จึงมีเพียงโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ที่ตกอยู่ในการควบคุมของเทพวิญญาณ และมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะก้าวข้ามเทพวิญญาณ เพื่อออกไปสำรวจถึงความลี้ลับของโลกเหล่านี้
กู่ฉิงซานถอนมือออก และส่ายหัวอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่า…
บางสิ่งบางอย่าง เขาคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากถามมันด้วยตัวเอง
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาเม็ดยาวิญญาณออกมาสองเม็ด
เขาโยนเม็ดยาเข้าปาก สองมือประกบหากัน แปรผันเป็นวิชาลับ
ขอบเขตลมปราณจิตขั้นปลาย เริ่มเข้าสู่กระบวนการตัดผ่านไปยังขอบเขตดาราโกลาหล!
พลังวิญญาณมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา มันพยายามทุกวิถีทางที่จะชักนำเมฆทมิฬลงมายังเบื้องล่างมหาสมุทร ตามกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สายฟ้าก่อบังเกิด
เมฆทมิฬแพร่กระจายตัว
สภาวะทัณฑ์สวรรค์เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ทัณฑ์สวรรค์ก็ได้จบลง
ภายในอากาศที่ว่างเปล่า ทุกชนิดของเสียงกรีดร้องโหยหวนค่อยๆ ดังขึ้น
พร้อมกันกับใบหน้าที่ดูดุร้ายทยอยกันปรากฏออกมาอย่างเงียบๆ
เหล่าภูตผีปีศาจได้มาเยือนแล้ว!
กู่ฉิงซานมองไปรอบๆ ประสานกำปั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่ได้พบเจอกันนาน เหล่าสหายเป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา?”
ทว่าไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ
พวกปีศาจไม่คิดสนทนากับเขา
ปีศาจทั้งหมดรายล้อมรอบเรือเหาะ ทยอยกันปรากฏขึ้นทีละตน ทีละตนในอากาศ
แต่ละตนมองมายังกู่ฉิงซาน ใช้สายตาเฉกเช่นเดียวกันกับกำลังมองเหยื่อ
“เนื้อสดๆ ที่แสนหายาก…”
กษัตริย์ปีศาจเลียริมฝีปาก
“อา…เดิมที ข้าคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนสูญพันธุ์ไปสิ้น จนไม่อาจหากินได้อีกแล้วซะอีก” ราชาภูตกล่าว
“แต่น่าเสียดาย ที่ผู้ฝึกยุทธคนนี้คล้ายกับสมองไม่ดี พวกเราไม่รู้จักเขาเสียหน่อย แล้วเขามาทักทายพวกเราทำไมกัน?” ราชินีภูตกล่าว
“จงอย่าได้แย่งชิงมันไปจากข้า ข้าปรารถนาที่จะฉีกเนื้อหนังมัน” อีกกษัตริย์ปีศาจกล่าว
“ก็แบ่งๆ กันซี ข้าขอเป็นสองมือ สองเท้าของมันก็แล้วกัน”
“งั้นข้าขอส่วนหัว”
“ส่วนข้า จะรับช่วงลำตัวไป”
เหล่าปีศาจเริ่มจับจองมื้ออาหาร
สองมือที่ประสานคารวะของกู่ฉิงซานแข็งค้าง
เมื่อได้รับฟังถึงบทสนทนา เขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหา
ตนค้นพบว่าแท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ที่ก่อกำเนิดขึ้นระหว่างเขากับพวกปีศาจ จริงๆ มันเป็นในภาพทับซ้อนยุคก่อนหน้านี้
ในช่วงเวลานั้น เขาต้องกลับไปเริ่มต้นฝึกยุทธใหม่ตั้งแต่ขอบเขตปราณปรับแต่งอีกครั้ง จึงมีบ่อยครั้งที่ต้องเผชิญกับพวกปีศาจ นานวัน ก็เลยยิ่งได้ทำความรู้จักกันอย่างช้าๆ
แต่สำหรับพวกปีศาจในภาพทับซ้อนยุคปัจจุบัน เขาไม่เคยได้ทำความรู้จักใดๆ กับพวกมันเลยมาก่อนเลย
ปัญหานี่มัน…ช่างน่าปวดหัวซะจริง!
