ตอนที่ 22 ไม่ยุติธรรมเลย!
ณ เขาชางซาน
เขาชางซานไม่ใช่เขามีชื่อ มันเป็นแค่ภูเขาที่อยู่ระหว่างสองมณฑล
เขาชางซานในเขตหยางเฉิงถือว่าเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด มันไม่ค่อยชันนัก
หวังจินหยางกำลังอยู่บนภูเขา
เขายังแบกกระเป๋าเป้ไว้บนหลัง อย่างไรก็ตามในมือเขามีมีดทหารเพิ่มขึ้นมา
หวังจินหยางขมวดคิ้ว เขาใช้มีดเคลียร์หญ้าที่ขวางเส้นทางแล้วเขาพูดใส่โทรศัพท์ป้องกันสามชั้นที่ใช้ในทางทหาร “ผู้อำนวยการจาง คุณมั่นใจใช่ไหมว่ามันมาเขานี้แล้ว?”
เสียงนุ่มกังวาลดังมาจากปลายสาย “หลังหวงปินหลบหนีไปจากการเฝ้าระวัง มันก็ขึ้นแท็กซี่ไปทางเข้าที่3ของเขาชางซาน”
“นี่เป็นผลที่เราได้หลังประเมิณกำหนดการของบริษัทแท็กซี่ คนขับรถเห็นมันขึ้นเขาไป”
“มันพกกระเป๋าไปด้วย ในนั้นเต็มไปด้วยน้ำอาหาร…”
“เห็นมันเตรียมน้ำอาหารไป คุณยังไม่รู้จักลงมืออีกเหรอ?” หวังจินหยางโมโหเล็กน้อย แม้ว่าเขตภูเขาในเมืองหยางเฉิงจะเล็กกว่ามาก แต่การค้นหาคนๆนึงยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี
ถ้าเจ้าหน้าที่ในเมืองหยางเฉิงถ่วงเวลาเป้าหมายให้นานกว่านี้หน่อย เขาก็จะจับเป้าหมายได้ตรงๆเลย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาให้เขาอย่างมาก
ปลายสายไม่ได้โกรธ เขากล่าว “การตัดสินใจครั้งนี้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน”
“ยังไงหวงปินก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่กำลังทะลวงขั้นสาม ถ้าเราลงมือล้มเหลว เมืองหยางเฉิงอาจมีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก”
หวังจินหยางไม่มีอารมณ์มาฟังคำอธิบาย เขาสูดหายใจลึกๆแล้วกล่าว “ฉันสำรวจบริเวณใกล้ทางเข้าแล้ว แต่ฉันไม่เจอเบาะแสอะไรเลย”
“ในฐานะผู้ฝึกยุทธขั้นสอง จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ มันไม่ใช่เรื่องยาก”
“แถมถ้าเป็นบริเวณที่มีคนมาก การค้นหาจะลำบากเข้าไปอีก”
“ฉันจะเข้าไปค้นหาให้ลึกขึ้น ผู้อำนวยการจาง ฉันต้องการให้คุณให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และส่งคนมาป้องกันทางเข้าออกทุกจุด”
“ถ้าฉันไม่เจอตัวมันในสามวัน ฉันต้องยกเลิกภารกิจนี้”
หวังจินหยางไม่อยากเสียเวลามากเกินไปกับภารกิจนี้
ไม่กี่วันจะสอบไฟนอลแล้ว แม้ว่าเขาจะสอบผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เขาต้องชิงที่หนึ่งเพื่อให้ได้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น
ผู้อำนวยการจางตอบตกลง “โอเค เราจะติดต่อคุณทันทีที่ได้รับข้อมูล”
“ถ้าคุณหาเป้าหมายไม่พบก็ช่างมัน”
“ถ้าเราหาไม่พบจริงๆ ฉันจะรายงานไปรุ่ยหยางเพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับซูเป่ยเพื่อจับกุมเป้าหมาย”
แม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
มันน่าเสียดายที่หวงปินตื่นตัวเกินไป ไม่งั้นหลังหวังจินหยางมาถึง พวกเขาคงจับอีกฝ่ายได้แล้ว การจับกุมผู้ฝึกยุทธขั้นสองไม่ใช่ความสำเร็จเล็กๆ
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองเช่นกัน แต่เขาไม่ได้ลงมือเองเป็นสิบปีแล้วตั้งแต่ย้ายมาอยู่เมืองหยางเฉิง
ถ้าเขารวมคนไปจับกุม เขามีโอกาสถูกฆ่าแทนมากที่สุด
พวกเขาใช้อาวุธปืนได้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองก็หยุดกระสุนไม่ได้ แต่เป้าหมายกำลังสิ้นหวัง ถ้ามันหลบหนีไปยังบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่าน มันจะเป็นปัญหาสำหรับพวกเขา
หลายครั้งที่พวกเขาจะเลิกล้มความสำเร็จที่มีความเสี่ยง
การจับอาชญากรเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจ แต่ถ้าเกิดระหว่างดำเนินการมีประชาชนเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ มันก็ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ แม้ว่าจะจับกุมอาชญากรได้ มันก็ไม่ได้ชดเชยความผิดพลาดนี้
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเจ้าหน้าที่เมืองหยางเฉิงถึงเลือกจับตามองหวงปินแทนลงมือจับกุม
พวกเขาไม่คาดหวังเลยว่าจะมีความผิดปกติในวันสุดท้าย บางทีมันเป็นเพราะหวงปินรู้เหตุผลที่แท้จริงที่หวังจินหยางมาเมืองหยางเฉิงงั้นเหรอ?
