World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 46

ตอนที่ 46 ผลประโยชน์ใหม่

 

 

วันถัดมา วันอาทิตย์

 

 

หลังฟางผิงตื่นมาตอนเช้า เขาก็ฝึกจวงกงอยู่พักนึง เขาล้างตาแล้วเตรียมไปอพาร์ทเม้นท์หลังใหม่

 

 

ฟางหยวนยังไม่ตื่น และฟางผิงก็ไม่มีความตั้งใจจะปลุกเธอ

 

 

ถ้าเขาปลุกเธอ เธอจะทำให้เขาออกบ้านได้ลำบากกว่าเดิม

 

 

เขาพึ่งกำลังก้าวออกบ้าน แต่จู่ๆโทรศัพท์เขาก็สั่น

 

 

เมื่อเขาหยิบมือถือออกมาดูหน้าจอ ฟางผิงรับสายโดยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ว่าไงครับรุ่นพี่หวัง?”

 

 

ปกติแล้วฟางผิงจะเป็นคนโทรหาเขา ถามเรื่องปัญหาการฝึกฝน

 

 

นอกจากนั้นแล้วหวังจินหยางไม่เคยโทรหาเขาก่อนเลย

 

 

“ฝึกฝนไปถึงไหนแล้ว?”

 

 

“ไม่เลวครับ ผมรู้สึกว่าผมก้าวหน้าเร็วมาก”

 

 

ฟางผิงไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขาฝึกจวงกงมาถึงขั้นหนึ่งแล้ว ไม่งั้นเขาคงทำให้หวังจินหยางตกใจเกินไป

 

 

หวังจินหยางไม่ได้ถามรายละเอียดเช่นกัน น้ำเสียงของฟางผิงก็บ่งบอกแล้วว่ามันไปได้สวย

 

 

ท้ายที่สุดแล้วฟางผิงก็มีทรัพยากรแล้ว มันเป็นเรื่องปกติที่เขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

 

“ผู้สำเร็จราชการจางทะลวงผ่านขั้นเจ็ดแล้ว”

 

 

“หืม?”

 

 

ฟางผิงงุนงงเล็กน้อย ทำไมจู่ๆหวังจินหยางถึงเอาเรื่องนี้มาบอกเขาล่ะ?

 

 

วันแรกที่เขากลับมาเกิดใหม่ หยางเจี้ยนเล่าข่าวผู้สำเร็จราชการจางมณฑลหนานเจียงกำลังทะลวงผ่านขั้นเจ็ดแล้ว

 

 

นั่นเป็นข่าวซุบซิบ แต่ตอนนี้พิสูจน์ได้แล้วว่ามันเป็นความจริง

 

 

“ฉันเคยบอกนายแล้ว ตอนนี้ผู้สำเร็จราชการจางมาถึงขั้นเจ็ดและเป็นปรมาจารย์แล้ว เขาจะสามารถรับทรัพยากรมากขึ้นให้หนานเจียง!”

 

 

“แต่ก่อน คนที่สอบเกาเข่าได้อันดับต้นๆจะเข้ามหาลัยอื่น”

 

 

“ส่วนมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง รวมถึงมหาลัยท้องถิ่นอื่นๆในมณฑลหนานเจียง…พูดตรงๆเลย นักศึกษาที่เข้ามาล้วนเป็นของเหลือ”

 

 

“ตอนนี้ผู้สำเร็จราชการจางมาถึงขั้นเจ็ดแล้ว เราหวังว่าปีนี้เราจะรักษาอัจฉริยะไว้ในมณฑลได้มากขึ้น”

 

 

“แต่ก่อนเราไม่มีทรัพยากรสนับสนุนอัจฉริยะ แต่ตอนนี้เรามีแล้ว!”

 

 

“เพื่อรักษานักศึกษาวิชายุทธที่โดดเด่นเอาไว้ ทางมณฑลจึงได้มอบนโยบายใหม่และสิทธิประโยชน์ใหม่”

 

 

ฟางผิงรีบกล่าว “นโยบายใหม่คือ?”

