หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.381 – ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก
หลังจากที่กู่ฉิงซานได้จากไป
วิลล่าบนหุบเขาก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
“นายคิดว่ายังไง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามขึ้นทันใด
“บอกไม่ถูกเหมือนกัน” เย่เฟย์หยูตอบ
เขาสองแขนยกขึ้นกอดอก สองตาเฝ้าสำรวจกู่ฉิงซานที่กำลังนั่งอยู่ในท่วงท่าสมาธิ
“แต่ที่แน่ๆ หากไม่นับเขา ก็คงเป็นฉันนี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุดในโล-”
ซางหยิงฮ่าวขัดจังหวะอีกฝ่าย “ถ้าไม่นับกู่ฉิงซาน ก็คงเป็นฉันนี่แหละที่แกร่งที่สุด”
ซางหยิงฮ่าวกล่าวต่อ “บอกตรงๆฉันรู้สึกอิจฉาเจ้าหมอนี่อยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ในฐานะนักฆ่า ฉันยังไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยว่าเวลาตายมันจะรู้สึกยังไง”
เย่เฟย์หยูเงียบไปครู่หนึ่ง และทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา “ถ้าความแข็งแกร่งฉันมากพอ ตัวฉันเองก็คงจะได้ตามเขาเข้าไปสำรวจปรภพแล้ว”
“ใช่ เรื่องนี้นับว่าน่าสนใจมากๆทีเดียว ความจริงแล้วพวกเราทั้งสามคนควรที่จะไปด้วยกัน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
เย่เฟย์หยูมองดูเขาและกล่าว “ถ้านายต้องการที่จะต่อสู้เคียงบ่าเครียงไหล่กับกู่ฉิงซาน นายจะต้องเพิ่มพูนพื้นฐานวรยุทธให้มันเร็วกว่านี้ ใช่ไหมเจ้าปราณปรับแต่งขั้น 7”
“แกก็ด้วยแหละ เจ้าขั้นก่อตั้งเอ๊ย”
“ยังไงซะ ขั้นก่อตั้งก็ยังดีกว่า หากเทียบกับนาย”
“แต่ขั้นก่อตั้ง ก็กระจอกยิ่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ดี”
“ก็ยังดีกว่านาย”
“ได้ ได้เลย ไม่จบใช่ไหมเจ้าผีดิบนักฆ่า?”
……
กู่ฉิงซานออกจากโลก และก้าวเข้าสู่มิติอันเชี่ยวกราดอีกครั้ง
ทว่าการมาคราวนี้ เขาไม่ได้หันไปมองรอบๆด้วยความสับสนอีกต่อไป แต่กลับยืนนิ่งๆ และพยายามสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานจางๆค่อยๆปรากฏออกมาจากทุกทิศทาง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครมขึ้นทันใด
พลังงานนี้ ค่อยๆห่อหุ้มกายเขาอย่างช้าๆ และฉุดดึงเขาไปตามทิศทางของมิติที่ว่างเปล่า
กู่ฉิงซานยืนนิ่ง ไม่ได้ขยับตัวใดๆ
ในสายตาของเขา จู่ๆก็ปรากฏหลายบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ค้นพบว่าผู้เล่นได้กระตุ้นเนื้อเรื่องของโลกที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”
“ค้นพบว่าพื้นฐานวรยุทธของผู้เล่นอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย”
“สถานะปัจจุบันสอดคล้องกับเงื่อนไขการเริ่มต้นภารกิจ”
“เริ่มต้นภารกิจ : ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก”
หลังจากที่กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน เส้นแสงระยับเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แล้วกระแสแสงใหม่ก็ไหลข้ามเข้าผ่านเข้าในหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทว่าคราวนี้ ตัวอักษรใหม่ที่ปรากฏขึ้นกลับมีสีเลือด!
“คุณได้ทำลายห่วงโซ่แห่งโชคชะตาและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ผู้เล่นกู่ฉิงซานได้เข้าสู่ ภารกิจแห่งโชคชะตา”
“คำอธิบายภารกิจ : เมื่อโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการล่มสลายเกินกว่าจะแก้ไขได้ แต่แล้วคุณกลับสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปสู่ปรภพได้ เพื่อทำการค้นหาสาเหตุของภัยพิบัติ – ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์อันหาได้ยากยิ่ง และหากสำเร็จ มันจะช่วยให้ชะตากรรมของโลกทั้งใบหักเหไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้”
“วัตถุประสงค์ภารกิจ : โปรดทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือปรภพและโลกมนุษย์”
“หลังจากที่ภารกิจลุล่วง คุณจะได้รับรางวัลสำหรับเนื้อเรื่องพิเศษนี้ : พลังเทวะของเทพสงคราม (จากขอบเขตประทับเทพ)”
“หากภารกิจล้มเหลว ผู้เล่นจะถูกส่งตัวออกไปทันที และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป จะไม่สามารถกลับมาที่โลกจริงได้อีกเลย”
กู่ฉิงซานที่กำลังยืนอยู่หน้ารอยแยกมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด ได้กวาดสายตาอ่านหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยถามว่า
“ไอ้ที่บอกว่าฉันจะถูกส่งตัวออกไปนี่คือยังไง? ไม่สามารถกลับไปยังโลกจริงได้อีกแล้วเลยอย่างงั้นหรอ?”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบ
“ใช่ หากภารกิจล้มเหลว ทางเดียวที่คุณจะรอดชีวิตคือ หนีไปยังมิติและห้วงเวลาที่ต่างออกไป ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างโลกเทวะและโลกอื่นๆ”
กู่ฉิงซานเงียบ ไม่ได้กล่าวอะไรกลับไป
ถ้าล้มเหลวฉันจะไม่มีวันได้กลับมาอีก?
