ตอนที่ 2 ฉันต้องสอบวิชายุทธ!
ในห้องเรียน
ฟางผิงสับสนงุนงง หัวใจเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
จนกระทั่งบทสนทนาเงียบลง ฟางผิงถึงได้สะกิดเฉินฝานที่อยู่ข้างๆแล้วเอ่ยถามเบาๆ “ปะ…ปรมาจารย์หม่า หม่าฮั่วเถิงเหรอ?”
สีหน้าของเฉินฝานเคร่งเครียดขึ้นทันที เขากล่าวอย่างจริงจัง “ฟางผิง เรียกปรมาจารย์ด้วยชื่อเป็นการแสดงความไม่เคารพถึงที่สุด!”
ฟางผิง “…”
ฟางผิงอยากร้องไห้ เวรเอ้ย ตอนนี้เขาเอ่ยถึงชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ พลังของพี่หม่าน่ากลัวกว่าประธานาธิบดีซะอีก
ฟางผิงยืนยันได้อย่างนึง นั่นก็คือซีอีโอของเพนกวิ้นกรุ๊ปยังเป็นพี่หม่าอยู่
ชื่อบริษัทกับซีอีโอตรงกับที่เขารู้ สิ่งเดียวที่แปลกไปคือผู้ฝึกยุทธที่ทุกคนกำลังพูดถึง
เขารู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆมาขัดสิ่งที่เขารู้อย่างฉับพลัน ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่เข้ากัน
เขาข่มกลั้นความอยากเถียงแล้วพูดอย่างเฉยเมย “ฉันยุ่งกับการเตรียมเกาเข่า ฉันเลยไม่ค่อยได้อ่านข่าว บอกฉันหน่อยสิ ช่วงนี้มีเรื่องน่าสนใจบ้างไหม?”
เฉินฝานไม่ได้คิดมากกับคำถามแปลกๆ เขาตอบ “ไม่มีอะไรใหม่ๆเลย มีแต่เรื่องปรมาจารย์หม่าทะลวงขั้นแปดสำเร็จที่ค่อนข้างคาดไม่ถึง”
เฉินฝานไม่ได้ชอบข่าวซุบซิบมากนัก แต่ที่นั่งโต๊ะหน้า หยางเจี้ยนผู้ไว้เคราในอนาคตชอบพูดเรื่องข่าวซุบซิบ
เสียงกริ่งยังไม่ดัง หยางเจี้ยนได้ยินคำถามของฟางผิงเช่นกัน เขาจึงเหลียวหลังมาแล้วตอบเสียงเบา “มีข่าวใหญ่ไม่เยอะที่ได้รับการยืนยัน แต่ฉันเห็นข่าวซุบซิบไม่กี่วันก่อนกับข่าวลือลับๆแว่วมา ฉันไม่รู้ว่ามันถูกต้องไหมนะ”
“ข่าวลือบอกว่ายอดฝีมือหม่าจากอาลีทะลวงขั้นเจ็ดแล้ว และกลายเป็นปรมาจารย์!”