 

 

“วัฒนธรรมศึกษาเป็นมาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ดังนั้นฉันจะไม่พูดถึง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดขึ้นอยู่กับปราณและเลือดนาย”

 

 

หลังหยุดครู่นึง หวังจินหยางก็พูดต่อ “ปีนี้ สำหรับนักศึกษาที่มี 125แคลหรือมากกว่า ตราบใดที่ยอมเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงท้องถิ่น พวกเขาจะได้รับรางวัล”

 

 

“ถ้าปราณและเลือด 125แคล พวกเขาจะได้รับเงินรางวัลแสนหยวนกับเม็ดยาปราณและเลือดทั่วไป 3 เม็ด”

 

 

“สำหรับนักศึกษาที่มี 130แคล พวกเขาจะได้รับเงินสองแสนหยวน เม็ดยาปราณและเลือดทั่วไป 3 เม็ด และเม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 1 เม็ด”

 

 

“ถ้าปราณและเลือดมี 135แคล พวกเขาจะได้รับเงินห้าแสนหยวน เม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 1 เม็ด และเม็ดยาเสริมสร้างกระดูกขั้นหนึ่ง 1 เม็ด”

 

 

เม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งมีราคาตลาดสามแสนหยวน ส่วนเม็ดยาเสริมสร้างกระดูกมีราคาถึงห้าแสนหยวน!

 

 

“…”

 

 

ฟางผิงกำลังรอฟังมากกว่านี้ แต่จู่ๆปลายสายก็เงียบไป

 

 

ฟางผิงรีบพูด “แล้วถัดจากนั้นล่ะ?”

 

 

“ถัดจากนั้นหมายความว่าไง?”

 

 

หวังจินหยางรู้สึกขบขัน “คนที่มีปราณและเลือดมากกว่า 140แคลจะลงทะเบียนสองมหาลัยดัง”

 

 

“คนพวกนี้ไม่ขาดแคลนทรัพยากร แม้ว่าจะมีนโยบายผลประโยชน์แบบนี้ เราก็ยากจะรักษาพวกเขาไว้ได้”

 

 

“ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะปรับนโยบายให้พวกเขาทำไม?”

 

 

“ถ้าสุดท้ายไม่มีคนรับรางวัลนี้ เราจะกลายเป็นตัวตลกมากกว่า”

 

 

“เพราะงั้นนโยบายถึงหยุดแค่ 135แคล”

 

 

“ถ้ามีคนที่ปราณและเลือดมากกว่านี้ตัดสินใจเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงจริงๆ ย่อมมีคนไปทักทายและเสนอเงื่อนไขให้ นายยังกลัวได้รางวัลน้อยอีกเหรอ?”

 

 

“นั่นก็จริง”

 

 

เมื่อฟางผิงตอบกลับไป เขาก็อดคาดคำนวณในใจไม่ได้

 

 

เขามี 130แคลแล้ว แถมยังมีเวลามากกว่า 10 วันกว่าจะถึงวันประเมิณร่างกาย เขาน่าจะไปถึง 135แคลได้ไม่ยากใช่มั้ย?

 

 

ถ้าเขาไปถึง 135แคลจริง รางวัลอย่างเดียวก็มีมูลค่าตลาดถึง 1.3 ล้านแล้ว!

 

 

รางวัลถือว่าไม่เลวเลย

 

 

ด้วยเงินมากขนาดนี้ ต่อให้มหาลัยไม่สนับสนุนทรัพยากรให้เขา เขาก็ยังไปถึงขั้นหนึ่งได้ แน่นอนนั่นเป็นกรณีที่เขาไม่โชคร้ายเกินไป ท้ายที่สุดแล้วบางคนก็ล้มเหลวตอนพยายามทะลวงขั้น

 

 

แน่นอนตอนนี้ฟางผิงยังมีเม็ดยาอยู่ในมืออีก รางวัลเหล่านี้ไม่ได้มากนักเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของเขา

 

 

อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพราะฟางผิงได้ปล้นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง มันเป็นข้อยกเว้น

 

 

สำหรับนักเรียนวิชายุทธทั่วไป การสะสมทรัพยากรที่มีค่ากว่าล้านหยวนโดยไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัวเป็นแค่ความฝัน

 

 

เมื่อพิจารณาเรื่องนี้ ฟางผิงก็กล่าว “พี่หวัง ถ้ามีคนเข้าสองมหาลัยดังด้วยปราณและเลือด 135แคล จะมีรางวัลให้ไหม?”

 

 

หวังจินหยางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าไม่!”

 

 

“มหาลัยดังทั้งสองมีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากสมัครเข้าทุกปี พวกเขาจะมีรางวัลให้เตรียมผู้ฝึกยุทธได้ไง?”

