จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามราชามารที่ทรงพลังที่สุด เขาใช้เวลาอยู่ในทะเลมารโกลาหลมานับไม่ถ้วน
การค้นคว้าท้องทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้ของเขานับว่ากว้างขวางกว่ามารทุกตน
ด้วยคำสั่งของเขา เล็บมังกรถูกแขวนสูงบนใบเรือ
ถึงแม้เล็บนี้จะเพียงมาจากมังกรมารวัยทารกเท่านั้น แต่มันก็มีพลังยับยั้งที่ทรงพลังเช่นกัน
ในทะเลมารโกลาหล สัตว์ประหลาดทะเลจะไม่เป็นฝ่ายยั่วยุสายเลือดมังกรก่อน
เพราะสัตว์ประหลาดทุกตัวที่มีสายเลือดมังกรมารจะต้องมีความสามารถทรงพลังสุดจินตนาการ
และยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อ
สัตว์ประหลาดทุกตัวกลัวว่าพวกมันจะถูกโจมตีโดยเลือดมังกรจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับมังกร
ใช่แล้ว เลือดมังกรทั้งแปรปรวนและก้าวร้าว
ทันทีที่เลือดมังกรรุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย ชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนไปถึงแก่น
กลายเป็นมังกรมารวัยทารก ได้รับพลังลี้ลับทรงพลัง จากนั้นก็กลายเป็นจ้าวแห่งท้องทะเล
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย
มังกรจะตื่นขึ้นทุกๆ หลายแสนปีเท่านั้น
เมื่อใดก็ตามที่มันตื่น ชีวิตที่ถูกกัดกร่อนด้วยเลือดมังกรจะถูกดึงโดยพลังลี้ลับก่อนรวมตัวเข้าด้วยกัน
จากนั้นมังกรจะกินตัวอ่อนทั้งหมดเพื่อดึงแก่นของพลังโตเต็มวัยออกมา
ถ้ามันกินมากพอแล้วก็จะทำการหลับใหลต่อ
แต่ถ้าไม่มากพอล่ะก็…
พวกมารจะพากันมาล่า
สำหรับสัตว์ประหลาดทะเล การกลายเป็นสายเลือดมังกรมารเท่ากับเป็นการยอมรับความตายของตัวเอง
เว้นแต่ว่ามันจะสามารถวิวัฒนาการด้วยเลือดมังกรได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาจำกัดหลายแสนปีจนกลายเป็นตัวตนทรงพลังที่อยู่เหนือมังกรในบัดดลได้เท่านั้น
ถ้าเช่นนั้น ก็เป็นไปได้ที่มันจะจัดการมังกรที่ตื่นขึ้นก่อนดึงพลังของมังกรทั้งหมดออกมา
ผู้ชนะจะกลายเป็นมังกรตัวใหม่!
แต่เรื่องแบบนั้นแทบจะไม่เคยเกิดขึ้น
ดังนั้น สัตว์ประหลาดทะเลโบราณในทะเลมารโกลาหลจึงไม่เต็มใจที่จะสู้กับมังกรมารจนตัวตายเพื่อแลกกับพลังอันน้อยนิดเข้าไปใหญ่
พวกมันมีอายุขัยหลายสิบล้านปี
ตอนนี้ เมื่อเรือใบยักษ์ออกตัวอีกครั้ง ลมหายใจของมังกรมารปกคลุมทั่วทั้งใบเรือ
ในทะเลลึก สัตว์ประหลาดทะเลทรงพลังจำนวนมากถอยห่างจากเรือ
จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งส่งลูกน้องไปตายบางส่วนในตอนแรก แต่ก็เก็บเกี่ยวเล็บของมังกรมารมาได้ ทำให้การเดินทางราบรื่นจนผิดคาด
เขาพึงพอใจกับเรื่องนี้
สำหรับกู่ฉิงซาน นี่นับเป็นข่าวดีเช่นกัน
เมื่อไม่จำเป็นต้องทำสงคราม การเดินทางจึงยาวนานและราบรื่น ส่งผลต่อความสะดวกสบายกับเขาในหลายๆ ด้าน
ยกตัวอย่างเช่น การเข้าครัวที่เป็นทะเลสาบเพื่อฟันอาหารทะเล
ก่อนเขาจะรู้ตัว พลังวิญญาณสามหมื่นแต้มก็มาอยู่ในมือแล้ว
พลังวิญญาณสองแสนแต้มรวมเข้าด้วยกัน
ถ้าอย่างนั้น…
สองแสนหนึ่งหมื่น
สองแสนแปดหมื่น
สามแสนเจ็ดหมื่น…
สี่แสน!
