ตอนที่ 17 ความไม่รู้คือความสุข
เมื่อหวังจินหยางพูดจบ พวกเขาก็มาถึงร้านกาแฟพอดี
อู๋จื้อเห่าเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่บาร์ ไม่มีใครแย่งเขาจ่ายเงิน เพราะโรงเรียนจะคืนเงินให้
ในขณะเดียวกันคนอื่นๆก็ไปหาที่เงียบๆนั่งแล้วฟังหวังจินหยางเล่าต่อ
“เรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธยังเป็นเรื่องไกลตัวพวกนาย สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการสอบวิชายุทธ คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์”
“สอบวิชายุทธมักถูกเปรียบเทียบกับการฝ่า 5 ด่าน สังหาร 6 แม่ทัพ ความจริงมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด”
“ในบรรดาห้าขั้นตอน ตรวจสอบปูมหลังการเมืองไม่ต้องพูดถึง ส่วนวัฒนธรรมศึกษากับทั่วไปศึกษาขึ้นอยู่กับความขยันของนาย”
“ของจริงอยู่ที่ขั้นตอนประเมิณร่างกายกับสอบปฏิบัติ!”
อู๋จื้อเห่าพูดขึ้นมาทันทีที่กลับมานั่ง “พี่หวังพูดถูก ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่จะถูกตัดสิทธิ์สองขั้นตอนนี้”
หวังจินหยางหัวเราะแล้วกล่าว “พวกนายมีค่าปราณและเลือดเกิน 110 แคล พวกนายไม่มีปัญหากับขีดจำกัดต่ำสุดของการประเมิณร่างกายหรอก ความยากอยู่ที่ว่าจะผ่านข้อกำหนดต่ำสุดของการรับเข้าไหม”
“พูดตามตรง ค่าปราณและเลือดของพวกนายไม่ได้ต่างกันนัก”
“การเตรียมยาดีๆอย่างยาเสริมกำลังก่อนการสอบเปลี่ยนชะตากรรมของคนจำนวนมาก”
“แน่นอน ถ้านายคิดว่าเม็ดยาเสริมกำลังมันไม่พอ ฉันจะสอนเคล็ดลับดีๆให้…”
แม้สำหรับหวังจินหยางแล้ว มันจะเป็นเคล็ดลับเล็กๆ แต่สำหรับคนอื่นๆ คำแนะนำเล็กน้อยของผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ว่าแท้จริงแล้วมันจะเป็นแค่เคล็ดลับเล็กๆก็ตาม
ทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้น ไม่มีใครกล้าพูดขัดอะไรทั้งนั้น พวกเขาต่างก็โน้มตัวเข้ามาฟัง
“การปะทุของค่าปราณและเลือดไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าปราณและเลือดอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับภาวะเช่นกัน”
“ภาวะทางร่างกาย ภาวะทางจิตใจ ภาวะทางอารมณ์”
“ก่อนประเมิณร่างกาย ให้เริ่มจากการออกกำลังกายอุ่นเครื่อง แต่อย่าให้ร่างกายหักโหม ทำให้จิตใจอยู่ในสภาพสมบูรณ์ อย่าคิดที่จะฝึกเพิ่มตอนวันสุดท้าย”
“ส่วนด้านอารมณ์ ให้ฝึกควบคุมอารมณ์ให้ได้อย่างสมบูรณ์ การทำให้อารมณ์พุ่งสูดสุดเป็นเรื่องยากมาก”
“ความสุข ความเศร้า ความโกรธ เมื่อเราทำให้ภาวะอารมณ์พุ่งขึ้นสูงสุดได้ ปราณและเลือดของเราก็จะปะทุขึ้น ดังนั้นค่าปราณและเลือดของเราจะสูงกว่าปกติ”
“แต่ฉันคิดว่านายผ่านชีวิตมาไม่พอที่จะปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเต็มที่!”
“ปลดปล่อยอารมณ์?”
