ป่าหยกเย็นเยือก
กิ่งก้านสูงตระหง่าน
นกสองตัวตกลงมาด้วยอาการสาหัสก่อนห้อยอยู่บนพุ่มไม้เขียวชอุ่ม
กู่ฉิงซานคือหนึ่งในนั้น
เขานอนอยู่ใต้ปีกของนกอีกตัวที่ตกมากระแทกจนถึงแก่ความตาย
กู่ฉิงซานขยับเล็กน้อยก่อนยกนกตัวนั้นออกไป
นกตัวหนึ่งลืมตาอันมืดบอดขึ้นก่อนมองมาที่กู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานจ้องมองกลับไป
นกตัวดังกล่าวตกอยู่ในอาการสาหัสมากเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าปัญหาคลี่คลายแล้ว กู่ฉิงซานหลับตาลงก่อนไปนอนข้างต้นไม้โดยแสร้งว่าอาการสาหัส
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน
ใกล้ถึงช่วงเที่ยงเข้าทุกที
มีเสียงอึกทึกครึกโครมจนสะเทือนทั้งป่าดังอยู่ไกลๆ
นั่นคืออีกฝั่งของจุดเชื่อมต่อ ดินแดนทุรกันดารทางตะวันตกของโลกบรรพกาล
เพราะโลกแยกจากกัน แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงที่เกิดขึ้นตรงนั้นจึงอ่อนกำลังลงไปมากเมื่ออยู่ตรงนี้
แต่สำหรับป่าบนภูเขาแห่งนี้ นี่ยังเป็นผลพวงที่มีพลังทำลายล้างมหาศาลอยู่ดี
หลังจากผ่านไปสักพัก
เสียงหนึ่งในท้องฟ้าดังกึกก้อง “มีกลุ่มคนร้ายที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่!”
หัวใจของกู่ฉิงซานแทบกระโจนออกมา
นี่คือภาษาโบราณ
เขากลั้นหายใจ ดวงตาหลับลง มองสถานการณ์ภายนอกด้วยจิตเท่านั้น
โดยไม่มีการกล่าวเตือน แสงอันเจิดจ้าลากเปลวเพลิงยาวเป็นสายก่อนกระแทกที่สุดขอบป่า
‘ตูม!’
หลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
ต้นไม้หลายร้อยต้นถูกพัดโดยคลื่นอากาศที่มองไม่เห็น ป่าบนภูเขาทั้งแถบพังยับเยิน
กู่ฉิงซานฝืนปล่อยให้พลังพัดตัวออกมา ไม่แม้แต่จะขัดขืนสักนิด เขากลิ้งไปในอากาศตามแรงลมก่อนจะตกลงไปในโคลน
เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตอนนี้คือช่วงเวลาสงคราม ในฐานะสัตว์ประหลาดชั้นยอด ทันทีที่มีอะไรผิดปกติ มันจะสัมผัสได้ทันที
กู่ฉิงซานยังหลับตาอยู่ ทำแค่ปล่อยให้จิตไปสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อย่างเงียบงันเท่านั้น
เขาเห็นแสงหมองหม่นโผล่ออกมาจากหลุมลึก ในเวลาเดียวกัน เสียงอันผึ่งผายแต่แฝงด้วยความไม่เต็มใจก็ดังขึ้น
“ผู้ปกครองโลกบรรพกาลอันสูงศักดิ์ ท่านเข้าใจผิดมหันต์แล้ว”
ในความว่างเปล่า เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น “เข้าใจผิดหรือ”
“ใช่ ในฐานะราชาเทพ ข้ารับรองได้ว่าพวกเราได้ทำสิ่งต่างๆ ตามที่ได้ตกลงกันไว้”
เทพ!
ผู้ที่ถูกอัดจนกองอยู่กับพื้นคือราชาเทพ!