ถึงแม้จี้น้ำเต้าหยกจะปรากฏขึ้นเพื่อขอพลังวิญญาณเป็นครั้งคราว แต่พลังวิญญาณที่กู่ฉิงซานได้รับการยังเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง
หกวันต่อมา
เรือยักษ์ยังล่องอยู่ในทะเลมารโกลาหล
นับจากนี้ไป ความเกียจคร้านที่กระจายไปทั่วเรือนั้นหายไปสิ้น
ขณะสวมเกราะศึก จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปรากฏตัวขึ้นและเริ่มถ่ายทอดคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า
ขณะเรือยักษ์แล่นต่อไป สีหน้าของเขายิ่งมายิ่งจริงจัง
พวกมารบางตนที่ปรับสภาพไม่ได้ชั่วคราวจะถูกส่งไปยังผนังโบสถ์
แม้กระทั่งมารยิ่งใหญ่ระดับลอร์ดก็ถูกสังหารต่อหน้าทุกตน
การแสดงออกของเขาจับใจมารทุกตน
ไม่มีใครรู้ว่าในใจของเขานั้นมีอะไรกังวลอยู่
แต่ในใจของพวกมันรู้แน่ๆ อย่างหนึ่ง
พายุที่แท้จริงกำลังจะมา
…
หลังจากกู่ฉิงซานผ่าสัตว์ประหลาดทะเลตัวสุดท้ายแล้ว เขาจึงยืนขึ้น
“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยาก ราชาวิญญาณมาร” เชฟมารกล่าว
“อา ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ข้าต้องทำแบบนี้เพื่อใช้ความสามารถ เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก” กู่ฉิงซานยิ้ม
มารอีกตนเตือนด้วยความหวังดีว่า “หลังจากท่านออกจากที่นี่แล้ว จำไว้ว่าต้องสวมเกราะให้ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่ดีนักถ้าท่านถูกพบตัวเข้า”
“อย่างนี้นี่เอง”
มีหัวข้อมากมายที่ได้คุยระหว่างทำอาหารและทำครัว หลายวันมานี้ทุกตนเข้าขากันได้ดี ความประทับใจของกู่ฉิงซานที่เป็นท่านลอร์ดทรงพลังผู้สามารถสังหารตัวอ่อนมังกรมารก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องคุยเรื่องกังวลแบบนี้บ้าง
กู่ฉิงซานกล่าวลากับสหายที่รักการทำอาหารเช่นนี้ก่อนออกจากครัวไป
เขาพลิกการ์ดมรกตของ “เกราะศึกหมอกดำ” จนมันสั่นไหวเล็กน้อย
เกราะศึกครบชุดที่มีหมอกสีดำเลือนรางปกคลุมตัวเขาขณะสวมตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกังวลอะไรอยู่ พูดง่ายๆ คือระวังไว้จะดีกว่า
กู่ฉิงซานครุ่นคิดขณะเดินไปยังโถงจัดเลี้ยง
ใกล้ถึงเวลาสำหรับมื้อเย็นของพวกมารแล้ว
ทีมเชฟหลายสิบตนเสิร์ฟอาหารอย่างรวดเร็ว เขาเข้าไปที่นั่นขณะรอการมาถึงของจ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง
ผ่านไปสักพัก
ห้องจัดเลี้ยง
พวกมารจำนวนมากมาถึงก่อนแล้ว
พวกที่สามารถเข้าโถงจัดเลี้ยงได้คือมารแข็งแกร่งที่สุดบนเรือ
เมื่อเห็นกู่ฉิงซานเดินเข้ามาพร้อมเกราะศึกหมอกดำ พวกมารจำนวนมากต่างทักทายเขา
จ้าวแห่งความเงียบพยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน
พวกมารยังเข้าขากันได้ดี ขอเพียงแค่ลึกๆ ไม่คิดจะกินกันเองก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ผ่านไปสักพัก
จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งปรากฏตัวแล้ว
เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น โต๊ะยาวเต็มไปด้วยอาหารที่มีไอกรุ่นทันที
วันนี้จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งไม่เริ่มกิน
“มีใครรู้บ้างว่าพวกเรากำลังจะมุ่งไปที่ใด”
เขาถามมารทุกตน
พวกมารเริ่มกระตือรือร้น
ดูท่าในที่สุดก็ถึงเวลาคลี่คลายความลี้ลับนี้แล้ว
เสมียนพูดขึ้นก่อนว่า
“นายท่าน ด้วยความเร็วปัจจุบัน พวกเราจะถึงเกาะมู่ซวีในอีกสามวัน”
เกาะมู่ซวี
นี่คือระยะทางไกลที่สุดที่เผ่าพันธุ์มารเคยล่องบนทะเลมารโกลาหลนับตั้งแต่บันทึกมาในหน้าประวัติศาสตร์
มีต้นไม้วิเศษยักษ์หยั่งรากลึกลงไปก้นทะเลถึงหนึ่งล้านเมตร มันเติบใหญ่ขึ้นมาจนท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นเกาะใบไม้บนผิวทะเล