ทุกคนเข้าสู่ภวังค์ หวังจินหยางหัวเราะขึ้นมาทันที “อันที่จริง ฉันมีวิธีช่วยนายปลดปล่อยภาวะอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดออกมา!”
ทุกคนดูยินดี อย่างไรก็ตามฟางผิงชำเลืองมองเขาด้วยความสงสัย ฟางผิงไม่สนใจนัก เพราะเขารู้ว่าตนเองเพิ่มค่าปราณและเลือดได้เร็วมาก
เมื่อหวังจินหยางพูดจบ ฟางผิงก็คิดว่าหวังจินหยางดูทะเล้นเหมือนกับตอนด่ารุ่นพี่หลี่หยวนเจียงเมื่อกี้เลย ฟางผิงไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องดี
เป็นไปตามคาด หวังจินหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อารมณ์บางอย่างก็ควบคุมได้ยาก ยกเว้นอย่างนึงคือความโกรธ”
“ตอนนี้ ถ้าฉันเหยียบหน้านาย ถ่มน้ำลายใส่สักสองสามที จากนั้นช่วงประเมิณร่างกาย นายก็นึกถึงตอนที่โดนเหยียดหยามนี้…”
“แค่กๆ!” อู๋จื้อเห่าเกือบสำลักตาย รุ่นพี่ในตำนานของพวกเขาเหมือนจะน่าเชื่อถือน้อยลงเรื่อยๆ
“ฮ่าๆๆ!” หวังจินหยางหัวเราะ จากนั้นเขาก็กล่าว “ฉันแค่พูดเล่น! แต่นายจะลองก็ได้นะ”
“ถ้าจะทำให้ตัวเองมีความสุขสุดขีดหรือเศร้าสุดขีด ยากมาก ความโกรธทำได้ง่ายที่สุด มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่นายจะเพิ่มค่าปราณและเลือดได้สัก 1-2 แคลเมื่อระเบิดความโกรธออกมา”
คำพูดนี้ถูกสลักลงในใจอู๋จื้อเห่าและพวก
ตราบใดที่พวกเขาเพิ่มค่าปราณและเลือดได้ 1-2 แคล บางที…ถูกเหยียบหน้าสักทีก็ไม่เลวใช่ไหม?
เมื่อเห็นความกระรือรือร้นของพวกเขา ฟางผิงก็สั่นเทา พวกเขาคงไม่ทำให้ตัวเองถูกเหยียดหยามจริงหรอกใช่ไหม?
ต่อให้ไม่พูด ฟางผิงก็มั่นใจเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าพวกเขาจะทำ!
เพื่อให้สอบวิชาต่อสู้ผ่าน ถูกเหยียดหยามเล็กน้อยจะเป็นไรไป?
ไม่ว่าพวกเขาจะทำจริงหรือไม่ หวังจินหยางก็พูดต่อ “หลังประเมิณร่างกาย สอบปฏิบัติก็ไม่ยากเกินไปนัก”
“มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการทดสอบการระเบิดพลัง ความอดทนและความยืดหยุ่นของร่างกาย”
“ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับปราณและเลือดอย่างมาก ยิ่งค่าปราณและเลือดของนายสูงเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะสอบผ่านก็สูงเท่านั้น”
“แน่นอน มีพวกขยะที่เติบโตขึ้นเพราะยาเช่นกัน พวกเขามีดีอย่างเดียวคือค่าปราณและเลือด ส่วนที่เหลือห่วยแตก พวกเขาถูกคัดออกแน่นอน”
“ถ้าแม้แต่ไก่ก็ฆ่าไม่ได้ นายจะคิดเรื่องฆ่าคนได้เหรอ?”
“การฆ่าคนยากกว่าฆ่าไก่มากนัก…”
“ฆ่าคน?”
ฟางผิงชะงักไปชั่วครู่ ตอนที่หวังจินหยางพูดถึงเรื่องฆ่าคน เขาดูไม่สะทกสะท้านราวกับเคยฆ่าคนมาก่อน
ในยุคใหม่แบบนี้ ฟางผิงมั่นใจว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธก็ถูกจำกัดโดยกฏหมาย มันไม่ควรมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น…ใช่มั้ย?
