ข้อความวูบไหวด้วยแสงเลือนรางขณะลอยอยู่เหนือใจกลางหน้าต่างระบบเทพสงคราม
นี่คือบทสรุปของการต่อสู้ก่อนหน้านี้
“จากการต่อสู้ครั้งนี้ ท่านได้รับพลังวิญญาณรวมทั้งสิ้นเจ็ดพันหกร้อยยี่สิบแปดแต้ม”
“ค่าพลังวิญญาณที่เหลืออยู่: หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยเจ็ดสิบแปดแต้มส่วนหกร้อย”
กู่ฉิงซานกวาดตามอง
พลังวิญญาณมากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ตอนนี้ ระบบเทพสงครามดึงพลังวิญญาณออกไปเป็นจำนวนมากทุกครั้ง ทำให้ได้รับพลังวิญญาณเพียงไม่กี่สิบแต้ม พลังวิญญาณที่ได้จากการสังหารสัตว์ประหลาดบรรพกาลก็น้อยเช่นกัน
เมื่อได้พลังวิญญาณที่มากเกินพอแล้ว กู่ฉิงซานจึงพึงพอใจ
มากกว่าหนึ่งหมื่นแต้ม สามารถเอาไปทำอะไรได้บ้าง
เขาไม่สามารถทำอย่างอื่นอีกได้ แต่ก็สามารถหาวิชาชั้นสูงจากวิชาฝึกฝนที่เซี่ยกูหงให้มาได้ จากนั้นทำการฝึกฝนสักสองสามวันก่อนพยายามทะลวงพันธนาการสุดท้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนกลายเป็นยอดฝีมือทรงอิทธิพลในระดับแสวงโลกา
กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจ
น่าเสียดายที่หลังจากกลายเป็นเทพแห่งความเย็นยะเยือก เรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้น เขาต้องจัดการพวกมันด้วยพละกำลังตัวเอง ทำให้ไม่มีเวลาฝึกฝน
ความคิดเหล่านี้ หากจะให้พูดก็คงยาว แต่ขณะกู่ฉิงซานคิดอยู่นั้น โลกภายนอกเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ
“ท่านราชาเทพ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” มนุษย์แสงถาม
“ข้ากำลังคิดว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูตัวจริงอย่างไรดี” กู่ฉิงซานถอนหายใจ
คราวนี้เขาถอนหายใจจริงๆ
ยังไงเสีย ตัวตนของวิญญาณกรีดร้องเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าใครจะรับมือได้
“ศัตรูตัวจริงหรือ ท่านหมายความถึงอะไร” มนุษย์ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
“ใช่ ผู้ปกครองโลกบรรพกาลถึงกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกแล้ว”
ขณะพูด กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงคำพูดต่างๆ อยู่ในใจ
มนุษย์แสงครุ่นคิดสักพักก่อนค่อยๆ เข้าใจว่าที่กู่ฉิงซานพูดนั้นมันหมายถึงอะไร
ดูท่าราชาเทพจะพบบางสิ่งเข้าแล้วจริงๆ
มนุษย์แสงเงยหน้าขึ้นก่อนถามว่า “นายท่าน ท่านพบอะไรตอนไปโลกบรรพกาลในครั้งนี้”
“ผู้ปกครองโลกบรรพกาลไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้พวกเราเผ่าพันธุ์เทพตกต่ำ ทั้งเผ่าพันธุ์บรรพกาลถูกควบคุมอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว
ขณะอยู่ต่อหน้ามนุษย์แสง เขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวิหารเต๋าให้ฟัง
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดเรื่องการตื่นขึ้นของกองทัพเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ เขาไม่สามารถพูดเรื่องคทาราชาแห่งความตายได้ กู่ฉิงซานเพียงอธิบายถึงกระบวนการซักถามของชายชราที่ใช้พลังของเผ่าพันธุ์เทพ
ส่วนราชาเทพ พละกำลังของเทพแห่งความเย็นยะเยือกไปถึงระดับสี่เสาศักดิ์สิทธิ์