ผู้อำนวยการจางไม่เข้าใจ หวังจินหยางไม่ควรอยู่ในสายตาของผู้ฝึกยุทธทั่วไปเหล่านั้นไม่ใช่เหรอ?
หวังจินหยางเป็นแค่เด็กใหม่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง แม้แต่เขา ถ้าเขาไม่รู้ความสามารถ เขาอาจจะไม่จ้างรุ่นน้องที่ยังไม่จบการศึกษาด้วยซ้ำ
ทั้งสองคุยกันสั้นๆก่อนหวังจินหยางจะวางสายแล้วเข้าไปในเขาลึกขึ้นพร้อมกับเป้ข้างหลัง
สามวัน นั่นคือขีดจำกัด
เขาอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ถึงสามวัน เป้าหมายอาจออกไปจากเมืองหยางเฉิงพรุ่งนี้เลยก็ได้ พอถึงตอนนั้นต่อให้ต่อให้เขาจับเป้าหมายได้ มันก็พูดยากว่าเขาจะเอาตัวเป้าหมายมารับรางวัลได้ไหม
…..
เมืองหยางเฉิง
ย่านจิ่งหูหยวน
ฟางผิงไม่ได้หมกตัวอยู่ในห้องเหมือนอย่างไม่กี่วันก่อน เขายังคงสั่นไม่หายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน ซึ่งร่างกายเขาแข็งแกร่งไม่พอรองรับการเพิ่มขึ้นของปราณและเลือดอย่างฉับพลัน
ดังนั้นเขาจึงไปลานหลังบ้านเพื่อฝึกฝนร่างกาย
เขาไม่ได้ออกไปข้างนอก ย่านที่อยู่อาศัยเก่าๆนี้มียิมอยู่ไม่กี่แห่ง และสวนสาธารณะเล็กๆก็มีผู้หญิงกับคนแก่อยู่ด้วย นอกจากนี้ฟางผิงไม่สนุกที่กลายละครลิงให้คนอื่นดู
โชคดีที่พวกเขามีลานหลังบ้าน ไม่งั้นเขาคงไม่มีที่ฝึกฝน
ฟางผิงทำได้แค่ออกกำลังกายง่ายๆที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอย่าง ดึงข้อ ซิทอัพ สควอซ
เมื่อเห็นว่าลานค่อนข้างกว้าง ฟางผิงจึงตัดสินใจขอให้พ่อติดตั้งบาร์ไม้เพื่อให้เขาดึงข้อได้
ผลของการเพิ่มปราณและเลือดนั้นชัดเจนมาก
ปกติแล้วฟางผิงจากโลกอื่นคงเหนื่อยจากการดึงข้อสามสิบที
ตอนนี้หลังเขาดึงข้อไปห้าสิบที เขาก็ไม่ได้เหนื่อยอย่างที่จินตนาการไว้
เขารู้สึกว่าเขาน่าจะทำร้อยทีได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง
ถ้าเขาพยายามออกกำลังกายทุกวันเช้ากลางคืน ร่างกายของเขาอาจรองรับการเพิ่มขึ้นของปราณและเลือดเขาได้
ฟางผิงออกกำลังอยู่ในลานพักนึง ขณะที่เขาซิทอัพ เขาก็สังเกตเห็นไฟชั้นสองสว่าง เขาพบว่าตัวเองถูกจ้องมองมาจากทิศทางนั้นหลายครั้ง
ชั้นบนเงียบมาก เว้นแต่แสงไฟ มันไม่มีสัญญาณของผู้เช่าเลย
หลังชำเลืองมองสองสามครั้ง ฟางผิงก็ไม่ได้คิดมากอีก เขาทำการฝึกฝนร่างกายต่อ
…..