ยิ่งกว่านั้น หวังจินหยางยังเป็นแค่เด็กใหม่…
ราวกับว่าเขารับรู้ถึงสายตาของฟางผิง หวังจินหยางจึงยิ้มน้อยๆ “เมื่อเวลาผ่านไป นายจะเข้าใจเอง”
“แน่นอน ขั้นแรกนายต้องสอบวิชายุทธให้ผ่านแล้วกลายเป็นผู้ฝึกยุทธก่อน”
“ทุกคนใฝ่หาวิชายุทธ ต้องการเป็นผู้ฝึกยุทธ แต่มีคนธรรมดาที่เข้าใจความหมายของการเป็นผู้ฝึกยุทธเท่าไหร่เชียว?”
“ช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีคนไม่พอใจผู้ฝึกยุทธมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมผู้ฝึกยุทธถึงได้รับความสนใจมากกว่า?”
“ผู้ฝึกยุทธเปิดบริษัทของตนเองได้ จ่ายภาษีน้อยลงหรือไม่ต้องจ่ายเลยก็มี”
“ผู้ฝึกยุทธถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ แม้ว่าคนธรรมดาจะยุ่งกับกิจการของรัฐได้ แต่มันเล็กน้อยมาก”
“ผู้ฝึกยุทธได้รับสิทธิพิเศษมากมาย พวกเขาได้สิทธิพิเศษจนทุกคนเริ่มไม่พอใจ”
“แต่แล้วไง?!”
“ปลูกอะไรไว้ก็ได้แบบนั้น ถ้านั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไร นายก็จะไม่ได้อะไร”
“ขณะที่พวกเขายุ่งอยู่กับความไม่พอใจและคิดว่ามันไม่ยุติธรรม แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกยุทธรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน!”
จู่ๆหวังจินหยางก็หยุดพูด เขากลับมายิ้มอีกครั้ง “ฉันพูดมากไป กลับมาเมืองหยางเฉิงคราวนี้ทำให้ฉันทะเทือนอารมณ์มากจริงๆ”
อู๋จื้อเห่าและคนอื่นๆไม่คิดมากนัก ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เห็นด้วยว่าผู้ฝึกยุทธสมควรได้รับสิทธิพิเศษแล้ว
อย่างไรก็ตามฟางผิงเก็บคำพูดของหวังจินหยางมาคิด ฟางผิงเคยสงสัยมาก่อน พวกเขาบอกว่าผู้ฝึกยุทธครอบครองความแกร่งกล้าของคนธรรมดาร้อยคน อย่างไรก็ตามมีคนธรรมดาอยู่มากมาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องงมงายยุทธมากไปใช่ไหม?
ในยุคอาวุธร้อน ถ้าคนธรรมดาคนเดียวไม่พอ แล้วถ้าคนธรรมดาร้อยคนหรือคนธรรมดาพันคนถือปืนอยู่ในมือล่ะ? ปรมาจารย์จะหลบเลี่ยงการโจมตีได้เหรอ?
พอเขาได้ยินเรื่องที่หวังจินหยางพูด เขาก็รู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น
น่าเสียดายที่หวังจินหยางไม่พูดเรื่องนี้ต่อ ฟางผิงคิดว่ามันคงไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องนี้ต่อเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าหลังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง เขาคงรู้เอง
ขณะที่ทุกคนคุยกัน โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อหวังจินหยางก็ดังขึ้น
เขารับสายโดยไม่ได้หลีกเลี่ยงทุกคน เขาตอบกลับไปง่ายๆแล้วพูดไปว่า “ฉันจะไปโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งตอนบ่าย ไว้เจอกันตอนเย็น”
หวังจินหยางวางสาย จากนั้นเขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร
ไม่มีใครคิดมากเช่นกัน หลังพูดคุยกันต่อสักครู่ ทุกคนก็ออกจากร้านกาแฟ
ตอนแรกโรงเรียนจัดให้พวกเขาพาหวังจินหยางไปทานมื้อเที่ยง อย่างไรก็ตามหวังจินหยางเป็นคนเมืองหยางเฉิงเช่นกัน เขาจึงตัดสินใจกลับบ้านในเมืองหยางเฉิงก่อน
ฟางผิงและคนอื่นๆรู้สึกว่ามันคงไม่เหมาะสมที่จะติดสอยห้อยตามไปตลอด เมื่อพวกเขานัดกับเขาตอนบ่าย งานของพวกเขาก็สำเร็จลุล่วง
…..