“ปรมาจารย์หลี่จากไป่ตู้เหมือนจะเตรียมปิดด่านทะลวงขั้นแปดอยู่เหมือนกัน ปรมาจารย์หลี่กับปรมาจารย์หม่ามาถึงขั้นเจ็ดเกือบจะพร้อมกัน แต่ไม่กี่ปีมานี้ปรมาจารย์หลี่ก้าวหน้าไม่เร็วเท่าปรมาจารย์หม่า มันเลยพูดยากว่าเขาจะบรรลุไหม”
“นอกจากนี้ยังมีข่าวผู้ว่าราชการจางจากมณฑลหนานเจียงของเราใกล้จะบรรลุขั้นเจ็ดแล้ว”
“ถ้าผู้ว่าราชการจางบรรลุขั้นเจ็ด มันคงดีไม่น้อย หนานเจียงอ่อนแอมาหลายปี มีเพียงปรมาจารย์หลายท่านจากรุ่นก่อนคอยรักษาการณ์ ผู้ว่าราชการจางยังอายุไม่มาก ถ้าเขาบรรลุ เราคงเข้าใกล้ความหวังฟื้นฟูความอ่อนแออันยาวนานของหนานเจียงไปอีกก้าว”
“แถมดูเหมือนโรงเรียนของเราจะเชิญรุ่นพี่ที่เข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงปีที่แล้วมากล่าวสุนทรพจน์ก่อนการสอบด้วย…”
หยางเจี้ยนโม้ไม่หยุด แต่ข่าวซุบซิบที่เขาพูดมาฟางผิงไม่เข้าใจเลย
ข่าวซุบซิบส่วนใหญ่ที่หยางเจี้ยนพูดถึงเป็นเรื่องวรยุทธ คนๆนี้ทะลวงขั้นสำเร็จ คนๆนี้กำลังฝึกฝน นู่นนี่นั่น…
บุคคลที่ฟางผิงได้ยิน พวกเขาไม่ได้จำกัดในแวดวงธุรกิจเท่านั้น บางคนก็เป็นศิลปินหรือแม้แต่นักการเมือง
จากที่หยางเจี้ยนพูดมา ฟางผิงสรุปได้ว่าผู้ฝึกยุทธมีสถานะสูงส่งในสังคม หยางเจี้ยนเรียกผู้ฝึกยุทธที่ระดับต่ำกว่าเจ็ดว่า’ยอดฝีมือ’ และคนที่ระดับสูงกว่าว่า’ยอดฝีมือ’
อีกประเด็นนึงที่เขาสังเกตได้คือบุคคนที่มีชื่อเสียงเหมือนจะเป็นผู้ฝึกยุทธเช่นกัน
หรือพูดอีกนัยนึงก็คือถ้าใครไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธจะไม่มีชื่อเสียง
มีช่วงนึงฟางผิงเอ่ยถามนิ่งๆว่าคนพวกนี้ทรงพลังแค่ไหน
หยางเจี้ยนตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนไหนก็ทุบตีเราเละเป็นโจ๊กได้!”
หลังเสียงกริ่งดัง ก่อนที่อาจารย์จะมา หยางเจี้ยนก็กล่าวอย่างเศร้าเสียใจ “ถ้าฉันเข้าเรียนวิชายุทธไม่ได้และไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ งั้นชีวิตที่เหลือของฉันคงไม่มีค่า ถ้าฉันไปเป็นข้าราชการ ฉันก็คงไม่มีทางไปได้ไกลกว่าเมืองนี้ ต่อให้ฉันไปลงทุนธุรกิจมันก็เหมือนกัน สามัญชนอยากโดดเด่น…มันยากมาก!”
หลังเขาพูดจบ ฟางผิงก็ชะงักอีกครั้ง
เฉินฝานที่ไม่เคยพูดมากก็เศร้าใจเช่นกัน เขากล่าวเสียงแผ่ว “เพราะงั้นผู้ฝึกยุทธถึงมีน้อย อีกอย่างถ้าพูดถึงเรา ยังไงเราก็คงไปถึงระดับนั้นไม่ได้ เราไม่ต้องสนใจหรอก”
ฟางผิงสัมผัสถึงอะไรบางอย่างจากบทสนทนา
จากที่เขาเข้าใจ ถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ถ้าเขาเป็นข้าราชการ เขาก็ไม่มีทางก้าวหน้าสูงกว่าระดับสำนักงาน ถ้าเขาเป็นนักธุรกิจ เขาก็ไม่มีทางขยายธุรกิจไปไกลกว่าเมืองนี้
เขาไม่รู้ว่าทั้งหมดเป็นกฏหมายหรือเป็นกฏหมู่
ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง ฟางผิงก็ยังรู้สึกว่าเขาเสียเปรียบมากที่อยู่บนโลกนี้
ถ้าเขาไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ เป็นยอดฝีมือ เขาก็ต้องอยู่ชนชั้นต่ำสุดไปทั้งชีวิต
ประเด็นหลักคือ ตอนนี้ฟางผิงสงสัยจริงจังว่าเขาเกิดใหม่จริงไหม
แม้ว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาจะหน้าตาเหมือนเดิม ชื่อเหมือนเดิม แถมชื่อคนใหญ่คนโต ชื่อบริษัทก็ยังเหมือนกับที่เขารู้ แต่จู่ๆก็มีอาชีพแปลกๆออกมา เรื่องอื่นๆมันจะเหมือนกับที่เขาจำได้ไหมเนี่ย?