กู่ฉิงซานตกใจและหวาดกลัว เขาไม่แม้แต่จะกล้าหายใจออกมาแม้แต่น้อย
หรือว่าจะเป็นราชาเทพที่ล่วงลับ
ถ้าแบบนี้ก็สมเหตุสมผล
ไม่สงสัยเลยว่าเทพยังคงนิ่งเฉยเรื่องตัวตนเทพผู้ล่วงลับ ไม่แม้แต่ยอมให้เผ่าพันธุ์ให้มนุษย์สืบสาวเรื่องราวนี้
เสียงในความว่างเปล่าดังก้องขึ้นพร้อมโทสะ “ข้ามาจากอีกฝากหนึ่งของป่า หลีกเลี่ยงพันธมิตรที่เกิดจากเจ้าและเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าอยากได้ยินคำอธิบายของเจ้ากับหูตัวเอง แต่เจ้ากลับพูดเพียงว่าเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าสัญญาว่าข้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้” ราชาเทพกล่าว
“เจ้าว่ามา ข้าฟังอยู่”
“เหตุผลที่ทำไมพวกข้าสร้างโลกหลายใบก็เพื่อตรวจสอบและดูว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคโบราณนั้นเป็นเช่นไรก่อนตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งเพื่อเข้าสู่ประตูบานนั้น”
มีน้ำเสียงเหยียดหยันดังขึ้นในความว่างเปล่า
“หากเจ้าทำเช่นนี้ เท่ากับเจ้าอยากสอดแนมความลับสุดยอดที่ถูกฝังไว้ในสมัยโบราณใช่หรือไม่” ผู้ปกครองโลกบรรพกาลหัวเราะ
ราชาเทพเค้นเสียงแล้วกล่าวว่า “อย่างน้อยพวกข้าก็กำลังสำรวจเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่นอีก พวกข้าแค่พยายามจะหาความลับที่อยู่ข้างในเท่านั้น!”
ผู้ปกครองโลกบรรพกาลเงียบไปสักพักก่อนกล่าวว่า “เจ้ากำลังจะบอกว่าไม่ได้ละเมิดข้อตกลงระหว่างพวกเราใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง” ราชาเทพตอบ
ตอนนี้ เปลวเพลิงตกลงมาจากท้องฟ้าเพื่อมาคุ้มกันอยู่ข้างราชาเทพ
“นายท่าน ข้าจะปกป้องท่านเอง” เปลวเพลิงนั้นกล่าว
“ไม่” ราชาเทพกล่าว “ข้าคิดว่าผู้ปกครองโลกบรรพกาลรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นครั้งนี้เขาจะไม่สู้”
“ใช่” ผู้ปกครองโลกบรรพกาลตอบ “ขอแค่เจ้าไม่ทำอะไรลับหลังอย่างลอบวางแผนทำเรื่องบัดซบ ข้าย่อมไม่สู้อย่างแน่นอน”
ราชาเทพกล่าวเสียงดังว่า “ฉะนั้นหยุดการรุกรานนี้เถอะ ผู้ปกครองโลกบรรพกาล ท่านทำให้คนของข้ากลัวแล้ว”
“ขอเพียงท่านกลับสู่ยุคโบราณ ข้ารับปากว่าจะมอบเลือดเนื้อของมนุษย์ให้มากเท่าที่ท่านต้องการ”
ผู้ปกครองโลกบรรพกาลกล่าวอย่างยินดีว่า “ย่อมได้อยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าตอบคำถามข้าอีกข้อเท่านั้น”
“เชิญท่านว่ามา” ราชาเทพกล่าว
“เจ้าขโมยสิ่งนั้นไปจากห้วงลึกบรรพกาล แต่ข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้าเพราะเห็นว่าอยากสร้างโลก ฉะนั้นจะยอมให้สำรวจความลับยุคโบราณก็ได้”
“หากคิดถึงคุณงามความดีที่พวกมนุษย์ทำการสืบพันธุ์และฝึกฝนจนกลายเป็นเนื้อคุณภาพสูง ข้าจะไม่ถือสา”
ผู้ปกครองโลกบรรพกาลนิ่งไปสักพักก่อนกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “แต่เจ้ากล้าดียังไงที่เอาหวนคืนชาติภพหกวิถีออกมา”
‘อึก!’