กู่ฉิงซานยกมือขึ้นเกาหัว นิ่งคิดไปพักหนึ่ง
ท่ามกลางความมืดมิด เหล่าปีศาจพรั่งพร้อมโจมตี เริ่มคำรามลั่น
เพราะนับจากนี้ไป คือช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมที่จักได้เพลิดเพลินไปกับเลือดและเนื้อสดๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์!
ทางด้านกู่ฉิงซาน เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็จำต้องเรียกสองดาบยาวออกมาจากในความว่างเปล่า
“เฮ้อ เอาเถอะ แบบนี้ก็ดี เพราะอย่างไรซะ ฉันเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะต้องมานั่งดื่มกิน ยกแขนคล้องคอแล้วค่อยถามไถ่ข้อมูลจากพวกมันอย่างช้าๆ เหมือนกัน…”
เขาถอนหายใจ ปากบ่นพึมพำ
…
สิบนาทีต่อมา
“เจ้าเด็กเหลือขอ! ทั้งๆ ที่ตัวเจ้ามีความสามารถมากพอที่จักสังหารพวกเราลงได้แท้ๆ แล้วสภาพอัปยศเช่นนี้มันอะไรกัน!? เหตุใดถึงไม่ทำให้มันจบๆ ไปสักที!!” ราชาภูตตะโกนด้วยความโกรธแค้น
กู่ฉิงซานก้าวออกมาข้างหน้า เกร็งกำปั้น และซัดเปรี้ยง! เข้าใส่หัวของราชาภูต
เขากระแทกหมัดออกไปอีกครั้ง จากนั้นก็ชกจนกระทั่งราชาภูตที่ปากมากสิ้นสติไป
“เจ้าหนู ข้าขอแนะนำเจ้าว่าให้ปล่อยพวกเราไป เพราะในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะพวกเราได้ ฉะนั้นในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งต่อไป เจ้าก็จะเจอพวกเราเหมือนเดิม นั่นย่อมทำให้เจ้าสามารถยกระดับขอบเขตขึ้นได้อย่างง่ายดาย -แต่หากเจ้าสังหารพวกเรา เจ้าก็จักต้องเจอปีศาจตนใหม่ที่ไม่คุ้นหน้า จงใคร่ครวญดีๆ เถอะ” กษัตริย์ปีศาจเอ่ยเสียงเย็นชา
กู่ฉิงซานถูมือที่พึ่งชกไปอย่างช้าๆ ก้าวตรงมายังกษัตริย์ปีศาจที่ปากมาก แต่คราวนี้เขาใช้เท้า ย่ำตึง! ลงบนจุดยุทธศาสตร์ของมัน และเริ่มกระทืบ!
กระทืบ
กระทืบ
กระทืบแรงๆ ไม่ยั้ง!
ทั้งร่างของกษัตริย์ปีศาจท่วมไปด้วยเหงื่อเย็น มิอาจเปล่งคำใดออกมาได้
กู่ฉิงซานค่อยหยุดลง
เบื้องหน้าของเขา กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตทั้งหมด ทุกตนล้วนอยู่ในสภาพน่าอดสู ถูกตัดแขน ตัดขาออกจากกัน จัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนพื้นเรือเหาะ
แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า หลังจากจัดการกับกษัตริย์ปีศาจและราชาภูตทั้งหมดแล้ว กู่ฉิงซานเองก็เหนื่อยไม่น้อยเลยเช่นกัน
เขาปาดเหงื่อ และค่อยๆ นั่งลงบนพื้นเรือเหาะ
เบื้องบนขึ้นไป ทัณฑ์สายฟ้าได้หายไปแล้ว ทว่ากระแสรุนแรงจากทัณฑ์สายลมยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ซึ่งนั่นหมายความว่าทัณฑ์สวรรค์ยังไม่จบ
เหล่าปีศาจที่สมควรจะรับหน้าที่ลงทัณฑ์ ขณะนี้จึงยังไม่มีตนใดจากไปได้
กู่ฉิงซานนิ่งคิดไปพักหนึ่ง
เขาไตร่ตรองทีละนิด ทีละนิดเกี่ยวกับโลกปีศาจกับโลกสวรรค์
ราชาภูตอีกตนหนึ่งอดไม่ได้ ต้องตะโกนออกมา “ไอ้หนู แท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะทำบ้าอะไรกันแน่?”
กู่ฉิงซานยืนขึ้น และคราวนี้เดินไปยังราชาภูตที่เอ่ยปากอีกครั้ง
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ง้างกำปั้น และเหวี่ยงมันออกไป
แน่นอนว่านี่มิใช่หมัดธรรมดา แต่เป็นหมัดที่ถูกถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไป ฉะนั้นยามปะทะจึงรุนแรงยิ่ง
ราชาภูตจุกจนงอตัว ไม่คิดเอ่ยคำใดอีก
พอจบเรื่อง กู่ฉิงซานก็กลับมานั่งลงบนพื้นที่เดิมอีกครั้ง
ในจิตใจของเขา ยังคงตกอยู่ในความสับสน
เหล่าปีศาจเหลือบมองกันและกัน
‘เอ่อ ตกลงว่าเจ้ามนุษย์คนสุดท้ายที่ยังรอดชีวิตนี่…มันบ้าใช่ไหม?’
‘ทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา เหตุใดจึงต้องบังคับให้พวกเราอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพที่อยู่ต่อก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ดี?’
แน่นอน ว่าพวกมันเคยพยายามลอบหนีออกไปจากโลกใบนี้ แต่สุดท้ายไม่ถูกหั่นเป็นสองส่วนด้วยดาบเดียว ก็ถูกทำร้ายตกตายลงในจุดนั้นทันที
เพราะอย่างไรเสีย ทั้งมือและเท้าก็ถูกตัดออกไป ฉะนั้นหากคิดหนีกลับไป มันจำเป็นต้องทุ่มความพยายามอย่างหนัก และไม่สามารถกระทำได้ในพริบตาเดียว
เช่นนั้นจะต้องทำอย่างไรกัน อีกฝ่ายถึงยินยอมปล่อยพวกตนจากไป?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ราชินีภูตก็เปล่งเสียงกระจ่างใสและงดงามน่าฟังออกมา “หนุ่มน้อย เจ้าปรารถนาสิ่งใด ใช่ต้องการให้ผู้อื่น [2] ปรนนิบัติเจ้าหรือไม่?”
กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และเดินตรงไปยังราชินีภูตที่เอ่ยปาก
ราชินีมองเขาด้วยความตื่นตระหนก แต่ใบหน้าของเธอยังคงฝืนเค้นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ผู้อื่นสัญญาว่าจะทำตามที่ใจเจ้าปรารถนา”
กู่ฉิงซานมองเธอ และยิ้ม
ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากออกมา “เจ้าไม่มีทั้งมือและเท้า ฉะนั้นข้าไม่คิดล่วงละเมิดใดๆ เพียงแต่เจ้าบอกสิ่งหนึ่งแก่ข้าอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือสถานที่ ที่เจ้าคิดกลับไปคือแห่งหนใด?”
ราชินีภูตชะงักไปวูบหนึ่ง
กษัตริย์ปีศาจและราชาภูตตนอื่นๆ ก็อึ้งไป ไม่รู้จะกล่าวกระไรดี?