 

 

“ถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ สองมหาลัยดังจะแย่งกันมอบข้อเสนอเพื่อชิงตัวคน”

 

 

“เอ้อ อีกเรื่อง อย่าใช้มาตรฐานของปีที่แล้วมาเทียบกับปีนี้ ปีก่อนข้อกำหนดปราณและเลือดขั้นต่ำของสองมหาลัยดังคือ 125แคล นั่นเป็นขั้นต่ำสุด และมีแต่คนที่ทำคะแนนสอบขั้นตอนอื่นได้เยอะเท่านั้น”

 

 

“ค่าเฉลี่ยปีที่แล้วอยู่ที่ 128แคล คนที่เข้าด้วยค่าปราณและเลือดเท่านี้จะอยู่ระดับล่างสุด”

 

 

“ส่วนปีนี้ ฉันเดาว่าประมาณ 130แคล”

 

 

“คนที่มี 135แคลจะเป็นยอดอัจฉริยะในหนานเจียง แต่กระนั้น ถ้าพวกเขาเข้ามหาลัยดังทั้งสองในปีนี้ พวกเขาจะอยู่อันดับล่างสุดเท่านั้น”

 

 

“ฟางผิง บางครั้งนายก็ต้องเป็นหัวไก่มากกว่าหางฟีนิกซ์!”

 

 

หวังจินหยางกล่าวอย่างจริงจัง “มีหลายคนเชื่อว่าการเป็นหัวไก่แทนหางฟีนิกซ์ก็เหมือนการหนี!”

 

 

“แต่อันที่จริง นั่นก็เป็นแค่สายตาแคบสั้น!”

 

 

“นายคิดว่ามหาลัยดังทั้งสองมีนักศึกษามากขนาดไหน?”

 

 

“ถ้านายอยู่ชนชั้นต่ำสุด ใครจะสนใจนายกัน? นายจะได้รับทรัพยากรแค่ไหนจากมหาลัย? อาจารย์จะแนะนำนายเป็นการส่วนตัวเหรอ?”

 

 

“ต่อให้มหาลัยมีทรัพยากร ภารกิจและรางวัลมากมาย แต่มันจะเหลือมาถึงนายเหรอ?”

 

 

“ในทางกลับกันมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไป!”

 

 

“บางคนอาจบอกว่าการอยู่ท่ามกลางคนที่อ่อนแอกว่านายจะทำให้นายตกต่ำลง…”

 

 

หวังจินหยางกล่าวอย่างมีความหมาย “แต่ฉันเห็นต่างกัน!”

 

 

“ถ้านายคิดว่าการอยู่สภาพแวดล้อมแบบนี้มันไม่มีแรงกดดัน นายก็กดดันตัวเองได้”

 

 

“ยกตัวอย่าง นายไปสร้างความวุ่นวายที่สองมหาลัยดังแล้วถูกทุบตีจนเกือบตาย จากนั้นรับประกันเลยว่านายจะมีแรงจูงใจ”

 

 

“พอเกิดเรื่องนั้นขึ้น มหาลัยจะทุ่มทรัพยากรให้นายเพื่อให้นายพัฒนาขึ้นและรักษาชื่อเสียงของมหาลัย”

 

 

“แต่ถ้านายเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาจากมหาลัยดัง และนายมาสร้างความวุ่นวายที่มหาลัยเรา ต่อให้นายถูกทุบตีจนเกือบตายแค่ไหน ก็ไม่มีใครเหลือบแลนาย”

 

 

พอเขาได้ยินแบบนั้น ฟางผิงก็รู้สึกถึงความผิดปกติอย่างอดไม่ได้ เขาพูดขึ้นโดยพลัน “พี่หวัง คุณคงไม่ได้เจอมากับตัวหรอกใช่ไหม?”

 

 

“แค่กๆๆ!”

 

 

หวังจินหยางไอเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบตรงๆ

 

 

นั่นเป็นเพราะเขาเคยทำมาก่อนจริงๆ!

 

 

ตอนที่เขากำลังทะลวงจากขั้นหนึ่งเป็นขั้นสอง ทรัพยากรเขาหมดและใช้ทุกอย่างที่มหาลัยมอบให้หมดแล้ว

 

 

สุดท้ายเฒ่าหวังจึงไปมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้พร้อมกับมีดดาบและถูกทุบตีจนเกือบตาย

 

 

พอเขากลับมหาลัย ผู้มีอำนาจของมหาลัยก็ตัดสินใจไม่ปล่อยให้อาจารย์มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย!

 

 

เฒ่าหวังมีอนาคตที่สดใสอยู่ข้างหน้า เพื่อไปถึงขั้นสอง เขาขาดทรัพยากรที่จำเป็นเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นใช่มั้ย? งั้นพวกเขาก็ตัดสินใจมอบทุกอย่างที่เขาต้องการ!

 

 

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไปถึงขั้นสองและได้แก้แค้น!