เขาอยากถามคำถามเพิ่ม แต่อาจารย์เข้าห้องมาแล้ว เพื่อนๆคนอื่นจึงเลิกคุยกันและกลับไปนั่งที่
นอกจากนี้ทุกอย่างที่เขาอยากรู้ดันเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับคนอื่นๆ ดังนั้นฟางผิงจึงไม่อยากถามอะไรมากเกินไปจนผิดสังเกต
ถ้าเขาทำแบบนั้น เด็กพวกนี้อาจคิดว่าเขาความจำเสื่อมก็ได้
เขาคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ถามเฉินฝานตอนที่อาจารย์หันหลังให้ “เอ่อ…ใกล้โรงเรียนเรายังมีร้านเกมอยู่ไหม?”
เฉินฝานมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แต่เขาก็ยังตอบ “มีสิ ไม่ใช่ว่านายชอบไปร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลันเทียนบ่อยๆเหรอ?”
“ฟู่ว!”
ฟางผิงถอนหายใจและพยักหน้าโดยไม่ได้พูด ดูเหมือนบางอย่างก็ยังเหมือนเดิม
ยกตัวอย่างร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ชื่อเชยๆก็ยังอยู่เหมือนเดิม ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็หมายความว่าบางสิ่งก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ถ้าเขาไปค้นหาข้อมูลหลังเลิกเรียน เขาควรจะได้รับคำตอบที่ต้องการ
เมื่อเห็นสีหน้าโล่งอกของฟางผิง เฉินฝานก็เตือนเขาด้วยความปรารถนาดี “ต่อให้เราสอบเข้าคณะวิชายุทธไม่ผ่าน แต่เราก็ไม่ควรยอมแพ้เหมือนกัน ถ้าเราได้เกรดสังคมศาสตร์ดี เราก็ยังโดดเด่นได้ เราอาจกลายเป็นผู้ฝึกยุทธได้ในอนาคต”
“ใกล้เกาเข่าแล้ว นายควรไปร้านเกมให้น้อยลงนะ…”
ฟางผิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ในฐานะหนึ่งในคู่หูคนสามัญ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพูดมาก แต่เฉินฝานยังแสดงความเป็นห่วงต่อสหายโต๊ะติดกัน เพราะยังไงทั้งสองก็มีปูมหลังครอบครัวที่คล้ายกัน
…..
เมื่อเสียงกริ่งเลิกคลาสดัง หลังนั่งมาตลอดช่วงเช้า ฟางผิงก็เดินออกนอกห้องไปอย่างเร่งรีบ
เขามีคำถามอยู่เต็มหัวที่จำเป็นต้องได้รับคำตอบ
เฉินฝานเห็นฟางผิงรีบออกห้อง หลังคิดเล็กน้อยเขาก็รีบตามมาถาม “นายจะไปกินข้าวหรือไปร้านเกม?”