เกิดเสียงอู้อี้ในลำคอ
หอกหลากสีสันพลันปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าก่อนแทงใส่ร่างของราชาเทพทันที
‘อ๊าก!’
ราชาเทพส่งเสียงกรีดร้องยาวออกมา มือทั้งสองกุมหอกหลากสีสันเอาไว้ก่อนร้องขอว่า “ไม่ อภัยให้ข้าด้วย”
ในความว่างเปล่า เสียงของผู้ปกครองโลกบรรพกาลยังกล่าวต่อว่า “หวนคืนชาติภพหกวิถีเกินการควบคุมของข้า ถ้าเจ้ากล้าเลียนแบบพลังของมนุษย์เพื่อสร้างมันขึ้นมา นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายความยิ่งใหญ่ของข้า”
ราชาเทพคุกเข่าลง ความเจิดจรัสบนร่างกายหายไปสิ้น
หอกหลากสีสันแทงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เกราะของราชาเทพกลับแตกสลายก่อนกระจายทั่วพื้นดินทันที
ราชาเทพดูคล้ายมนุษย์ขึ้นมา เว้นเพียงเปลวเพลิงสีขาวตรงหว่างคิ้วที่กำลังวูบไหวอย่างรุนแรง
เขากล้ำกลืนความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ก่อนอ้าปากพูดออกมา “ผู้ปกครองโลกบรรพกาล… หวนคืนชาติภพหกวิถีเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา ไร้ซึ่งพลังใดๆ ข้า…ทำเพื่อท่าน”
“ราชาเทพ เจ้าโง่ ทั้งที่เจ้าอยากเล่นงานข้าแต่ไม่กล้าพูดอะไรเลยแท้ๆ กล้าดียังไงถึงมาเคลื่อนย้ายหวนคืนชาติภพหกวิถี เจ้าคงไม่รู้ว่าถึงแม้สิ่งนี้จะยังอ่อนแอมาก แต่มันจะเติบโตขึ้นเองจนท้ายที่สุดกลายเป็นกองกำลังมนุษย์ทรงพลัง ถึงตอนนั้น แม้แต่เจ้าและข้าก็ไม่สามารถควบคุมได้”
ในความว่างเปล่า ผู้ปกครองโลกบรรพกาลถากถางไม่หยุดปาก “เจ้าสหายที่น่าสงสารเวทนา หากขัดขืนข้าหรือต่อให้เจ้าเหนือกว่านี้อีกสักนิดจนกล้ามาท้าทายข้าซึ่งๆ หน้า เจ้าคงสามารถสู้ได้หลายสิบกระบวนท่าโดยที่ยังไม่พ่าย แบบนั้นข้ายังนับถือเสียกว่า”
“แต่เจ้ากลับโง่เขลาจนถึงขั้นแสวงหาอำนาจที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง”
“ด้วยเหตุนี้ข้าถึงต้องฆ่าเจ้า”
หอกหลากสีสันปล่อยแสงออกมาอย่างรุนแรงก่อนซัดลงไปในร่างของราชาเทพ
“ไม่! หยุดเดี๋ยวนี้!”
