หลังจากได้ยินคำอธิบายของเสียงนี้ กู่ฉิงซานนึกถึงเทพวารีที่กำลังหลับใหลอยู่ทันที
นางไม่ได้ควบคุมโลกใบนี้ เพราะอย่างนั้นโลกถึงได้เริ่มมาตรการป้องกันเช่นนี้ขึ้นมาหรือ
กู่ฉิงซานอดที่จะรู้สึกปวดหัวไม่ได้
เขาถามว่า “แล้วถ้าข้าไม่ใช่มนุษย์ล่ะ”
“ท่านเพียงต้องพิสูจน์ตัวตนมนุษย์จึงจะเข้ามาได้”
“สัตว์ประหลาดบรรพกาลและเทพเข้ามาได้หรือไม่”
“ท่านเพียงต้องพิสูจน์ตัวตนมนุษย์จึงจะเข้ามาได้”
“…ก็ได้”
กู่ฉิงซานก้าวขึ้นบนวงแหวนก่อนยืนนิ่งๆ
คลื่นที่มองไม่เห็นกวาดทั่วร่างกายของเขา
“ยินดีต้อนรับ นักพรตผู้ใช้วิชาเยือกแข็งแห่งวิญญาณวารี ตัวตนมนุษย์ของท่านได้รับการยืนยันแล้ว ทำให้สามารถตอบคำถามได้”
“หากท่านไม่ใช่มนุษย์ ท่านจะถูกขับไล่โดยกฎเกณฑ์แห่งมิติ ทำให้ไม่สามารถเข้าโลกระบบนี้ได้อีก”
“โปรดเข้าสู่โลกนี้ด้วย”
‘ฟรึ่บ’
แรงดึงขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นมา
กู่ฉิงซานเพียงรู้สึกว่าเขาถูกลากเข้าสู่ความว่างเปล่า
…
สายลมพัดเอื่อยๆ
โลกกว้างและรกร้าง
กลิ่นอายอบอวลทั้งสวรรค์และปฐพี
สัตว์ร้ายจำนวนมากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในหุบเขา
ไม่มีผู้คนอยู่ในดินแดนกว้างใหญ่
ที่สุดขอบสายตามีวิหารเต๋าโอ่อ่าตั้งอยู่หลังแล้วหลังเล่า
กู่ฉิงซานเหาะขึ้นสู่ท้องนภาสีครามขณะมองวิหารเต๋า
ม่านแสงสีขาวโปร่งแสงปิดทางเขาเอาไว้ ป้องกันไม่ให้เข้าโลกในตอนนี้
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง “โปรดเข้าวิหารเต๋าเพื่อสำรวจวิถีฝึกฝนของยุคโบราณกับคลังอาวุธ”
กู่ฉิงซานยิ้มแห่งออกมา
เซี่ยกูหงเคยรวบรวมวิชาดาบชั่วชีวิตเอาไว้ในแผ่นหยกขนาดใหญ่ก่อนส่งต่อให้ตัวเอง
น่าเสียดายที่ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาทำการฝึกฝน
ในเมื่อเขาไม่เชี่ยวชาญวิชาดาบนี้ แล้วจะทำการฝึกฝนวิชาวิเศษของยุคโบราณได้อย่างไร
แต่ถ้ามันไปได้สวยในระยะเวลาหนึ่งก็สามารถนำอาวุธบางชิ้นออกไปได้ก่อนแล้วค่อยทำการเรียนรู้อย่างช้าๆ ในภายหลัง
เขาพลันรู้สึกถึงบางสิ่งขณะมองลงไปที่หุบเขารอบข้าง
นักพรตคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
ชายร่างกำยำผู้มากับเซี่ยกูหงนั่นเอง
เขาไม่สวมเสื้อขณะถือคทายาวเอาไว้ราวกับกำลังรอบางสิ่ง
ม่านแสงค่อยๆ หายไป
กู่ฉิงซานแสดงตัวออกมา
ชายร่างกำยำพบกู่ฉิงซานทันที
“หัวหน้าจ้าว”
ชายร่างกำยำประสานมือ
ชื่อของคนคนนี้ผุดขึ้นในใจของกู่ฉิงซานก่อนประสานมือกลับแล้วกล่าวว่า “หลินเต้าโหย่ว เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ชายร่างกำยำกล่าวด้วยสีหน้าขอโทษออกมาว่า “ข้ากำลังรอท่านอยู่”