“ร้านเกม”
“นายควรรีบกลับมา คาบต่อไปเป็นคาบอาจารย์ประจำชั้น”
ฟางผิงพยักหน้าตอบ ช่วงเวลานี้พ่อแม่เขายังทำงานอยู่ ดังนั้นเขาจึงมักจะไปทานข้าวเที่ยงที่ร้านฟาสฟู้ตใกล้ๆแทนที่จะกลับไปกินที่บ้าน
เนื่องจากเวลาว่างตอนพักเที่ยง ด้วยความอยากรู้ที่แข็งแกร่ง เขาจึงรีบไปร้านอินเตอร์เน็ตค่าเฟ่ทันทีเพื่อหาข้อมูลที่ตนเองไม่รู้
ฟางผิงสาวเท้าอย่างรวดเร็วและเหลือบมองรอบข้างด้วยความสนใจ
ทุกอย่างยังเป็นเหมือนกับในความทรงจำ เขาไม่เห็นความแตกต่างอะไรเลยกับโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งในหยางเฉิงที่เขารู้จัก อาจารย์เขา เพื่อนเขาก็เหมือนเดิม และเขาก็ไม่เห็นใครเดินไต่กำแพงหรือเหาะเหินเดินอากาศเลย
ถ้าเขาอยากพูดว่ามีอะไรแปลกไปจริงๆ งั้นมันก็คงเป็นสโลแกนและป้ายแบนเนอร์แปลกๆที่มีอยู่ทั่วโรงเรียน
“เตรียมเกาเข่า วิชายุทธ ฉันมาแล้ว!”
“พยายามสุดความสามารถเพื่อคณะวิชายุทธ!”
“ถ้าท่านอยากสอบเข้าคณะวิชายุทธ ขอเชิญมาชิงเหนี่ยว โรงเรียนสอนพิเศษชิงเหนี่ยวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด!”
“เม็ดยาเสริมกำลังหนึ่งลูก จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ท่านเข้าคณะวิชายุทธ!”
“…”
ถ้าไม่ใช่เพราะป้ายสโลแกนแปลกๆพวกนี้ในโรงเรียน ฟางผิงคงมีเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่ามี’ร่างทรง’และสิบแปดมุงกฏแทรกซึมเข้ามาในโรงเรียน
ตอนนี้ตัดสินจากท่าทีเฉยเมยของทุกคนที่มีต่อโปสเตอร์พวกนี้ ฟางผิงเข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่โลกที่เขาคุ้นเคย
ส่วนมันต่างกันแค่ไหน ต้องรอจนกว่าเขาจะรู้ทุกอย่างก่อนเขาถึงจะมั่นใจได้
…..
สิบนาทีต่อมา ฟางผิงก็มาถึงร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลันเทียนที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน
สไตล์และสโลแกนของร้านก็ยังเป็นเหมือนกับที่เขาคุ้นเคย
ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ที่ดูยิ่งใหญ่ในอดีตของเขา ตอนนี้เริ่มทรุดโทรมแล้ว ประโยค’ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลันเทียน’ก็แทบอ่านไม่ออกแล้ว
เขาก้าวเข้าไปในร้าน คนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ใกล้ทางเข้าก็ยังเป็นพนักงานหญิงสาวที่ดูคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยในขณะเดียวกัน
ฟางผิงคิดถึงในอดีต ตอนที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน พนักงานที่แต่งตัวเป็นผู้ใหญ่กว่านักเรียนปกติได้ลอบเข้ามาในฝันเขาและทำเรื่องที่ไม่สามารถบรรยายได้กับเขาอยู่หลายครั้ง
ตอนนี้…
ฟางผิงสรุปได้ว่าสายตาช่วงวัยรุ่นของเขาทำงานไม่ปกติ
มันสมเหตุสมผลป่ะล่ะ ถ้าเธอสวยระดับนางงาม เธอจะมาเป็นพนักงานร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ทำไม?
เขาชำเลืองมองหญิงสาวแบบผ่านๆ ฟางผิงไม่มีความตั้งใจจะจีบเธอ ถ้าเขาจีบ ผู้หญิงระดับแค่นี้คงไม่เหมาะกับเขาที่เกิดใหม่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจ
แต่เมื่อเขาคิดถึง’ปรมาจารย์หม่า’ ความมั่นใจของเขาก็ถดถอยทันที
การเกิดใหม่ย่อมยิ่งใหญ่และมีอำนาจ แต่อย่างแรกเลยพวกเขาต้องเกิดใหม่ในสถานที่ที่ถูกต้อง
หลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในใจ ฟางผิงก็ไม่ชักช้า เขาเข้าประเด็นทันที “ผมอยากใช้คอม ชั่วโมงละเท่าไหร่?”