ชั้นสอง
หวงปินกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง แต่เขาซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงโดยไม่รู้ตัว
เขาเหลือบมองไปข้างล่างที่มีเด็กวัยรุ่นกำลังออกกำลังกายอยู่ ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏบนใบหน้า
เมื่อนานมาแล้ว เขาก็เคยขยันขันแข็งเพื่อโอกาสเข้ามหาลัยวิชายุทธเช่นกันเหมือนกับวัยรุ่นเหล่านี้
แต่ความจริงนั้นโหดร้าย เขาเข้ามหาลัยสังคมศาสตร์ดีๆยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
เขาเข้ามหาลัยแย่ๆ หลังจบการศึกษา เขาก็ทำงานที่โรงงานของรัฐ
หลังทำงานหนักมาหลายปี เขาก็เก็บเงินได้เล็กน้อย เขาไม่อยากทำงานโรงงานไปตลอดชีวิต ดังนั้นเขาจึงใช้เงินเก็บทั้งหมดลงเรียนหลักสูตรฝึกฝนวิชายุทธ
บางทีมันคงถึงเวลาดวงเขาขึ้น เขาได้ประโยชน์มากมายจากหลักสูตรนี้
หลังจากทำงานเพิ่มไม่กี่ปี ตอนอายุ 30 ในที่สุดเขาก็ได้รับทรัพยากรที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อบรรลุและก้าวเข้าสู่ขอบเขตวิชายุทธอย่างเป็นทางการ
เขาคาดเดาว่าทุกอย่างคงเปลี่ยนไปหลังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ในที่สุดเขาก็จะมีชีวิตเหมือนผู้ฝึกยุทธ
แต่แล้วความจริงก็ปะทะเขาเข้าอย่างจังอีกครั้ง
เขาไม่ได้จบมาจากสถาบัน สถานะของเขาจึงต่ำกว่านักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธเสียอีก
เขามาถึงขั้นหนึ่งตอนอายุสามสิบ มันเลยช่วงที่เหมาะสมที่สุดไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ ดังนั้นชีวิตเขาจึงดีกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย
ถ้าในอดีต เขาพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีแล้วเลือกทำงานให้กับบริษัท สะสมเงินล้านก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก
แต่เขาเลือกก้าวต่อไป หลังพยายามเดินทางบนเส้นทางที่ตนเองเลือก เขาก็ตระหนักว่ามันยากแค่ไหน
เขาไม่ได้จบมาจากมหาลัยวิชายุทธ ไม่ได้ขึ้นต่อหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทใหญ่ๆ
มีทรัพยากรบางอย่างที่ซื้อได้ผ่านวิธีพิเศษในราคาสูง
การฝึกยุทธจำเป็นต้องใช้เงิน
อุปกรณ์ ทรัพยากรฝึกยุทธ เคล็ดวิชา เม็ดยา…
รายได้เขาไม่สมดุลกับรายจ่ายเลย เขาใช้ชีวิตอย่างยากจนพร้อมกับทำงานและฝึกยุทธไปด้วย
หลังฝึกฝนไปได้หลายปี เขาก็บรรลุขั้นต่อไปจนได้และกลายเป็นคนยากจนอีกครั้ง
หวงปินสิ้นหวังเมื่อนึกถึงเงินหลายล้านหยวนที่เขาต้องใช้ถ้าหากอยากบรรลุถึงขั้นสาม
เขาเป็นวัยกลางคนแล้ว อายุ 40 ปีแล้ว แต่ขั้นสามเขาก็ยังบรรลุไม่ได้ ทรัพยากรบางอย่างที่เขาต้องใช้มีในตลาดอย่างจำกัดเช่นกัน
หวงปินยังพิจารณาร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทที่มีชื่อเสียงด้วย พวกเขาไม่เห็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองอยู่ในสายตา
