กู่ฉิงซานหยิบการ์ดมรกตขณะวางบนหน้าต่างต้นเพลิง
เมื่อสายตาของเขาจับจ้องการ์ด หมอกสีดำที่ปกคลุมทั้งการ์ดค่อยๆ รวมตัวก่อนกลายเป็นชุดเกราะแผ่ไอสีดำออกมา
ตอนนี้ หน้าต่างต้นเพลิงเริ่มอธิบายการ์ด
“สวมใส่การ์ดระดับมรกต: เกราะศึกหมอกดำ…ครบชุด”
“คำอธิบาย…เกราะศึกหมอกดำเป็นต้นแบบของเกราะศึกของจ้าวมาร ถึงแม้เพิ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ แต่พลังป้องกันกลับแก่กล้ายิ่งนัก”
“เกราะนี้มีคุณลักษณะมากมาย”
“ความทนทาน: ทุกความเสียหายที่เกราะได้รับจะกระจายไปทั่วทั้งเกราะ”
“ซ่อมแซมตัวเอง: เกราะศึกจะซ่อมตัวเองทันทีหลังจากได้รับความเสียหาย ความเร็วขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณที่ท่านถ่ายเข้าไป”
“อ้อมกอดของหมอกดำ: เมื่อท่านหยุดนิ่ง หมอกดำจะซ่อนตัวท่านเอาไว้ มีเพียงศัตรูระดับสูงกว่าท่านสองขั้นเท่านั้นที่สามารถตรวจจับท่านได้”
ขณะมองคำแนะนำเหล่านี้ กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ เขาต้องการชุดที่พึ่งพาได้เช่นกัน
ครั้งที่แล้วมีใครบางคนมอบชุดเกราะให้ แต่มันตกทอดมาจากภายในตระกูลและนักพรตคนนั้นก็ถึงแก่ความตายเพราะทำแบบนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่มีหน้าจะไปใช้ชุดเกราะดังกล่าว
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็มีชุดเป็นของตัวเอง
กู่ฉิงซานหยิบการ์ดใบนี้ออกมาก่อนวางมันบนการ์ดระดับมรกต “ผู้ใช้วิชาดาบกู่ฉิงซาน”
การ์ดหายไปทันที
ในเวลาเดียวกัน ชุดเกราะที่เต็มไปด้วยหมอกดำปรากฏขึ้นจากอากาศบางในความว่างเปล่า
ถึงแม้ชุดเกราะศึกนี้จะแสดงออกถึงความชั่วร้ายที่กลืนกินทุกสิ่ง แต่รูปทรงอันงดงามของเกราะศึกก็แสดงให้เห็นถึงความสูงศักดิ์และความงามสง่าที่เป็นสิ่งคาดไม่ถึง
ทันทีที่เกราะศึกปรากฏขึ้น มันก็สลายเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วนทันทีก่อนห้อมล้อมกู่ฉิงซานเอาไว้
ทั้งชุดถูกสวมเพียงแค่อึดใจเดียว
กู่ฉิงซานสวมเกราะชุดนี้ ทั่วทั้งร่างได้ลิ้มรสความลี้ลับเล็กน้อย
เขาขยับไปมาตามใจนึกก่อนพบว่าเกราะทั้งชุดแข็งแรงและเบา ใส่พอดีกับร่างกาย ไม่ส่งผลกับการเคลื่อนไหวของเขาแม้แต่นิดเดียว
นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่า
ฉับพลันนั้นเองที่มีเสียงหนักอึ้งดังขึ้น “ท่านจะทำอะไรต่อ”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า “แน่นอนว่าข้าจะเข้าสู่สมรภูมิเพื่อสู้”
หลังพูดจบ เขาแข็งทื่อทันที
เสียงนี้
กู่ฉิงซานตบถุงเก็บของ หยิบกล่องยาวออมกาก่อนเปิดออกอย่างรวดเร็ว
ดาบพิภพ
ดาบพิภพที่มีรอยร้าวบนพื้นผิวยังถูกเก็บไว้ข้างใน
“เจ้าตื่นแล้วหรือ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
กู่ฉิงซานถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
เขาสังเกตเห็นว่าความผันแปรวิชารอบดาบพิภพหายไปสิ้น
หรือก็คือ วิชาแช่แข็งเวลาของเซี่ยเต้าหลิงล้มเหลวแล้ว
ดาบพิภพค่อยๆ พังทลายลง ตอนนี้วิชาเวลาที่ใช้ปกป้องมันก็หายไปแล้ว มันสามารถเข้าสู่การทำลายล้างอย่างรวดเร็วได้ทุกเมื่อ
ดาบพิภพกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าขยับตอนนี้เพราะอาจจะตายได้ถ้าขยับขึ้นมา”
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “อย่าห่วงไปเลย ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นคืนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เร็วแค่ไหน” ดาบพิภพถาม
“เท่าที่จะทำได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“นายท่าน…เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ” ดาบพิภพถอนหายใจยาว
กู่ฉิงซานตกตะลึงจนอดที่จะนวดหน้าผากไม่ได้
ดาบเล่มนี้กำลังจะแตกสลาย แต่มันยังมีเวลามากพอจะมาพูดจาเหลวไหลแบบนี้อีก
ดาบพิภพกล่าวต่อว่า “ที่จริง หลังจากท่านเข้าภาพซ้อนทับของยุคนี้แล้ว ข้าก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นจนเห็นสิ่งที่ท่านทำ”
“แล้วทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่พูดอะไรล่ะ” กู่ฉิงซานถาม
“ตอนนั้นการพูดเป็นเรื่องยาก ตอนนี้ข้าช่ำชองวิชาส่งเสียงแม้จะอยู่ในสภาพแตกหักก็ตาม ดังนั้นข้าจึงสามารถสื่อสารกับท่านได้อีกครั้ง” ดาบพิภพกล่าว
กู่ฉิงซานเงียบ
ฉับพลันนั้นเอง ดาบบินค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง
นั่นคือดาบบินของผู้ใช้วิชาดาบที่ตายไปในแนวหน้า มีทั้งสิ้นหกร้อยเก้าสิบเก้าเล่ม
ดาบบินทุกเล่มส่งเสียงกระซิบอันเศร้าหมองออกมา
ดาบคลื่นเสียงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าเช่นกัน
มันบินไปมารอบดาบพิภพ ส่งเสียงฮัมอย่างไม่เต็มใจเป็นครั้งคราว
กู่ฉิงซานตกตะลึง
นี่หมายความว่าอย่างไร
หรือนี่
หัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆ จมดิ่งสู่หุบเหว
“บอกข้ามา ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาพยายามถามด้วยน้ำเสียงสงบ
ดาบพิภพตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร จนกว่าท่านจะหาแฟนได้สักคน ข้าคงไม่มีปัญหาหรอก”
กู่ฉิงซานเม้มริมฝีปาก
จากเสียงของดาบพิภพ เขาได้ยินความรู้สึกที่ยากลำบาก
หลังจากดาบพิภพกล่าวไม่กี่คำ มันก็มีพลังขึ้นมาเล็กน้อย
ดวงตาของกู่ฉิงซานขยับขณะมองหน้าต่างต้นเพลิง
บัญญัติมีฟังก์ชันพื้นฐานที่สุดอยู่ นั่นก็คือการแสดงวัตถุ
ตอนนี้ บนหน้าต่างต้นเพลิง แถวข้อความสีโลหิตขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ดาบพิภพ หนัก แปดสิบหกจุดสามเจ็ดจิน ครอบครองพลังวิเศษ: สนับสนุนตัวเอง”
“ดาบเล่มนี้กำลังจะแตกสลาย วิญญาณกำลังจะถูกทำลาย”
กู่ฉิงซานรีบมองแถวข้อความตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กสองแถวนี้ก่อนถามต้นเพลิงว่า “อยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
ต้นเพลิงตอบว่า “บัญญัติในตอนนี้อยู่ในช่วงวัยเด็ก ยากที่จะตรวจจับสภาพของดาบเล่มนี้ได้ชั่วคราว โปรดจ่ายพลังวิญญาณหนึ่งพันแต้มด้วย”
“ทำการจ่าย”
“เอาล่ะ บัญญัติจะทำการตรวจให้”
“ผลการตรวจสอบออกมาแล้ว: หนึ่งวันต่อมา มันจะพังทลายอย่างสมบูรณ์”
หนึ่งวัน!