“สามหยวน”
พนักงานสาวตอบทันทีและพูดอย่างต่อเนื่อง “คุณเป็นสมาชิกไหม? ถ้าคุณไม่ได้เป็น คุณก็สมัครสมาชิกได้ เติมเงิน 50 หยวนจะได้ฟรี 10 หยวน”
ฟางผิงมีสีหน้าเย่อหยิ่ง เขาคร้านจะตอบคำถามเธอ
เติม 50 หยวนแถมแค่ 10 หยวน…งกเกินไปแล้ว!
นอกจากนี้…ตาข้างไหนที่ตัดสินว่าฉันดูเหมือนคนที่มีเงิน 50 หยวน?
ตอนเรียนช่วงเช้า ฟางผิงก็ได้ดูเงินติดตัวทั้งหมดของเขาแล้ว เขามี 28 หยวน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
เงินจำนวนนี้รวมอาหารกลางวันด้วย ถ้าเขาอยากเติมเงิน 50 หยวน อย่างแรกเลยเขาต้องมีเงินก่อน
เขาหยิบแบงค์ห้าหยวนออกมาจากกระเป๋าและตบลงบนโต๊ะอย่างโอหังโดยไม่สนใจโปรโมชั่นของพนักงาน
แน่นอนพนักงานย่อมไม่สนใจนักเรียนจนๆอย่างเขา เธอโยนบัตรสมาชิกชั่วคราวให้เขาแล้วเลิกสนใจเขาอีก
ฟางผิงอยากตะโกนไปว่า ‘อย่าข่มเหงชายหนุ่มเพราะความจน!’ แต่แล้วเขาก็พิจารณาสถานะอันต่ำต้อยของพนักงานอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ เขาควรเก็บแรงไว้ทะเลาะกับตัวตนสำคัญกว่านี้ในอนาคตดีกว่า เขาไม่ได้ทะเลาะกับพนักงาน เขาเดินไปที่มุมร้านพร้อมกับบัตรสมาชิกในมือ
…..
ที่มุมร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่
หลังเปิดคอมพิวเตอร์ ฟางผิงก็ค้นหาข้อมูลที่อยากรู้ด้วยความกระตือรือร้น
แสงสีฟ้าหม่นๆบนหน้าจอทำให้ฟางผิงดูค่อนข้างน่ากลัว
ถ้ามีคนนั่งข้างฟางผิง พวกเขาคงสัมผัสได้ถึงท่าทางที่ไม่ปกติของเขา
บางครั้งสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป บางครั้งเขาก็ดูโกรธ บางครั้งเขาก็ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างรุนแรง
บางครั้งก็มีเสียงสบถดังมาจากเขา ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังก่นด่าจักรวาลหรือก่นด่าใคร
ราวหนึ่งชั่วโมงต่อมา คอมพิวเตอร์ก็ชัทดาวน์อัตโนมัติเพราะเวลาหมด
ฟางผิงไม่ต่อเวลา เขาเดินออกนอกร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ เขาดูเหมือนจะสับสนและเหมือนกำลังจะตัดสินใจเด็ดขาดในเวลาเดียวกัน
เมื่อเขาก้าวออกนอกร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ สีหน้าของฟางผิงก็ดูเด็ดเดี่ยว เขาขบฟันแน่น “ฉันต้องลงทะเบียนคณะวิชายุทธ!”
ราวกับว่ามันไม่พอพิสูจน์ความมุ่งมั่นของเขา เขาจึงกล่าวเสริม “ฉันต้องเข้าคณะวิชายุทธ!”