ไม่ว่าชายชราผมขาวจะเป็นอมตะมากแค่ไหน เขาก็เป็นเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์ทรงพลังที่เตร็ดเตร่ไปทั่ว ไม่มากพอที่จะอยู่ในสายตาราชาเทพ
หลังจากฟังบทสรุปของกู่ฉิงซาน มนุษย์แสงพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่
ลั่วปิงหลีเม้มปากเช่นกันราวกับกำลังนึกถึงบางสิ่งในอดีต นางก้มศีรษะต่ำ ไม่พูดไม่จาแต่อย่างใด
สายลมโกลาหล
หุบเหวนิรันดร์
กำแพงเหล็กที่ปิดล้อมเมืองเอาไว้
เผ่าพันธุ์บรรพกาลถูกควบคุม
เทพที่แท้จริงผู้น่าสะพรึงกลัว: วิญญาณกรีดร้อง
และความจริงที่น่าทึ่ง: ดาบศักดิ์สิทธิ์และดาบพิภพเป็นเพียงองค์ประกอบของอาวุธหุบเหวนิรันดร์เท่านั้น
มนุษย์แสงมองกู่ฉิงซาน
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้ว”
“พวกเราไม่คิดเลยว่าความจริงของประวัติศาสตร์จะเป็นเช่นนี้”
เขากล่าวเสียงแห้ง
ความลับอันน่าตกตะลึงนั่นถูกฝังอยู่ในกำแพงเหล็กของเผ่าพันธุ์บรรพกาล ไม่เคยถูกพบโดยเผ่าพันธุ์เทพที่เหลือมาก่อน
ทว่า วันนี้ ความจริงของประวัติศาสตร์ถูกเปิดเผยโดยราชาเทพผู้คงอยู่ในเศษเสี้ยวคู่ขนานระหว่างมิติและเวลา
กู่ฉิงซานถามว่า “เจ้าคือผู้รวบรวมเจตจำนงของเหล่าเทพ เจตจำนงของเหล่าเทพที่ตายไปแล้วและเผ่าพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ มีหนทางที่จะสามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่”
มนุษย์แสงไม่พูด
โถงราชาเทพจมสู่ความเงียบสงัด
กู่ฉิงซานรออยู่สักพัก จากนั้นพลันยิ้มออกมา
“เอาเถอะ ก็เป็นเผ่าพันธุ์บรรพกาลนี่นะ พวกเราไม่สามารถรับมือได้ ยิ่งเทพนิรันดร์ที่แท้จริงผู้เป็นอมตะยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
เมื่อพูดจบ เขาหันหลังแล้วสาวเท้าขึ้นไปทีละขั้นก่อนนั่งบนบัลลังก์ราชาเทพ
“ท่านราชาเทพ ข้าคิดว่าท่านดูสงบมากเกินไป” มนุษย์แสงกล่าว
“มันคือความสิ้นหวังที่มิอาจขัดขืนที่มาต้อนรับพวกเราเผ่าพันธุ์เทพ ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้” กู่ฉิงซานกล่าว
สายตาของเขาจ้องมองมนุษย์แสงก่อนหันไปมองลั่วปิงหลี
นางก้มศีรษะ ยังคงจดจ่อกับการขัดเกลาแผ่นหยก ไม่แสดงอาการตื่นตระหนักแต่อย่างใด
ใช่แล้ว ในฐานะยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นางพยายามไม่มองกู่ฉิงซานเพื่อไม่ให้มนุษย์แสงเกิดความสงสัย
กู่ฉิงซานคิดชั่วครู่ก่อนย้ายสายตากลับมามองมนุษย์แสง
หากยึดตามหลักเหตุผล หลังจากรู้ความลับยิ่งใหญ่แล้ว มนุษย์แสงควรจะออกจากโลกนี้ทันทีเพื่อเปิดใช้เส้นทางหลบหนีของเผ่าพันธุ์เทพ
แต่เขากลับไม่ทำอะไร
พอมาแนวนี้ แสดงว่าเรื่องราวมันเกินกว่าที่จะใช้แค่การตระเตรียมเส้นทางหลบหนีของเผ่าพันธุ์เทพ
พวกเขาติดตั้งเส้นทางหลบหนีเอาไว้ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น
แล้วจะหาทางรับมือเทพนิรันดร์หรือ
ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
หรือก็คือ เผ่าพันธุ์เทพมาถึงสถานการณ์ร้ายแรงจนต้องใช้การตัดสินใจครั้งสุดท้าย
กู่ฉิงซานไร้อารมณ์ มือทั้งสองข้างจับบัลลังก์ราวกับจมดิ่งสู่โลกของตัวเองเพื่อคิดหาหนทางรับมือ
ความจริง เขาแค่กำลังรอ
รอดูว่ามนุษย์แสงจะทำอย่างไร
มนุษย์แสงเงียบสักพักจนอดที่จะกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “ทำไมพวกเราไม่ไปหาเทพจินเยี่ยนล่ะ เขาอาจจะช่วยได้”
“ไม่!”