กู่ฉิงซานเพียงรู้สึกว่าโลหิตกำลังแข็งตัว
หนึ่งวันจะไปทำอะไรได้
เขาจ้องดาบพิภพด้วยความเหม่อลอย ไม่สามารถพูดอะไรได้สักพักใหญ่
ตอนนี้ ดาบพิภพคล้ายกับสังเกตเห็น จึงกล่าวว่า “กู่ฉิงซาน ท่านไม่ต้องช่วยข้าอีกแล้วก็ได้”
“ทำไมล่ะ” กู่ฉิงซานถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“เพราะถ้าท่านช่วยข้า ท่านจะต้องทิ้งหนทางของตัวเอง” ดาบพิภพตอบ
“หนทางข้าหรือ” กู่ฉิงซานไม่เข้าใจ
“ใช่ ท่านคือผู้ใช้วิชาดาบ ไม่ใช่เครื่องจักรสังหาร ถึงแม้ท่านจะเข้าสู่โลกมารเพื่อช่วยข้าและต่อสู้กับพวกมารนับไม่ถ้วน แต่เพราะการต่อสู้กับพวกมันมาเนิ่นนาน ท่านจะยิ่งเหมือนกับมารมากยิ่งขึ้น”
เสียงของดาบพิภพเต็มไปด้วยความกังวล “อีกอย่าง ท่านได้โหลดราชามารแห่งอารัมภบทอีกครั้ง เขาอยากให้ฝึกเพื่อเป็นราชามาร ไม่ใช่ผู้ใช้วิชาดาบ ดังนั้นเขาอยากจะเปลี่ยนท่านไปตลอดกาล ”
“อย่าห่วงไปเลย ข้าไม่เปลี่ยนไปหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว
ดาบพิภพกล่าวว่า “ยามผู้คนต่อสู้กับมังกรมารเป็นเวลานาน เขาจะกลายเป็นมังกรมารเสียเอง ยามผู้คนพบเจอกับมารและบัญญัติมาร เขาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมันในท้ายที่สุด”
ดาบพิภพถอนหายใจแล้วกล่าวต่อว่า “กู่ฉิงซาน ข้าหวังว่าท่านจะเป็นผู้ใช้วิชาดาบตลอดไป ไม่ใช่มาร”
“กู่ฉิงซาน ท่านไม่ต้องสู้กับมารเพื่อช่วยข้า ยิ่งกับราชามารแห่งอารัมภบทยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขอแค่ท่านรักษาหัวใจของการเป็นผู้ใช้วิชาดาบเอาไว้ได้ ในฐานะดาบของท่าน ข้าก็ไม่เสียดายที่ตายแล้ว”
กู่ฉิงซานฟังจนจบอยู่เงียบๆ
นี่อาจจะเป็นคำพูดสุดท้ายของดาบพิภพ
มันไม่อยากให้เขาเดินลุยน้ำโคลนอีกแล้ว
กู่ฉิงซานเงียบไปสักพักก่อนกล่าวเสียงอ่อนว่า
“เจ้าพักผ่อนให้ดีแล้วมาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าเมื่อหายดีแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาปิดกล่องยาวลง ผนึกมันไว้อย่างระวังแล้วเอากลับเข้าถุงเก็บของ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาหยิบแผนที่ขนาดใหญ่ออกมาแล้ววางไว้ใต้เท้าของตัวเอง
นี่ยังเป็นแผนที่ของโลกมารตอนที่เขาสู้อยู่ในโลกมารเมื่อคราวที่แล้ว
แผนที่แบบนี้มีค่ามากในโลกมารที่มากพอจะแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรราคาแพงได้
เขามองแผนที่ โลกมารหลายพันแห่งกระจายอยู่ทั่วพื้นที่
แต่ถ้ามองใกล้ๆ เขาจะพบว่าความจริงแล้ว โลกมารที่กระจายตัวเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ
สามส่วนนี้เป็นของสามราชามารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาร
ดยุคมารโลหิตนักบวชศักดิทธิ์
นักบวชศักดิทธิ์
จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง
ครั้งที่แล้วที่กู่ฉิงซานมาโลกมาร เป็นเพราะหลอมรวมกับเศษเสี้ยวโลกมารมากเกินไป ทำให้ดึงดูดความสนใจจากสามราชามาร
ยิ่งกว่านั้น ในฐานะผู้ล่าที่ค่อยๆ เข้าใกล้โลกมาร กู่ฉิงซานอาศัยความได้เปรียบเข้าไปหลอมรวมโลกมารของดยุคมารโลหิตจึงสามารถหนีออกมาได้
ยังไงเสีย เดิมทีแล้วโลกวิญญาณมารก็อยู่ภายในวังวนแห่งอิทธิพลของดยุคมารโลหิตอยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป
เขาเพิ่งมาได้แค่วันเดียวและต้องหาทางถ่วงเวลาการตายของดาบพิภพเอาไว้