“รอข้าหรือ”
“ใช่ หลังจากท่านเข้าโลกใบนี้มา ข้าก็ได้รับข่าว นายท่านบอกว่าหากท่านปรากฏตัวที่นี่ ข้าจะต้องเป็นคนมาหยุดและฆ่าท่าน”
กู่ฉิงซานเงียบแล้วพลันยิ้มออกมา “เจ้ากับข้าล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับวงแหวนนภา เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้หรือ”
ชายร่างกำยำชูคทายาวก่อนวางพาดไว้บนไหล่แล้วกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งเล็กจ้อยและถ่อมตน ไม่ยากนักที่จะฆ่าทิ้ง”
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์…เจ้าเองก็มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ พูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร”
เขาไม่คิดที่จะมาเสียเวลา มือถือมีดเยือกแข็งเอาไว้ขณะกวัดแกว่งคมดาบเยือกแข็งหลายสิบสายออกไป
ชายร่างกำยำโยนคทายาวออกก่อนเผยรอยยิ้มกว้างออกมา “หัวหน้าจ้าว ท่านไม่รู้ถึงความงามของความนิรันดร์แม้แต่นิดเดียว ข้าจะให้ท่านได้เห็นเดี๋ยวนี้แหละ”
แสงยาวสีม่วงเข้มพุ่งออกจากชายคนนั้น ก่อตัวเป็นรูรับแสงที่ปิดสนิท
ชายร่างกำยำอ้าแขนออก ปล่อยให้คมดาบสีขาวเยือกแข็งฟันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
เพียงพริบตา ทั่วร่างของเขาถูกฟันจนกลายเป็นหมอกโลหิตสดใส
กู่ฉิงซานเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ไม่ขัดขืนเลยหรือ
เขาหยิบมีดเยือกแข็งขึ้นมาทันที
แต่เขาเห็นว่าหมอกโลหิตไม่จางหายไป มันบิดเบี้ยวในอากาศสักพักก่อนพลันกลายเป็นชายร่างกำยำอีกครั้ง
เขาปรากฏตัวต่อหน้ากู่ฉิงซานในสภาพที่สมบูรณ์
“นี่เจ้าเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
ชายร่างกำยำกุมแขนก่อนยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย “ข้าคือมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกับท่าน แต่ข้ามีพลังนิรันดร์อยู่กับตัว”
“หัวหน้าจ้าว สำนักของท่านถูกทำลายจนสิ้น ข้าคิดว่าตัวท่านน่าสงสารนัก หากมาเข้าร่วมกับพวกข้า ท่านก็จะเป็นอมตะเช่นกัน”
หัวใจของกู่ฉิงซานสั่นสะท้าน
ตอนวงแสงสีม่วงปรากฏขึ้นบนร่างของชายกำยำ เขาก็เกิดเข้าใจขึ้นมา
ชายร่างกำยำแซ่หลินคนนี้ไปหลบภัยอยู่ในหุบเหวนิรันดร์ของวิญญาณกรีดร้องผู้เป็นเทพที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงกลัว
วงแสงสีม่วงคือสิ่งที่กู่ฉิงซานเคยเห็นตอนเขาพาแบร์รี่และเสี่ยวเมียวกลับโลกเดิม
สิ่งนั้นมาจากเผ่าพันธุ์เทพ!