กู่ฉิงซานขัดคำพูดของมนุษย์แสงทันทีก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรนว่า “เทพจินเยี่ยนสนเรื่องอนาคตของเขา ข้าไม่เชื่อว่าเข้าจะรู้ความจริง”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” มนุษย์แสงถาม
กู่ฉิงซานลดเสียงต่ำลง “คิดให้ดีๆ สิ ทันทีที่เขารู้ทุกสิ่ง เขาจะคิดถึงสิ่งใดก่อน”
มนุษย์แสงตอบว่า “ใช้ทุกสิ่งที่รู้เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาเพื่อพวกเรา”
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่ ถ้าพวกเราพาเขาที่เป็นตัวตนจากอนาคตไปด้วย จะต้องมีช่วงเวลาสำคัญที่เกิดการตัดสินใจแน่นอน”
“ยกตัวอย่างง่ายๆ หากเขาต้องเลือกระหว่างช่วยพวกเรากับฆ่ากู่ฉิงซาน ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องทิ้งพวกเราเพื่อไปฆ่ากู่ฉิงซานอย่างแน่นอน”
“เพราะกู่ฉิงซานข้องเกี่ยวกับอนาคตของเขา”
“ยิ่งกว่านั้น ในประวัติศาสตร์ที่เป็นของพวกเรา พวกเราตายกันหมด ไม่มีค่าที่จะช่วยไว้”
“เขาไม่ควรทำแบบนี้ อีกอย่าง ไม่มีความบังเอิญในประวัติศาสตร์หรอก” มนุษย์แสงกล่าว
กู่ฉิงซานกำหมัดขณะมองมนุษย์แสง “ราชาผู้นี้แบกรับโชคชะตาของทั้งเผ่าพันธุ์เทพเอาไว้ จะไม่ยอมรับความเสี่ยงใดๆ เด็ดขาด ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องคุยคือสิ่งที่เขาจะทำถ้าเกิดมันถึงตอนนั้นขึ้นมาจริงๆ ”
มนุษย์แสงไม่พูด
กู่ฉิงซานกล่าวเสริมอีกว่า “เว้นแต่เขาจะพิสูจน์ว่ามีความเมตตาต่อเผ่าพันธุ์เทพในช่วงเวลาของพวกเรา ข้าถึงจะยอมแบ่งความลับของหุบเหวนิรันดร์ให้”
มนุษย์แสงครุ่นคิดอีกสักพักก่อนกล่าวว่า “ขอให้ท่านโปรดปล่อยตัวเทพจินเยี่ยนด้วย ข้าจะพาเขาไปทดสอบเพื่อดูว่าเขาจะตัดสินใจเช่นไร”
กู่ฉิงซานนิ่ง
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
เผ่าพันธุ์เทพสามารถสร้างเศษเสี้ยวความลับบางส่วนในภาพซ้อนทับแห่งเวลาได้งั้นหรือ
แต่ตอนนี้ เขาไม่สามารถคิดอย่างอื่นอีกได้ กู่ฉิงซานจึงตะโกนอย่างไม่ใส่ใจ “มานี่”
อารักขาเทพหกตนเหาะเข้ามาในโถงหลัก
“เอาล่ะ ปล่อยตัวเทพจินเยี่ยนได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“ขอรับ”
เหล่าอารักขาเทพรับคำสั่ง
มนุษย์แสงคำนับกู่ฉิงซาน “นายท่าน ข้าจะพาเขาไปทันที ถ้าคำตอบที่ข้าได้มาเป็นอย่างที่ท่านกล่าว ข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
“ไปเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