เมื่อหวังจินหยางเดินจากไป อู๋จื้อเห่าก็ยิ้มแก้มปริ เขาอุทานด้วยความยินดี “ฉันได้ความรู้มากมาย!”
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาได้รู้เรื่องเคล็ดลับการปรับอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้มาก่อน
หวังจินหยางสอนเคล็ดลับใช้สอบปฏิบัติด้วย อู๋จื้อเห่าที่หวังสอบผ่านวิชายุทธมาตลอด ตอนนี้เริ่มมีความมั่นใจขึ้นแล้ว
แม้แต่หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีก็รู้สึกได้ประโยชน์มากมาย พวกเขาจะพยายามเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงให้จงได้
ในทางกลับกัน หวังจินหยางเปิดเผยข่าวสำคัญเช่นกัน ผู้สำเร็จราชการจางแห่งหนานเจียงกำลังพยายามทะลวงเป็นปรมาจารย์ขั้นเจ็ด
เหตุผลที่เปิดเผยเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเชียร์ให้พวกเขาสมัครเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงปีนี้
ผู้สำเร็จราชการจางจบการศึกษามาจามหาลัยวิชายุทธหนานเจียง สถาบันเดียวที่สอนเฉพาะวิชายุทธในมณฑลหนานเจียง แม้ว่าหนานเจียงจะมีอีกสองสถาบันที่เก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋นที่โด่งดังเกือบเท่ากับมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงก็ตาม
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาว่าผู้สำเร็จราชการจางจบการศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง ถ้าเขาทะลวงเป็นปรมมาจารย์ได้สำเร็จ เขาจะช่วยให้หนานเจียงได้รับทรัพยากรวิชายุทธมากขึ้นแน่นอน
ถ้าเป็นแบบนั้น มหาลัยวิชายุทธก็จะได้รับทรัพยากรมากขึ้น
หวังจินหยางมั่นใจเรื่องนี้
ดังนั้น ทุกคนจึงตั้งเป้าไว้ที่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
หลังหวังจินหยางเดินปลีกตัวไป ทั้งกลุ่มก็วางแผนมารับหวังจินหยางกันตอนบ่ายก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน
…..
ในเวลาเดียวกัน
หวังจินหยางกำลังจะกลับบ้าน แต่แล้วโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
หวังจินหยางรีบควักโทรศัพท์ออกมาแล้วมองหน้าจอผ่านๆ เขาขมวดคิ้วรับสาย “ฉันบอกแล้วไงเจอกันตอนเย็น นายต้องการอะไรอีก?”
มีเสียงชายกลางคนดังมาจากปลายสาย เขากล่าวอย่างสุภาพ “คุณหวัง ผมขอโทษที่รบกวน แต่เราพึ่งได้ข่าวมาว่าผู้ต้องสงสัยได้แทรกซึมเข้าไปในภูเขาชางซานแล้ว ภูเขาชางซานอยู่ระหว่างสองมณฑล ถ้าผู้ต้องสงสัยหลบหนีไป…”
หวังจินหยางขมวดคิ้วหนัก เขาตะคอกเสียงดัง “เราคุยกันแล้วไง เราจะปล่อยให้เป้าหมายอยู่ที่เดิมและจะลงมือตอนฉันไปถึง”
“ตอนนี้มันหนีไปแล้ว นายเป็นคนทำให้มันตื่นตัวใช่ไหม?”