เจ้าเด็กนี่ เหตุใดถึงถามคำถามเช่นนี้ ดูท่าจะป่วยจิตจริงๆ
เพราะสำหรับพวกปีศาจแล้ว พวกมันหวาดกลัวในตัวมนุษย์ที่ไม่คุ้นชินมากกว่าสิ่งใด
สำหรับปีศาจ เมื่อทราบว่าคุณร้องขอให้มันตอบคำถาม คำถามที่ว่านั่นจะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน
ตรงกันข้ามที่โดยปกติแล้ว จะเป็นฝ่ายภูตผีปีศาจ ที่มักริเริ่มหาหนทางในการชักนำมนุษย์ให้ร่วงหล่นลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง โดยปีศาจจะใช้ความอดทน ล่อลวงมนุษย์อย่างช้าๆ และเอาวิญญาณของมนุษย์ไปได้ในที่สุด
มีเฉพาะเพียงมนุษย์ที่มีความพิเศษเกินไปเท่านั้น ที่พวกมันจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความปรารถนา และวิธีการล่อลวงใดๆ ปีศาจจะไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่มนุษย์คนนั้นต้องการได้ ส่งผลให้พวกมันรู้สึกหมดหนทาง
“ข้า…จะกลับไปยังโลกขุนเขาทมิฬ…” ราชินีภูตกล่าวเสียงแหบแห้ง
“ตกลง” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้ายินยอมปล่อยข้ากลับไปจริงๆ?” มันเอ่ยถาม
“ใช่ แต่จงบอกข้าถึงวิธีที่เจ้าจะใช้กลับไปยังโลกขุนเขาทมิฬ จากนั้นเจ้าก็สามารถกลับไปได้” กู่ฉิงซานกล่าว
ราชินีภูตงงงันวูบ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สำหรับเรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาใดๆ…ตราบใดที่เจ้ากล้าไปน่ะเหรอ”
เธอกล้าพูดสิ่งนี้ได้อย่างเต็มปาก นั่นเพราะ ยามเมื่อรับตำแหน่งโทษทัณฑ์ ทัณฑ์สวรรค์จะระงับพลังของเธอ ส่งผลให้เธอสามารถปลดปล่อยอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธที่กำลังตัดผ่านขอบเขตอยู่ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากเจ้าผู้ฝึกยุทธป่วยจิตคนนี้ กล้าที่จะเหยียบย่ำไปยังโลกขุนเขาทมิฬของเธอ ราชินีภูตสาบานเลยว่า เธอจักใช้พลังเต็มที่ ไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิตกลับมา ขณะเดียวกันก็คอยทรมาน ไม่ยินยอมให้ตกตายลงเช่นกัน
ราชินีภูตเร่งเร้าร่ายคาถา “คาถานี้จำเป็นต้องหยิบยืมสายลมและโลหิตก่อน จึงจะสามารถใช้งานได้”
“ตัวอย่างเช่นแบบนี้”
ราชินีภูตขยับตัว กัดลิ้น และพ่นเลือดออกมาเล็กน้อย
เนื่องจากไม่มีมือและเท้า เธอจึงสามารถทำได้เพียงเท่านี้
กู่ฉิงซานจดจำถึงคาถาเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ
แล้วเขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายหายไปจากสายตา
กลุ่มภูตผีปีศาจตนอื่นๆ เฝ้ามองเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เจ้าเด็กนี่ มันต้องการที่จะไปยังโลกปีศาจจริงๆ น่ะหรือ?
แต่บอกไว้เลยว่า ตราบใดที่กล้าย่างกรายเข้าไป มันจะต้องตายแน่นอน!
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานหันหัวมาอย่างช้าๆ กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่างเปล่า “ไม่ต้องกังวล ต่อไปจะเป็นตาของพวกเจ้า ค่อยๆ ทยอยกันบอกมาทีละคน ทีละคน ว่าจักสามารถไปยังโลกของพวกเจ้าได้อย่างไร”
………………….