รากของมันทะลวงหุบเหวทะเลลึกลงไปในระดับน้ำทะเลอันไกลลิบ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงก้นของมันได้
ไม่มีมารตนไหนสามารถข้ามสถานที่นี้เพื่อทำการสำรวจต่อได้
น้ำทะเลลึกเช่นนี้เป็นพื้นที่อันตรายสำหรับพวกมาร
เพราะสัตว์ประหลาดทะเลมักชอบกินมารเสมอ พื้นที่ทะเลเหล่านั้นที่ไม่สามารถสำรวจได้จึงถูกเรียกว่าหุบเหวทะเลที่มีเพียงสัตว์ประหลาดทะเลโบราณระดับพันล้านปีเท่านั้นอาศัยอยู่ อีกทั้งยังเป็นสรวงสวรรค์ของพวกมัน
สำหรับสัตว์ประหลาดทะเลอายุหลายร้อยล้านปี พวกมันมีพละกำลังยิ่งใหญ่ รู้ความลับมากมาย มีปัญญาระดับสูงและรู้วิธีหลีกเลี่ยงการกัดกร่อนของเลือดมังกร
ในหุบเหวทะเลมารโกลาหลไร้พรมแดน ต่อให้เรือเต็มไปด้วยเล็บมังกรมารก็ใช้ไม่ได้ผล
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนโบราณเช่นนี้ สิ่งเดียวที่พวกมารสามารถทำได้คือหลีกหนี
“ใช่แล้ว พวกเราจะถึงเกาะมู่ซวีในอีกสามวัน พวกเราจะพักที่นั่น”
“ดังนั้นนับจากวันนี้ไป พวกเราต้องค่อยๆ เข้าใกล้ทะเลที่แสนอันตราย”
“พวกเจ้าคือมารที่แข็งแกร่งที่สุดบนเรือลำนี้ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าทั้งหมดต้องตื่นตัวเข้าไว้ สร้างทีมตามรายชื่อที่กำหนด ออกเรือตรวจตราภายในรัศมีสามร้อยไมล์”
“ทันทีที่เผชิญกับสถานการณ์ใดๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือฆ่า!”
จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งกล่าว
พวกมารรู้สึกท้อใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้
พวกมารยังไม่รู้ว่าเขาจะให้ทำอะไร
เขาพูดเพียงแค่ว่าฆ่า
แต่ฆ่าอะไรล่ะ
สัตว์ประหลาดทะเลหรือ
ดูท่าเขาจะไม่ยอมบอกความจริงให้ทราบจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
รายชื่อถูกประกาศในไม่ช้า
จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่งแบ่งพวกมารทรงพลังออกเป็นสิบกลุ่ม
มารทุกตนเคลื่อนไหว
กลุ่มแรกเริ่มตรวจตราทันที
กลุ่มอื่นกลับห้องรับรองของตัวเองเพื่อพักฟื้นและรอให้ถึงเวลาของตัวเอง
กู่ฉิงซานถูกจัดให้อยู่กลุ่มสุดท้าย
พรุ่งนี้เช้า กลุ่มสุดท้ายจะต้องตรวจตรา
เขากลับห้องและรออยู่เงียบๆ
เวลาผ่านไปอย่างสงบ
กู่ฉิงซานวางแผ่นหยกวิชาดาบในมือลงก่อนถอนหายใจ
ตอนนี้เขาสามารถควบคุมดาบบินเจ็ดร้อยเล่มได้ ในเวลาเดียวกันก็สามารถสร้างการโจมตีด้วยดาบลับได้
แต่เป็นเรื่องยากนักที่จะรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ดาบเดียว
ส่วนรากฐานการฝึกฝน
ดวงตาของเขาจับจ้องหน้าต่างต้นเพลิง
ช่องพลังวิญญาณมีพลังวิญญาณเพียงสองแสนแต้ม แต่มันกำลังเอ่อล้นขึ้นมาจนกระทั่งไปถึงห้าสิบล้านแต้ม
น่าเสียดายที่หากไม่ทำภารกิจพัฒนารากฐานการฝึกฝนตอนนี้ให้เสร็จ เขาก็จะไม่สามารถอัปเกรดบัญญัติราชามารโดยไม่ใช้พลังวิญญาณได้
ภัยพิบัติจากลมและไฟ
นี่คือครั้งแรกที่กู่ฉิงซานต้องเผชิญกับภัยพิบัติไฟในช่วงชีวิตอดีตและและปัจจุบัน
เขาระแวดระวังยิ่ง เตรียมการต่างๆ มากมายเพื่อเพิ่มสถานะตัวเองจนถึงจุดสูงสุด
แต่ตอนนี้มีบางสิ่งที่น่าละอายยิ่งกว่าอยู่
เขาไม่สามารถเริ่มการพัฒนาได้
เพราะนี่คือทะเลมารโกลาหล
ทันทีที่มีสายลมพัดโดนยอดหญ้า ย่อมต้องถูกพวกมารค้นพบในทันทีแน่นอน
นี่คือการพัฒนาของนักพรตมนุษย์เชียวนะ!
นักพรตมนุษย์กล้ามาโลกมารดึกดำบรรพ์เพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติต่อหน้าราชามารทั้งที่อยู่ในพื้นที่ของราชามารตนนั้น ต้องเป็นวิญญาณแบบไหนกันถึงกล้าทำแบบนี้
นี่เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