งั้นก็หมายความว่าฉันจะไม่ได้พบเจอกับเหล่าคนคุ้นเคยกันอีกแล้วน่ะสิ …
เขาถอนหายใจและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ฉันจะไม่ยอมล้มเหลวแน่นอน”
ระบบเทพสงครามกล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ ร้องขอให้ผู้เล่นโปรดทราบว่า นับจากนี้ไป ผู้เล่นจะสามารถข่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการเปิด ‘ฟังก์ชั่นตรวจสอบ’ ได้เป็นการชั่วคราว”
“ฟังก์ชั่นตรวจสอบ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดแห่งนี้ มีมอนสเตอร์และอสูรกายมากมายที่คุณไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับมัน และการใช้ฟังก์ชั่นตรวจสอบจะช่วยให้คุณรับรู้ถึงสถานการณ์และพลิกแพลงการกระทำของคุณได้” ระบบกล่าว
“แต่ฟังก์ชั่นนี้จะถูกยกเลิกหลังจากที่ผู้เล่นสามารถเข้าสู่ปรภพได้แล้ว”
“นี่มันฟังดูดีนี่นา ตกลง ฉันยอมจ่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ” กู่ฉิงซานกล่าว
“จริงสิ แล้วนอกเหนือไปจากฟังก์ชั่นตรวจสอบแล้ว ระบบสามารถกำจัดมอนสเตอร์ให้ฉันได้รึเปล่า?” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
“การเอาชนะศัตรู ผู้เล่นจะต้องพยายามด้วยตัวเอง ระบบไม่สามารถทำแทนได้”
“นอกจากนี้ โปรดให้ความใส่ใจกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวคุณเองด้วย อย่าได้คิดเอ่ยถามถึงเรื่องนี้อีก มันดูไม่ดี” ระบบกล่าว
“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความเสียดาย
ว่าจบ เขาก็เริ่มเคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่มีพลังงานอันแสนคลุมเครือคอยฉุดดึงเขา
และเมื่อเวลายิ่งผ่านไป แรงฉุดดึงก็ค่อยๆทวีน้ำหนักมากขึ้น มันจึงง่ายต่อการแยกแยะทิศทาง
ท่ามกลางความว่างเปล่า กระแสลมเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง บังเกิดเป็นเส้นทางที่นำพาเขาไปยังทิศทางเบื้องล่าง
กู่ฉิงซานบัดนี้อยู่ในสภาพขนานกับพื้น แลคล้ายกำลังเดินย่ำลงมาจากกำแพงตึกสูง มุ่งหน้าลงไปในส่วนลึกของมิติที่ว่างเปล่า
และกระบวนการนี้ก็เป็นไปอย่างยาวนาน
ยิ่งลึกลง กระแสลมในมิติที่ว่างเปล่าก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ดิ่งลงไป
ดิ่งลึกลงไปอย่างต่อเนื่อง
และก็ราวกับรับรู้ถึงการมาถึงของเขา กระแสลมอันรุนแรงได้โถมเข้ามาหนุนเสริม
ส่งผลให้อัตราเร็วในการดิ่งลงของเขาเร็วขึ้น เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับกำลังวิ่งมาราธอนเต็มฝีเท้าลงสู่เหวลึก
ตลอดเส้นทาง มีการดำรงอยู่ของมอนสเตอร์แปลกตามากมายผ่านเข้ามา
แต่ความเร็วของกู่ฉิงซานมันไวเกินไป ดังนั้นทุกอย่างที่กล่าวถึงจึงไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดเขา
กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ
แล้วดาบพิภพกับเช่าหยินก็ปรากฏออกมาจากในความว่างเปล่า เวียนวนรอบกายเขา
เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น กู่ฉิงซานก็จะเตรียมตั้งท่าป้องกันก่อนเป็นอันดับแรก
เขาจะต้องระมัดระวังตัวให้มาก
เพราะการใช้ร่างจิตเดินทางไปยังปรภพ มันเป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยกระทำมาก่อน
หลังจากที่ทิ้งดิ่งลงมายาวนานกว่า 2 ชั่วโมง ในที่สุดความเร็วของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆชะลอตัวลงอย่างช้าๆ
เส้นทางเบื้องล่าง ปรากฏให้เห็นถึงถ้ำอันมืดมิดที่ทอดยาวกว้างออกไปกว่าหลายกิโลเมตร
กู่ฉิงซานวนอยู่เหนือปากถ้ำอย่างเงียบๆ
ตัวเขาในร่างจิตที่ย่ำขนานอยู่บนเส้นทางมิติ นับว่าเล็กจ้อยนักหากเทียบเปรียบกันกับขนาดถ้ำแห่งนี้
รอบๆถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยกระแสน้ำสีเทา แม้คุณจะอยู่ในระยะไกลออกไป แต่ก็ยังสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
ขณะบางส่วนของถ้ำเหล่านี้เต็มไปด้วยควันสีดำ และบางทีก็มีเสียงคำรามและเสียงหอนนับไม่ถ้วนดังลอดออกมา
ขณะเดียวกันบางส่วนของถ้ำเหล่านั้น มีบ้างที่จะปรากฏเป็นเมฆแสงหลากสี และมีท่วงทำนองเพลงอันไพเราะขับขานมาตามสายลม
กู่ฉิงซานไม่คิดเคลื่อนกายใดๆ มิได้ความสนใจหรืออยากรู้อยากเห็นที่จะไปสำรวจพวกมัน
เพราะเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาจะต้องระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้
ร่างใหญ่เองก็ได้เตือนเขาเอาไว้เช่นกันว่า ‘หากเข้าไปผิดถ้ำ ตัวเองจะไม่สามารถกลับออกมาได้อีกเลย’
กู่ฉิงซานเค้นสมองอยู่นาน และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกว่าจะลงไปตามถ้ำที่มีแรงฉุดดึงเขา
ทว่าแม้จะตัดสินใจแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่คิดขยับเคลื่อนไหว
สายตาของเขาก้มลงมองขอบปากถ้ำ
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใด อยู่ๆก็มีมือโผล่ออกมา
มือนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่ง ใหญ่ชนิดที่ว่ากระทั่งตัวของกู่ฉิงซานยังเล็กกว่าเล็บมือของมันด้วยซ้ำ
หลังจากที่มือนั้นปรากฏขึ้นได้ไม่นาน อีกมือหนึ่งของมันก็ปรากฏขึ้นตามมา
สองมือที่ว่าเอื้อมออกมาจากถ้ำ มันคว้าจับขอบปากถ้ำแต่ละฝั่งเอาไว้ ใช้เป็นที่ยึดจับเพื่อออกแรงดันส่วนอื่นๆของตนเองออกมา
ในเวลานั้นเอง เส้นแสงตัวอักษรบรรทัดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ค้นพบรามสูรไร้พักตร์ มารอสูรปฐมบทแห่งความโกลาหล ความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธก่อกำเนิดขั้นปลาย”
ระหว่างอธิบาย หัวของมันที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกก็ผุดออกมาจากถ้ำมืด
รูปลักษณ์นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นมารอสูร ปฐมบทแห่งความโกลาหลจริงๆ
มันคือรามสูรไร้พักตร์!
กู่ฉิงซานประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะที่นี่คือปากทางเข้าปรภพ แล้วมันจะไปมีรามสูรไร้พักตร์อยู่ได้อย่างไร!?
แถมดูจากลักษณะของมารตนนี้ บ่งบอกชัดเจนว่ามันมิได้ออกมาในฐานะร่างจิต – นั่นแสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้มันได้เข้าสู่ตัวปรภพด้วยร่างเนื้อจริงๆ!
ปรภพสามารถเข้าไปได้เฉพาะจิตวิญญาณเท่านั้นมิใช่หรือ .. แล้วตัวมันสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร?
ในขณะนั้นเอง รามสูรก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นถึงตัวตนของเขาแล้วเช่นกัน มันระเบิดเสียงคำรามขึ้นทันใด
แต่กู่ฉิงซานกลับเพียงนึกคิดในจิตใจ
วูบบบ!
ดาบเช่าหยินบินฉวัดเฉวียนออกไปต้อนรับรามสูรไร้พักตร์ พร้อมกับเปล่งประกายรังสีดาบสีนวลขาวดั่งแสงจันทร์
ดาบสีจันทร์วาดผ่าน ม้วนเป็นวงรอบคอของรามสูร
และศีรษะของรามสูรก็หลุดจากบ่า ร่วงหล่นหายกลับลงไปในถ้ำอันมืดมิดทันที
ตามด้วยร่างกายทั้งหมดของมันที่ร่วงตามลง
ทว่าแม้จะสังหารศัตรูลงได้ แต่บนใบหน้าของกู่ฉิงซานกลับไม่แสดงออกถึงความสุขใดๆเลย
ผิดปกติ .. มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เขาจ้องมองเข้าไปในถ้ำอันมืดมิด
ภายในถ้ำ เต็มไปด้วยแสงและเงากระเพื่อมไปมาอย่างช้าๆ กระแสอากาศภายในไม่แน่ไม่นอน รวมไปถึงกลิ่นอายอันสับสนวุ่นวายและเสียงโวยวายที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าภายในถ้ำอันมืดมิดที่เป็นเส้นทางเข้าสู่ดินแดนของปรภพ จะถูกยืดครองไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่าง ..