มนุษย์แสงออกจากตำหนักราชาเทพไป
มีเพียงกู่ฉิงซานและลั่วปิงหลีที่ยังอยู่ในโถง
ตอนนี้ ลั่วปิงหลีส่งกระแสจิตไปหากู่ฉิงซาน
“เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้บอกความลับยิ่งใหญ่ขนาดนั้นกับเผ่าพันธุ์เทพ” นางถามด้วยความสงสัย
“พวกเขาได้รู้ถึงตัวตนของวิญญาณกรีดร้องแล้ว ดังนั้นจะต้องผ่อนคลายการข่มเหงเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว
เขายืดเส้นยืดสายด้วยความเหนื่อยล้า
อีกอย่าง ในกระบวนการทั้งหมดที่มุ่งสู่โลกบรรพกาล วิญญาณจะต้องแน่วแน่เป็นอย่างมาก ต้องคอยจัดการกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งคนอย่างกู่ฉิงซานก็ยังต้องใช้พลังงานที่มหาศาล
ลั่วปิงหลีครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นถามว่า “เจ้าปล่อยตัวเทพจินเยี่ยนแล้ว เขามาจากอนาคตและรู้ทุกสิ่งอย่าง นี่เจ้าวางใจจนถึงขนาดปล่อยให้มนุษย์แสงดูแลเองเลยหรือ”
กู่ฉิงซานหาวแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้วางใจ แต่ถ้าเจ้าต้องการอะไรก็ต้องเป็นฝ่ายให้ก่อน”
“ข้าไม่เข้าใจ” ลั่วปิงหลีกล่าว
“อย่าห่วงไปเลย เมื่อเทพจินเยี่ยนเลือกแล้ว พวกเขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”
“ทำไมถึงต้องกลับมาล่ะ”
“ข้าเป็นเทพองค์เดียวที่ไปสำรวจความจริงของประวัติศาสตร์มา เป็นเทพองค์เดียวที่เปลี่ยนชะตากรรมของเผ่าพันธุ์เทพได้และเป็นราชาเทพองค์เดียวที่ตื่นขึ้นจากภาพซ้อนทับแห่งเวลานับไม่ถ้วน มนุษย์แสงย่อมไม่เต็มใจที่จะทิ้งตัวตนอย่างข้าไปแน่นอน”
ลั่วปิงหลีครุ่นคิดสักพัก จากนั้นถามว่า “ถ้าข้าเป็นเทพจินเยี่ยน ข้าอาจจะไม่ช่วยเผ่าพันธุ์เทพโบราณเหล่านี้ ข้าจะทำภารกิจตัวเองให้ลุล่วงเพื่อช่วยอนาคตเอาไว้ แต่ถ้าเทพจินเยี่ยนคิดถึงเจ้าและข้า เช่นนั้นมันก็ไม่เหมือนเดิม แบบนั้นพวกเราจะทำอย่างไรหากต้องช่วยเผ่าพันธุ์เทพโบราณเหล่านี้จริงๆ ”
“ใครสนล่ะ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเอง”
กู่ฉิงซานไม่สนใจแต่อย่างใด
เขาถึงขั้นหยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วเทใส่แก้วก่อนนั่งดื่มอยู่บนบัลลังก์อย่างช้าๆ
ลั่วปิงหลีจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
นางไม่อยากถามเกี่ยวกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่นี่มันเป็นเรื่องสำคัญ จะไม่ให้ถามหรือไม่กังวลเลยก็ไม่ได้