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าหวังจินหยางคาดการณ์ถูกต้อง
หวังจินหยางไม่ค่อยพอใจนัก เขาถอนหายใจเบาๆแล้วพูด “สามแสนตอนแรก ฉันขอห้าแสน ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ข้อมูลต้องส่งมาที่บ้านฉัน เรื่องอื่นคุณไม่ต้องสนใจ!”
“คุณหวัง ห้าแสนนี่มัน…”
“งั้นก็ให้หัวหน้านายทำเอง! เขาไม่ได้จบจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงงั้นเหรอ?”
“จบมายี่สิบปี แต่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง คิดว่าจะทำได้เหรอ?”
“ห้าแสนหยวน ไม่ก็ไปหาคนอื่น!”
หวังจินหยางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งเสียงในลำคอแล้วพูดต่อ “ทำไมนายไม่ลองค้นหาในเมืองหยางเฉิงหรือในมณฑลล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะฉันต้องบรรลุขั้นต่อไปและจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก แล้วมันเกิดที่บ้านเกิดฉัน ฉันคงไม่ทำงานนี้!”
ปลายสายลังเลชั่วครู่ก่อนจะตอบ “เราตกลง แต่ชายคนนี้ต้องถูกจับกุมเข้ากระบวนการยุติธรรม เงื่อนไขอีกข้อคือ…ต้องเป็นเมืองหยางเฉิงที่จับกุมได้สำเร็จ!”
หวังจินหยางตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอน ฉันแค่ช่วยเก็บกวาดให้คุณเพื่อเงิน ฉันกลับมาเมืองหยางเฉิงเพื่อให้คำแนะนำกับรุ่นน้องในโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งที่จะสอบวิชายุทธเท่านั้น”
“โอเคครับ เราจะส่งข้อมูลให้คุณโดยเร็ว ผมหวังว่าคุณจะแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด”
“ไม่ต้องห่วง”
“…”
หลังคุยกันอีกสองสามประโยค หวังจินหยางก็วางสาย เขาบีบขมับแล้วถอนหายใจเล็กน้อย “หวังว่ามันจะหนีไปได้ไม่ไกลนะ ไม่งั้นคงเสียเงินไปเปล่าๆแน่”
หวังจินหยางก็ท้อแท้เช่นกันเมื่อนึกถึงเงินที่เขาต้องใช้ทะลวงขั้นครั้งนี้
สถาบันออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งนึง ส่วนอีกครึ่งเขาต้องจ่ายเอง ถ้าเป็นนักศึกษาคนอื่นที่มาจากครอบครัวร่ำรวย พวกเขาคงไม่ต้องพิจารณาอะไรแบบนี้
อย่างไรก็ตามเขาได้แต่พึ่งพาตนเองเท่านั้น
จากนั้นเขาก็นึกถึงนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งแล้วส่ายหน้า ทุกคนอยากเป็นผู้ฝึกยุทธ แต่ใครล่ะจะรู้ถึงความยากลำบากที่ผู้ฝึกยุทธต้องประสบ
ในสายตาเขา นักเรียนพวกนี้ รวมถึงอู๋จื้อเห่าด้วย ล้วนมาจากครอบครัวธรรมดา
เมื่อพวกเขาเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงได้ นักเรียนพวกนี้คงเข้าใจว่าอะไรคือความสิ้นหวัง
ที่หลี่หยวนเจียงบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธไม่ได้ ไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนพรสวรรค์
“เหอะเหอะ!” เขาหัวเราะเยาะ ไม่มีใครรู้ว่าเขาหัวเราะคนอื่นหรือหัวเราะตัวเองกันแน่
หวังจินหยางเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเดินตรงไปย่านที่เขาอาศัยอย่างไม่เร่งรีบ
บางครั้ง ความไม่รู้ก็คือความสุข