เปลวเพลิงที่ทำหน้าที่คุ้มกันราชาเทพตะโกน
มันพุ่งเข้าหาความว่างเปล่า
เขาเห็นหอกถูกดึงออกมาก่อนสะบัดอย่างแผ่วเบา
เปลวเพลิงถูกฟันทันทีก่อนกระแทกกับโคลนจนไถลไปกับพื้นดินหลายร้อยเมตร
เปลวเพลิงหายไปกลายเป็นเพียงเศษเกราะ
นักรบเผ่าพันธุ์เทพปรากฏตัวขึ้น
เขาคล้ายกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน แต่เปลวเพลิงสีครามลุกโชนอยู่หว่างคิ้ว
“บัดซบ”
เขากระอักโลหิตออกมา ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำได้เพียงมองหอกหลากสีสันทะลวงเข้าสู่ร่างของราชาเทพอีกครั้ง
ราชาเทพยื่นมือออกไปราวกับอยากคว้าหอกเอาไว้อีกครั้ง
แต่นี่เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์
เขาคุกเข่าลงกับพื้นดิน เปลวเพลิงตรงหว่างคิ้วค่อยๆ มอดดับ
ศีรษะของเขาตกลง
หอกถูกดึงออกไป
ราชาเทพล่วงลับแล้ว
เสียงของผู้ปกครองโลกบรรพกาลดังก้องขึ้นในความว่างเปล่า “ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้อารักขาที่จงรักภักดีของเขา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า จงนำสารไปบอกแก่กลุ่มพวกเจ้าด้วย”
“ข้าได้บดขยี้หวนคืนชาติภพหกวิถีแล้ว พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องมันอีก ไม่อย่างนั้นจะมีชะตากรรมเดียวกับราชาเทพ”
“จงให้มนุษย์สืบพันธุ์เพื่อข้าต่อไป เจ้าสามารถเลือกราชาเทพองค์ใหม่ได้”
“ตอนนี้ ข้าจะไปสมรภูมิ ณ จุดที่ทั้งสองโลกเชื่อมกัน”
“หลังจากเลือกนักพรตระดับสูงสองสามคนเพื่อกินได้แล้ว พวกข้าจะถอนกำลังออกไป”
“นับจากนี้ เจ้าต้องจำไว้เป็นบทเรียน จงซื่อตรงเข้าไว้”
ในความว่างเปล่า แรงกดดันน่าอึดอัดค่อยๆ หายไป
ผู้ปกครองโลกบรรพกาลไปแล้ว
เทพหลานเยี่ยนรออยู่สักพัก
เขาพยายามลุกขึ้นจากพื้นดินจนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องน่าขนลุกมาจากไกลๆ
แต่พลังของหอกหลากสีสันรุนแรงจนเทพหลานเยี่ยนสั่นสะท้านสองคราก่อนล้มลงกับพื้นดินอีกครั้ง
เทพหลานเยี่ยนมองศพของราชาเทพด้วยความไม่เต็มใจ
เขาเพียงคลานไปที่หน้าศพของราชาเทพ
การกระทำที่ไม่เต็มใจนี้ส่งผลต่อบาดแผลของเขาอีกครั้ง ทำให้กระอักโลหิตออกมาเป็นจำนวนมากอีกครา
แต่เทพหลานเยี่ยนไม่สน
เขาตรวจสอบร่างของราชาเทพอย่างระมัดระวังและรอบคอบ
ฉับพลันนั้นเอง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆ ในที่สุดก็ตายแล้ว นับจากนี้ก็ไม่มีใครมาเป็นศัตรูของข้าอีก”
“ข้าคือราชาเทพองค์ต่อไป!”
เขาตรวจสอบร่างกายด้วยการทำสมาธิอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จากนั้นรู้สึกถึงความยินดียิ่ง พวกสิ่งเล็กจ้อยรอบข้างเขาไม่เป็นที่สังเกตเห็นมาพักหนึ่งแล้ว
ขณะเทพหลานเยี่ยนสำรวจร่างของราชาเทพ
ในต้นไม้ใหญ่ที่ห่างจากเขาไปหลายสิบไมล์
นกขนวายุลืมตาขึ้น
วินาทีต่อมา
นกขนวายุหายไป
ฉับพลันนั้นเอง งูสองปีกหกขาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเทพหลานเยี่ยน
นี่ไม่ใช่ตัวที่กู่ฉิงซานเคยเผชิญหน้ามาก่อน แต่มันคืองูสองปีกหกขาที่อยู่ในสภาพไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
นี่คือสัตว์ประหลาดระดับสูงของเผ่าพันธุ์บรรพกาล
แม้กระทั่งทั้งสำนักเซียนธารจันทรายังถูกทำลาย มันยังสามารถรักษาลมหายใจในการต่อสู้นับไม่ถ้วนเอาไว้ได้
ในเวลาสั้นๆ ที่เทพหลานเยี่ยนที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งว่า “ฮ่าๆ ในที่สุดก็ตายแล้ว นับจากนี้ก็ไม่มีใครมาเป็นศัตรูของข้าอีก”
“ข้าคือราชาเทพองค์ต่อไป!”
หลังจากนั้นเสียงจึงหยุดลงทันที
หนึ่งคือการโจมตีวิญญาณด้วยเสียง ทำให้ผู้คนสับสน
สองคือการฟาดฟันความว่างเปล่าที่มองไม่เห็น
สามคือการโจมตีเต็มรูปแบบ
เพียงชั่วเวลาประกายไฟ
เสียงร้องต่ำพลันดังขึ้น
ศีรษะของเทพหลานเยี่ยนถูกฟันโดยงูสองปีกหกขาก่อนถูกกัดและเคี้ยวไปหลายคำจนกระทั่งคายออกมา
เทพหลานเยี่ยนตายแล้ว!
งูสองปีกหกขากลิ้งไปตามพื้นดินก่อนกลายร่างเป็นกู่ฉิงซาน
เขาตบถุงเก็บของทันที มือล้วงหยิบขวดน้ำเต้าก่อนเอามากลั้วคออย่างร้อนรน
ฉานนู่เมินจิตสังหารที่เขาเพิ่งระงับไปก่อนรีบกล่าวว่า “นายท่าน ไหนบอกว่าพวกเราไม่สามารถทำลายสิ่งที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ได้ล่ะ ทำไมท่านฆ่าเขากัน ท่านควบคุมตัวเองไม่ได้หรือ”
“ก็ไม่เชิง”
กู่ฉิงซานมองพลังวิญญาณกำลังเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มองระบบเตือนกับพลังวิญญาณที่เขาต้องการ หลังจากนั้นเขาจึงค่อยผ่อนคลาย
เขากล่าวช้าๆ ว่า “ความจริง เจ้าและข้ารู้ว่าตอนรีบบึ่งไปแนวหน้าเพื่อฆ่าศัตรูด้วยอสนีบาต ข้าก็ถูกเปิดโปงแล้ว”
“ถึงมีเหาก็จะไม่เกา ถึงมีหนี้สินก็ไม่ต้องกังวลหากไม่มีมากจนเกินไป ในเมื่อถูกเปิดโปงแล้ว คงดีกว่าที่จะหาทางสร้างเรื่องราวใหญ่โตอีกหน จากนั้นเปลี่ยนแปลงตัวตนเพื่อซ่อนตัว ทำเช่นนี้ศัตรูก็จะไม่พบตัวแล้ว”
ฉานนู่ประหลาดใจ “นายท่านหมายความว่าอย่างไร”
นางพลันปิดปาก
นางเห็นกู่ฉิงซานยืนอยู่ตรงหน้า เปลวเพลิงสีครามค่อยๆ พวยพุ่งตรงหว่างคิ้ว
ทั่วร่างของเขาค่อยๆ กลายเป็นเทพหลานเยี่ยน
“มีเพียงราชาเทพที่ตายที่นี่ ในฐานะเทพองค์แรกที่มาถึงที่นี่ ข้าจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากผู้ปกครองโลกบรรพกาล”
“ต่อไป ข้าจะถ่ายทอดสารของผู้ปกครองโลกบรรพกาลให้นักรบเผ่าพันธุ์เทพทั้งหมดที่เป็นสหายของเขา”
“ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ ถ้ามีใครบางคนมายุคนี้ ย่อมต้องพบว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง”
เทพหลานเยี่ยนหลับตาลงแล้วกล่าวเบาๆ ขณะประสบกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
……………………….