ดยุคมารโลหิตสนับสนุนวิชาการโจมตีที่รุนแรง ไม่เก่งเรื่องความสามารถพิเศษ อาทิ เวลา ผนึกและชีวิต
นักบวชศักดิทธิ์ไม่เก่งเช่นกัน นางบังคับให้ทุกตนเรียกตัวเองว่า “สูงศักดิ์” หรือไม่ก็ “ศักดิ์สิทธิ์” ความจริง สิ่งที่นางครอบครองคือวิชาหว่านเสน่ห์และการเสียสละ
แม้กระทั่งมารโลหิตจากรุ่นก่อนก็หลงเสน่ห์นางตอนที่สู้กัน ทำให้เขาต้องอยู่แทบเท้าอีกฝ่าย
กู่ฉิงซานสงสัยว่าแม่มดคือศิษย์ของนางเช่นกัน
พลังของนักบวชศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถรักษาดาบได้
ดังนั้น
กู่ฉิงซานหันสายตาไปยังพื้นที่ทะเลอันไกลลิบ
ทะเลมารโกลาหล
นี่คือดินแดนที่จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งมีอิทธิพล
ราชามารผู้นี้ครอบครองวิชาลี้ลับจำนวนมากและเป็นตัวตนที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดาโลกมารหลายพันแห่ง
ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้กระทั่งนักบวชศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจยั่วยุจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งได้โดยง่าย
ตัดสินจากสถานการณ์ต่อสู้ของราชามารตนนี้เป็นเวลาหลายหมื่นปี มันไม่ได้ครอบครองวิชาวิเศษลี้ลับที่ช่วยยื้อชีวิตของดาบพิภพได้
แต่พื้นที่ทะเลแห่งนี้คือความหวังเดียวของกู่ฉิงซาน
เพราะจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งประกาศชัดเจนว่ามารที่มีความสามารถลี้ลับเท่านั้นที่สามารถเข้าทะเลมารโกลาหลได้
เวลา ชะตากรรม ชีวิต ทำลายล้างและการเปลี่ยนแปลงล้วนของเกี่ยวกับความลี้ลับ
หรือก็คือ มีเพียงทะเลมารโกลาหลเท่านั้นที่สามารถมีมารพิเศษได้ พวกมันอาจจะมีวิชาลี้ลับที่ช่วยถ่วงเวลาได้!
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เขาไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว
หากต้องการเข้าทะเลมารโกลาหลจริง เขาต้องมีความสามารถลี้ลับ
เมื่อไม่มีหน้าต่างเทพสงคราม เขาก็ไม่สามารถใช้ชื่อของ “เทพสงครามดาราอัคคี” ได้
“วิชาเทพสงคราม” และ “ฉายาเทพสงคราม” ในตอนนี้ไม่สามารถใช้ได้ มีเพียงพลังลี้ลับที่ผ่านการฝึกฝนจนช่ำชองแล้วเท่านั้นที่หลอมรวมอยู่กับตัวเองจนสามารถเอาไปใช้ต่อได้
สะเทือนฝันนับเป็นความลี้ลับหรือเปล่า
แล้วการเปลี่ยนรูปทรงล่ะ
อย่างไรเสีย หากอยู่ในสถานที่อย่างทะเลมารโกลาหล สิ่งที่ลี้ลับมากที่สุดก็ควรจะเป็น
กู่ฉิงซานมองดาบคลื่นเสียงที่ลอยอยู่ด้านข้าง
เขาบอกกับดาบคลื่นเสียงว่า “ดาบพิภพจะไม่ยอมให้ข้าช่วย เอาแต่บอกว่าข้าจะตกต่ำลงเพราะสิ่งนั้น เจ้าคิดว่าไง”
‘ฮูๆ’
ดาบคลื่นเสียงส่งเสียงกรีดร้องเศร้าสร้อยออกมา
กู่ฉิงซานพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ มันกำลังจะตาย แต่ก็ยังเอาแต่พูดจาแบบนั้น ความจริง จะมีมารที่ไหนร้ายเท่าข้า พวกมารอยู่กับข้า พวกมันต่างหากที่ต้องระวังว่าจะตายเมื่อไหร่ เจ้าคิดว่าถูกไหม”
‘ฟิ่วๆ’
ดาบคลื่นเสียงเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ จึงทำให้ด้ามจับส่องแสงก่อนส่งเสียงหวีดหวิวออกมา
“เจ้าเห็นด้วยกับข้าใช่ไหม ดีมาก” กู่ฉิงซานชี้ไปยังทะเลตรงแผนที่แล้วกล่าวว่า “นี่ทะเลมารโกลาหล เมื่อไปถึงทะเล เจ้าต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า หาสถานที่เพื่อจะช่วยดาบพิภพ เข้าใจไหม”
‘วิ้ง!’
ดาบคลื่นเสียงพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะระเบิดเสียงกรีดร้องออกมา