“สุราดีนี่ ช่วงนี้เจ้าก็ทำงานหนักน่าดู สักแก้วไหม”
กู่ฉิงซานเชื้อเชิญ
“กู่ฉิงซาน นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ เทพจินเยี่ยนมาจากอนาคตเชียวนะ”
ทันทีที่ลั่วปิงหลีพูดได้ครึ่งหนึ่ง กู่ฉิงซานขัดนางทันที “แล้วไง ถ้าเขาตัดใจที่จะช่วยพวกเทพโบราณ มนุษย์แสงก็ต้องเข้าหาข้ามากขึ้นอยู่แล้ว”
ลั่วปิงหลีถามว่า “ถ้าเขาเกิดเลือกช่วยเผ่าพันธุ์เทพโบราณขึ้นมา เจ้าจะทำยังไงล่ะ”
“แบบนั้นยิ่งดี เพราะเขาพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อพวกเทพโบราณแล้ว ย่อมสามารถทำงานเพื่อเทพโบราณและเกิดความวางใจว่าราชาเทพผู้นี้จะมอบสิ่งดีๆ เพื่อเขา”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
เขาเทสุราใส่แก้วแล้วชูขึ้นกลางอากาศ กล่าวว่า
“ข้าแนะนำว่าเจ้าควรจะพักสักหน่อย ดื่มสักแก้วจะได้ช่วยผ่อนคลาย”
“ผ่อนคลาย…”
ลั่วปิงหลีพึมพำขณะรับแก้วมาโดยไม่รู้ตัว
ในแก้วสุรา ของเหลวโปร่งแสงบริสุทธิ์มีเสน่ห์ดุจอำพัน
“เทพนิรันดร์วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาคือตัวตนไร้เทียมทาน ตอนนี้เจ้ามีมาตรการรับมือหรือยัง” ลั่วปิงหลีถาม
“สำหรับตอนนี้ไม่มี ดังนั้นหลังจากนี้พวกเราต้องทำอีกหลายสิ่ง แต่ตอนนี้ต้องผ่อนคลายลงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นวิญญาณจะตึงเครียดเกินไปจนทำบางสิ่งผิดพลาดในบางครา” กู่ฉิงซานกล่าว
“ข้าคิดว่าพอดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้มันยิ่งผิดพลาดเข้าไปใหญ่น่ะสิ” ลั่วปิงหลีกล่าว
“ใช่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้พวกเราจึงดื่มแค่น้ำผลไม้วิญญาณที่ปลูกโดยเผ่าพันธุ์เทพ วัตถุดิบหลักของสุรานี้หายากมาก สามารถทำให้ผู้คนมีกำลังวังชา อีกทั้งยังมีกลิ่นพิเศษที่ยากจะลืมเลือนไปอีกนาน ดังนั้นสูตรของมันจึงไม่ตกทอดไปสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์”
กู่ฉิงซานหยิบแก้วสุราออกมา ยื่นไปที่ลั่วปิงหลีก่อนยกดื่มรวดเดียว
ขณะมองท่วงท่าของกู่ฉิงซาน ลั่วปิงหลีพลันเข้าใจบางสิ่ง
พวกเขาอยู่ในตำหนักราชาเทพ กำลังดื่มสุราที่สร้างโดยเทพ
หากไม่คำนึงถึงอนาคต ช่วงเวลานี้นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์
ลั่วปิงหลียกแก้วสุราขึ้นมาอยู่หน้าริมฝีปากก่อนจิบเข้าไป
มันช่างกลมกล่อมและละมุน รสชาติติดค้างอยู่ตรงลำคอไม่มีสิ้นสุด