 

 

นั่นเป็นวิธีที่เฒ่าหวังบรรลุขั้นสอง

 

 

แน่นอน เรื่องอย่างนี้ได้ผลครั้งเดียว ถ้าเขาทำอีกแล้วล้มเหลว อาจารย์อาจไม่เชื่อง่ายๆ

 

 

นอกจากนี้มันยังได้ผลเพราะเขาเป็นนักศึกษาตัวอย่าง มหาลัยไม่โง่พอสนับสนุนคนที่ไม่มีอนาคต

 

 

อันที่จริงเฒ่าหวังรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ถ้าเขารู้มาก่อน เขาคงทำตอนมาถึงขั้นสองสูงสุด เพราะเขาจะได้ฉวยโอกาสเอาทรัพยากรมาได้มากขึ้น

 

 

โชคดีที่ ตอนที่เขากำลังทะลวงขั้นสาม เขาได้พบกับฟางผิง ดังนั้นทุกอย่างจึงราบรื่น

 

 

หลังเบี่ยงประเด็นไปเล็กน้อย หวังจินหยางก็กล่าว “ฉันโทรหานายเพื่อมาบอกเรื่องนี้แหละ ฉันหวังว่านายจะพยายามทำให้มาถึง 125แคลก่อนประเมิณร่างกาย…”

 

 

“125แคล?”

 

 

มุมปากฟางผิงกระตุก เขากำลังดูถูกอัจฉริยะฟางเหรอ?

 

 

หวังจินหยางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาพูดเสริม “แน่นอน ถ้านายสละทรัพยากรของนายและกินเม็ดยาทั้งหมด นายอาจมาถึง 130แคลด้วยซ้ำ”

 

 

“แต่มันไม่คุ้ม เม็ดยากับเงินสดที่นายจะได้รับเป็นรางวัลไม่พอกับที่เสียไปเลย”

 

 

ด้วยเม็ดยาเติมเต็มปราณและเลือดกับเม็ดยาปราณและเลือดทั้งหมดที่เขามี ถ้าฟางผิงกล้าวางเดิมพันและใช้เม็ดยาทั้งหมด มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะไปถึง 130แคล

 

 

อย่างไรก็ตามเม็ดยาทั้งหมดมีมูลค่าเท่าไหร่?

 

 

รางวัลที่ได้รับไม่คุ้มกับการทำเช่นนี้เลย

 

 

กลับกันเขาควรค่อยเป็นค่อยไปแทน ท้ายที่สุดแล้วเม็ดยาต้องใช้เวลาดูดซึม ถ้าเขาทานเป็นสิบเม็ดในครั้งเดียว เขาจะทำให้ผลยาสูญเปล่ามากเกินไป

 

 

ฟางผิงไม่อธิบายอะไร เขารีบพูด “พี่หวัง ถ้าปราณและเลือดผมสูงเกินไป ผมอาจดึงดูดความสนใจของคนอื่น…”

 

 

“แค่บอกไปว่าเป็นเพราะฉันให้เม็ดยานาย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่”

 

 

หวังจินหยางไม่สนใจเรื่องนี้ จากที่เขาประเมิณ ต่อให้ฟางผิงกินเม็ดยาทั้งหมดที่มีอยู่ เขาก็คงมีปราณและเลือดไม่เกิน 130แคล

 

 

ท้ายที่สุดแล้วเวลาก็เหลือน้อยเกินไป มันมีขีดจำกัดที่ร่างกายดูดซับผลของเม็ดยาได้

 

 

แต่ถ้าระดับปราณและเลือดค่อนข้างสูงแบบนั้น

 

 

มันย่อมเกิดความวุ่นวายในเมืองหยางเฉิงแน่นอน

 

 

อย่างไรก็ตามหวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามแล้ว และเขาก็เป็นอัจฉริยะของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง

 

 

ด้วยความสามารถและสถานะของเขา มันไม่น่าแปลกใจเกินไปนักที่เขาจะสนับสนุนรุ่นน้องและสร้างอัจฉริยะที่มีปราณและเลือด 130แคล

 

 

อันที่จริงฟางผิงกำลังบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’และจวงกง ดังนั้นเขาควรใช้ปราณและเลือดไปจำนวนมาก

 

 

หวังจินหยางคิดว่าเขาน่าจะไปถึง 125แคล

 

 

ส่วนใครจะมาประท้วงเรื่องสิทธิพิเศษที่เขามีให้ฟางผิง หวังจินหยางไม่สนใจเลย ถ้าพวกเขาไม่ชอบ งั้นก็ให้มาหาฉัน หวังจินหยาง ด้วยตัวเอง!