เมื่อเขาคิดถึงการตรวจสอบปูมหลังที่เขาจำเป็นต้องผ่านและภารกิจที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จเพื่อที่เขาจะได้ร่วมกับหน่วยงานหรือบริษัทได้
ด้วยความบังเอิญ วันหนึ่งเขาได้ปล้นคนที่มาซื้อขายด้วยแล้วไม่เคยหยุดอีกเลย
เขาได้รับทรัพยากรมาอย่างรวดเร็ว
เขาได้รับเงินล้านในหนึ่งวันทั้งๆที่แต่ก่อนเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี
หลังมีความสุขกับข้อได้เปรียบของการปล้น การหาเงินง่ายๆโดยไม่ต้องทำงานหนักทำให้เขาผิดเพี้ยน จากนั้นเขาจึงได้ปล้นคนอีกหลายครั้ง
ผลของการปล้นนั้นเห็นได้ชัด ไม่นานเขาก็ถูกหมายจับ…
เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มชั้นล่าง หวงปินก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ เขาส่ายหน้าแล้วเยาะเย้ยเสียงเบา “มีเด็กอีกคนแล้วที่กำลังเดินบนเส้นทางไม่หวนกลับ!”
การเข้ามหาลัยวิชายุทธเป็นเรื่องง่ายๆงั้นเหรอ?
ยิ่งเขาล้มเหลวและไม่ยอมรับความล้มเหลว มันก็จะลำบากขึ้นไปอีก
ตัวเขาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด!
ตัดสินใจย่านที่อาศัย ฐานะครอบครัวของเขาก็ชัดเจน
วัยรุ่นเป็นช่วงที่เหมาะแก่การวางรากฐานที่สุด ตัดสินจากฐานะการเงิน ครอบครัวชายหนุ่มจะหาอาหารเสริมกับยาให้เขาพอได้ยังไง?
“พระเจ้าไม่ยุติธรรม!”
หวงปินสบถเสียงต่ำ ทำไมบางคนถึงเกิดมาร่ำรวย ร่ำรวยจนเงินล้านเป็นแค่เศษเงินของพวกเขา?
ทำไมหลังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ เขาถึงได้รับการปฏิบัติด้วยแย่กว่าเมื่อเทียบกับคนที่จบการศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธ?
แม้แต่ในเขตอำนาจของเมืองหยางเฉิง เขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถจัดการผู้อำนวยการสืบสวนสอบสวนตายในสิบนาที!
ทั้งที่ผู้อำนวยการอ่อนแอ แต่ถ้าเขาร่วมงานด้วย เขาก็ต้องทำงานเป็นลูกน้องอีกฝ่าย
เขาจำเป็นต้องทำงานมากกว่าห้าปีเพื่อเลื่อนตำแหน่ง
ในสายตาของหวงปิน ทุกอย่างช่างไม่ยุติธรรม!
พอคิดแบบนั้น เขาก็เลิกสนใจชั้นล่าง เขาจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง
ส่วนเด็กหนุ่มชั้นล่าง…หวงปินยิ้มเยาะ หลังผ่านเหตุการณ์แบบนี้ เขาหวังว่าเด็กหนุ่มจะไม่หมดหวังไปก่อนนะ
…..
ฟางผิงย่อมไม่หมดหวัง เขาไม่เคยนึกถึงความเป็นไปได้ที่เขาสอบตกเข้ามหาลัยไม่ได้
ฟางผิงสัมผัสตัวตนของชายที่อยู่ชั้นบนไม่ได้ แม้ว่าจิตเขาจะสูงกว่าคนธรรมดา แต่หวงปินแข็งแกร่งกว่า มันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะสัมผัสอะไรไม่ได้เลย
หลังออกกำลังกายมาหนึ่งชั่วโมง ฟางผิงก็หยุดเพราะกลัวบาดเจ็บ เขากลับเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายในบ้านก่อนจะกลับเข้าไปทบทวนหนังสือในห้อง
ส่วนชั้นสองก็เงียบเหมือนเคยจนฟางผิงลืมไปแล้วว่ามีคนอาศัยอยู่ด้วย