พวกมันสังหารผู้พิทักษ์ของเก้าคฤหาสน์
โชคยังดี แบร์รี่และเสี่ยวเมียวมาถึงโลกเดิมพร้อมกันในฐานะแขก พวกเขาจึงได้บังเอิญปะทะกันซึ่งๆ หน้า
ความเข้าใจในสุราของเสี่ยวเมียวยังตราตรึงใจเขาไม่หาย
แต่วงแสงสีม่วงนี้ก็ยังปรากฏขึ้นกับพวกเขา
ตามที่เสี่ยวเมียวว่า หลังจากคนเหล่านี้ถูกสังหาร วิญญาณของพวกเขาจะไม่ตาย พวกเขาจะกลับคืนสู่สถานที่หนึ่งเพื่อเปลี่ยนร่างก่อนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ชายร่างกำยำตรงหน้าเขาคล้ายกับทรงพลังยิ่งกว่าคนเหล่านั้น เขาสามารถฟื้นคืนได้ทันทีเมื่อตาย
หากเป็นเช่นนี้…
ถ้าไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ก็จะต้องติดอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์
ทันทีที่พลังของเทพถูกใช้ เป็นไปได้สูงที่จะถูกโลกค้นพบก่อนถูกขับไล่ออกมา
แบบนี้ก็เป็นปัญหาน่ะสิ
“หัวหน้าจ้าว ท่านเอาชนะข้าไม่ได้หรอก ยอมฟังผลประโยชน์ที่พวกข้าจะมอบให้ดีกว่า จากนั้นค่อยมาตัดสินใจกัน” ชายร่างกำยำกล่าวขณะกอดอก
กู่ฉิงซานตะโกนด้วยความไม่อยากเชื่อ “ร่างอมตะอะไรกัน ข้าไม่เชื่อหรอก! เมื่อครู่ข้าแค่ไม่ได้พยายามสุดความสามารถก็เท่านั้นเอง!”
เขาตวัดมือเยือกแข็ง ประกายดาบเย็นยะเยือกทรงพลังพุ่งออกไป
ชายร่างกำยำส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “จะโจมตีแบบไหนก็เปล่าประโยชน์ ข้าจะให้ได้เห็นอีกครั้งด้วยตาของท่านเอง”
เขาไม่ขัดขืนแม้แต่นิดเดียวขณะเดินเข้าหาประกายดาบเย็นยะเยือก
นี่คือการโจมตีสุดกำลังของนักพรตระดับวงแหวนนภา แต่ชายร่างกำยำกลับไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย
เขาถูกฟันเป็นก้อนโลหิตทันที
จังหวะนี้แหละ!
ทันทีที่สีหน้าของกู่ฉิงซานสงบนิ่ง เงาดาบนับไม่ถ้วนในดวงตาก็พุ่งออกไป
ชื่อสกิล เนตรเชือดเฉือนวิญญาณ!
เพียงพริบตา หมอกโลหิตหายไปจากโลกใบนี้
เนตรเชือดเฉือนวิญญาณสามารถสร้างโลกชั่วคราวจากอากาศธาตุได้ หมอกโลหิตจะถูกส่งไปในโลกใบนั้นเพื่อเจอกับการโจมตีสุดกำลังของกู่ฉิงซาน
ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานใช้สกิลวิเศษเพื่อลดขนาดของมันทันที!
การลดขนาดให้เหลือเพียงหนึ่งนิ้วสามารถเข้าถึงสถานที่ที่ปกคลุมไปด้วยจิตวิญญาณของเขาได้โดยตรง
เพราะเป็นยอดนักพรตระดับวงแหวนนภา วิญญาณของเขาจึงปกคลุมโลกไปเกือบครึ่งส่วน
เพียงพริบตา เขาหายไป
เวลาสั่นไหว
หมอกโลหิตปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายร่างกำยำปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ อีกครา
สีหน้าของเขาประหลาดใจเล็กน้อยขณะกล่าวชื่นชม “ไม่คิดเลยว่าหัวหน้าจ้าวจะซ่อนพลังวิเศษที่เป็นวิชาเนตรหายากเช่นนี้จนถึงกับสามารถสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาได้ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถฆ่าข้าได้”
จ้าวอู๋จงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นอมตะจริงๆ ”
ชายร่างกำยำถามว่า “หัวหน้าจ้าว ท่านยังอยากจะสู้อีกหรือไม่”
จ้าวอู๋จงเงียบ
จิตของเขาเดินทางไปหลายพันไมล์ก่อนถามว่า “นายท่าน ข้าควรทำอย่างไรดี”
กู่ฉิงซานตอบว่า “ในเมื่อเขาจะถ่วงเวลา เจ้าก็ไม่ต้องทำอะไร คุยกับเขาแล้วดูว่าจะได้ข้อมูลอะไรมาหรือเปล่า”
“…นายท่าน…ข้าไม่รู้วิธีคุยกับคนแปลกหน้า”
“เป็นอะไรไป เจ้าสามารถใช้สกิลของข้าได้ แค่ใช้สกิลการแสดงของข้าก็พอ”
“เข้าใจแล้ว แล้วนายท่านล่ะ” จ้าวอู๋จงถาม
“ข้าจะไปวิหารเต๋าเพื่อสำรวจและดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยกูหง” กู่ฉิงซานกล่าว
“เข้าใจแล้ว นายท่าน”
ฉานนู่รับคำของกู่ฉิงซาน นางมองชายร่างกำยำก่อนกล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าจะได้พลังแบบเจ้ามาได้อย่างไร”
ชายร่างกำยำตกตะลึงก่อนถามอย่างยินดีว่า “หัวหน้าจ้าวตัดสินใจได้แล้วหรือ”
“ช้าก่อน ข้าแค่ถามเพราะที่เจ้าพูดมามันคลุมเครือ”
จ้าวอู๋จงดูไม่มั่นใจ
ชายร่างกำยำกล่าวอย่างมีความสุขว่า “รอสักครู่ ข้าจะถามมหาเทพที่แท้จริงให้ว่าเต็มใจจะรับท่านเป็นสาวกหรือไม่”
เขาประสานมือก่อนเริ่มพูดพึมพำ
จ้าวอู๋จงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่คิดจะโจมตีแต่อย่างใด
ผ่านไปสักพัก
ชายร่างกำยำค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น
ความจริงแล้ว ถ้าจะถ่วงเวลาก็สามารถทำแบบนี้นานเท่าไหร่ก็ได้
แต่สถานการณ์คล้ายกับต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้
คนแซ่จ้าวดูวิตกเล็กน้อย แต่ในแววตาดูมีความกระตือรือร้นและความร้อนรน
นี่ตัดสินใจจะย้ายมาจริงๆ หรือ
สถานะของจ้าวอู๋จงในโลกวิญญาณนับว่าสูงนักจนเทพที่แท้จริงเห็นค่าก่อนสั่งให้เขามาหยุดอีกฝ่าย
มันจะไม่ใช่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่หรือที่ได้คนแบบนั้นมานับถือเทพที่แท้จริง
ถ้าเป็นแบบนั้น…
ชายร่างกำยำสลัดความคิดว้าวุ่นออกไปจากหัวใจก่อนเข้าสู่สภาวะทำสมาธิอย่างแท้จริงเพื่อทำตามประสงค์ของเทพนิรันดร์
ผ่านไปสักพัก
ชายร่างกำยำยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยินดีด้วย ท่านเป็นที่โปรดปรานของเทพที่แท้จริง”
จ้าวอู๋จงถามว่า “เทพที่แท้จริงหรือ เทพก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ”
“ไม่ ท่านไม่ได้รู้อะไรเลย พวกที่ปกครองนอกสวรรค์ไม่ใช่เทพจริงๆ” ชายร่างกำยำกล่าว
“โห หมายความว่ายังไง”
“ข้าขออธิบายช้าๆ ละกัน”
“ช้าก่อน!” จ้าวอู๋จงกล่าว
“มีอะไร ท่านเกิดเสียใจในภายหลังงั้นหรือ” ชายร่างกำยำกล่าวด้วยใบหน้าหมองหม่น
“ไม่ใช่”
จ้าวอู๋จงหยิบค่ายกลออกมาวางรอบตัวพวกเขาทั้งสองคน
ด้วยค่ายกลนี้ นักพรตทุกคนที่อยู่ข้างนอกจะไม่สามารถตรวจจับสิ่งที่อยู่ภายในค่ายกลได้
แน่นอนว่าเหล่านักพรตในค่ายกลก็ไม่สามารถส่งจิตวิญญาณออกไปได้
จ้าวอู๋จงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องลับ เจ้าควรระวังเอาไว้ตลอด อย่าให้ตัวตนอื่นได้ยินเข้า”
ชายร่างกำยำรู้สึกถึงการทำงานของค่ายกลรอบข้างอยู่เงียบๆ ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หัวหน้าจ้าว ท่านก็ระวังเกินไปแล้ว”
…
อีกด้าน
ไกลออกไปหลายพันไมล์
ฝูงปลาในทะเลสาบกลายเป็นนกน้ำอย่างเงียบงันก่อนทะยานขึ้นสู่อากาศจากผิวน้ำ
ตอนนั้นเอง นกน้ำหายไป
จ้าวอู๋จงอีกคนปรากฏตัวขึ้นก่อนเหาะไปยังวิหารเต๋าอันโอ่อ่าด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี
……………………………….