 

 

ฟางผิงรู้สึกผ่อนคลายหน่อยแล้ว เพราะเขามีเฒ่าหวังคอยป้องกันให้ทุกด้าน

 

 

เนื่องจากเฒ่าหวังบอกแล้วว่ามีปัญหาอะไรให้โยนไปหาเขาได้ งั้นฟางผิงก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนพลังของเขาแล้ว ต่อให้เขาไปถึง 135แคลหรือ 140แคลก็ตาม

 

 

เมื่อเขาคิดได้แบบนั้น ฟางผิงก็รีบขอบคุณหวังจินหยางอีกครั้ง

 

 

หวังจินหยางไม่ได้คิดมาก เขาให้คำแนะนำที่เต็มไปด้วยความจริงใจแก่ฟางผิง “ฟางผิง พิจารณาจากปูมหลังของเรา เส้นทางผู้ฝึกยุทธของเราจะยากกว่าคนอื่นๆอีก!”

 

 

“ถ้านายอยากไปให้ไกลขึ้น นายต้องคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา!”

 

 

“ส่วนตอนนี้ นายหยุดบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’ก่อนก็ได้ การบีบอัดปราณและเลือดจะทำให้มันลดลง”

 

 

“เมื่อเทียบกับ’เคล็ดเสริมสร้าง’ ผลประโยชน์ไม่กี่วันข้างหน้าต่างหากที่เป็นผลประโยชน์ที่แท้จริง!”

 

 

คำแนะนำที่เขามอบให้ มันไกลเกินกว่าระดับความสัมพันธ์ปัจจุบันของพวกเขาแล้ว

 

 

หวังจินหยางเข้าใจว่าเตรียมผู้ฝึกยุทธต้องการเคล็ดวิชาบ่มเพาะมากแค่ไหน แต่วันประเมิณร่างกายมีเวลาเหลือสิบวันเท่านั้น

 

 

ถ้าตอนนี้เขาวางเคล็ดบ่มเพาะไว้ก่อน ฟางผิงจะสามารถเพิ่มปราณและเลือดได้มากกว่า…แน่นอนตราบใดที่เขายังไม่ถึงขีดจำกัดปัจจุบันน่ะนะ

 

 

แต่ถ้าเขาไปถึงขีดจำกัด งั้นเคล็ดเสริมสร้างกับจวงกงจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

 

 

ฟางผิงไม่ได้ใส่ใจนักเช่นกัน เขารับรองด้วยเสียงหัวเราะและขอบคุณหวังจินหยางอีกครั้ง

 

 

…..

 

 

พวกเขาวางสาย

 

 

ฟางผิงพึมพำ “เพื่อสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม! ดูเหมือนฉันต้องตั้งเป้าที่ 135แคลขึ้นไป”

 

 

“แต่…”

 

 

ฟางผิงลังเลเล็กน้อย ถ้าเขาไปถึงข้อกำหนดต่ำสุดของมหาลัยดังทั้งสองจริงๆ เขาจะยังไปมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงอยู่เหรอ?

 

 

ถ้าเขาไม่เข้ามหาลัยวิชายุทธท้องถิ่น เขาจะไม่ได้รับรางวัลเหล่านั้น

 

 

“ช่างมันเถอะ ไว้ค่อยคิดหลังสอบ”

 

 

นอกจากข้อกำหนดปราณและเลือดที่สูง มาตรฐานสอบปฏิบัติ ศึกษาทั่วไป วัฒนธรรมศึกษายังสูงอีกเช่นกัน

 

 

ต่อให้ปราณและเลือดของฟางผิงถึงข้อกำหนด แต่สอบขั้นตอนอื่นอาจไม่ผ่านก็ได้

 

 

หลังสอบ ถ้าเขาผ่านข้อกำหนดทั้งหมดของสองมหาลัยดัง เขาค่อยมากังวลเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย

 

 

“นอกจากนี้ ดูเหมือนหวังจินหยางจะได้ข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นในมณฑลล่วงหน้า ชายคนนี้ไปได้สวยเลยทีเดียว”

 

 

ฟางผิงอดคิดไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงจริงๆ

 

 

ถ้าเขาก้าวข้ามเฒ่าหวัง อีกฝ่ายจะเสียใจไหมที่สนับสนุนเขาให้เข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียง?

 

 

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Global Gaowu, Global Martial Arts, Quan Qiu Gao Wu, Toàn Cầu Cao Võ, WBMA, 全球高武
Score 7.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2018 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง World’s Best Martial Artist เรื่องย่อ ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว! หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย! นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ “สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?” อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset