ตอนที่ 6 ความขัดสนจำกัดจินตนาการของฉัน
ย่านจิ่งหูหยวน
บล็อก 6 ห้อง 101
หลังพวกเขามาถึงบ้าน ฟางผิงก็เข้าห้องเล็กๆของตนแล้วปิดประตู
ด้านนอก ฟางหยวนเคาะประตูสองสามครั้ง แต่ฟางผิงก็ไม่ให้เธอเข้าไป ฟางหยวนโกรธมากจนอยากพังประตูเข้าไป
ในเวลานี้ ฟางผิงไม่สนใจว่าฟางหยวนโกรธหรือไม่
ตอนที่เขากำลังถอนเงิน ฟางผิงยังไม่พบปัญหา ตอนนี้เขาจำเป็นต้องหาที่เงียบๆเพื่อทำความเข้าใจเพิ่ม
…..
ในห้องเล็กๆของเขา
เงินหมื่นหยวนที่เขาถอนมาวางอยู่ด้านซ้าย ที่ด้านขวาเป็นแบงค์สิบหยวน นี่เป็นเงินทั้งหมดของฟางผิง
ตอนนี้ฟางผิงกลับเป็นปกติแล้ว แต่เขาก็ยังมีสีหน้างุนงง
ตอนที่เขาถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มแล้วหยิบเงินสองพันหยวนมาไว้ในมือ สายตาเขาก็สั่นไหว เขาเห็นบางอย่างปรากฏในสายตาราวกับว่าวุ้นตาเขาเสื่อม
ฟางผิงนิ่งค้างไปเพราะเหตุนี้
ถ้าเขาเป็นวุ้นตาเสื่อม สายตาเขาจะพร่ามัว ไม่ใช่มีตัวหนังสือสามบรรทัดที่ชัดเจนแบบนี้
ฟางผิงยังจำได้ว่าตัวหนังสือสามบรรทัดมีดังนี้
ทรัพย์สิน : 2000
ปราณและเลือด : 1
จิตใจ : 1
ตัวหนังสือสั้นและเรียบง่าย สิ่งแรกที่ฟางผิงคิดคือมันเป็นระบบ
ฟางผิงไม่ได้รู้สึกแปลกกับของแบบนี้ ต่อให้เขาไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง
จากนั้นฟางผิงก็พบว่าตัวหนังสือที่ปรากฏในสายตาเขาเรียบง่ายเหลือเกิน
มันมีตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว ไม่มีคำอธิบายหรือคู่มือ ระบบไม่มีคำแนะนำมาให้เลยเหรอ?
หรือมันจะเป็นของคุณภาพต่ำในสายการผลิต?
มันปรากฏกระทันหันเกินไปเช่นกัน ฟางผิงไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวด้วยซ้ำ
ถ้ามันโผล่มาตอนที่เขาตื่นในห้องเรียนตอนวันก่อน ฟางผิงคงยอมรับการมีอยู่ของมันโดยไม่มีคำถามใดๆ แต่นี่ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว ทำไมจู่ๆมันถึงโผล่มาล่ะ?
เมื่อนึกถึงตัวเลข 2000 ในแถบทรัพย์สิน ฟางผิงก็พอเข้าใจคร่าวๆแล้ว
จากนั้นเขาก็ทำการทดลองเพิ่มเพื่อยืนยันว่ามันเกี่ยวข้องกับเงินไหม
ต่อมาฟางผิงก็เข้าใจแถบทรัพย์สิน
หลังจากทดลองหลายต่อหลายครั้ง ฟางผิงก็ยังพบสิ่งที่อธิบายได้ยาก
ตัวอย่างแรก เมื่อวานเขามีเงินอยู่ยี่สิบแปดหยวน และตอนนี้เขาเหลืออยู่สิบหยวน
ทำไมเมื่อวานมันถึงไม่โผล่มาล่ะ?
หลังพิจารณาดู เขาก็คาดเดาได้ว่าเงินสิบหยวนที่เหลือของเขาไม่ถูกนับเป็นทรัพย์สินของเขา ฟางผิงพอเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง
พูดง่ายๆ เขาจนเกินไป!
ระบบกำหนดทรัพย์สินเอาไว้ มันจะไม่สนใจปริมาณต่ำกว่าร้อยหยวน ถ้าตอนเขากลับมาเกิดใหม่มีเงินมากกว่าร้อยหยวนติดตัว เขาคงรู้ว่ามีระบบเร็วกว่านี้
ฟางผิงจนเกินไป!
ถ้าไม่ใช่เพราะค่าสอบวิชายุทธ โอกาสที่พ่อแม่ให้เงินเขาทีเดียวร้อยหยวนคงต่ำมาก กว่าฟางผิงจะรู้เรื่องนี้คงใช้เวลาสักพักใหญ่ๆเลย
วันก่อนฟางผิงยังบ่นอยู่เลยว่าพระเจ้าไม่ชอบเขา ทำร้ายคนน่าสงสารอย่างเขา
จากหลักฐานปัจจุบัน เขาเข้าใจท่านผิดไป ปัญหาหลักคือความขัดสนของเขา
“ความจนเป็นต้นเหตุแท้ๆ!”
ฟางผิงคิดอย่างถี่ถ้วนและรู้สึกสะเทือน สมัยนี้แม้แต่พระเจ้าก็ดูถูกคนจน
ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของคนจนบ้างมั้ย?
ถ้าเขาไม่มีโอกาสจับเงินร้อยหยวน มันไม่หมายความว่าระบบจะเสียเปล่างั้นเหรอ?
แน่นอน ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่พูดถึงนั้นต่ำมาก
ประเด็นสองคือ เมื่อฟางผิงถอนเงิน เขาก็ค้นพบสิ่งที่ไม่ธรรมดา
หลังทรัพย์สินเพิ่มถึงหมื่น ฟางผิงก็ถอนเงินจากบัญชีเพิ่ม แต่ตัวเลขไม่ได้เพิ่มขึ้น
หลังทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ตัวเลขก็หยุดอยู่ที่ 10000 และไม่ขยับอีก
มันมีตัวอักษรไม่กี่ตัวเท่านั้น ไม่มีเสียงอะไรในใจที่อธิบายอะไรให้เขา ไม่มีคู่มือ ดังนั้นฟางผิงจึงต้องคาดเดาเอง
จากที่ฟางผิงเข้าใจ เงินหมื่นหยวนเป็นเงินที่พ่อแม่ให้เขาไปสมัครสอบ ดังนั้นมันควรเป็นของเขา
เงินที่เขาถอนมาทีหลังเป็นของพ่อแม่
ทรัพย์สินน่าจะคำนวณจากทรัพย์สินของเขา
ถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วแค่จับเงินตัวเลขทรัพย์สินก็เพิ่ม ฟางผิงคงไม่คิดทำอะไรนอกจากหางานธนาคาร เขาจะได้จับเงินสดได้ทุกวัน
ถ้าเขาไม่ทำงานธนาคาร มันก็มีอาชีพอื่นที่เข้าถึงเงิน บางอาชีพก็ไม่ต้องใช้คุณสมบัติสูง เขาสามารถเพิ่มทรัพย์สินได้อย่างไม่มีจำกัดผ่านการทำงานเหล่านี้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ก็ตามว่าการเพิ่มทรัพย์สินของตนเองมันดียังไง
แต่ต่อให้เขาไม่รู้มันก็ไม่เป็นไร ฟางผิงรู้ว่ามันไม่เป็นอันตราย
“ทรัพย์สินคำนวณจากทรัพย์สินของฉัน ระบบค่อนข้างฉลาดผิดกับแถบข้อมูลที่เรียบง่าย แต่ฉันรับได้”
ฟางผิงพูดกับตัวเอง จากนั้นเขาก็คิ้วขมวดอีกครั้ง เขาพึมพำ “มันจำกัดแค่เงินสดเหรอ? หรือรวมของที่มีค่าด้วย? อย่างพวกทองพวกเพชรพลอยล่ะ?”
ในตอนที่เขาไม่ค่อยมีเงินมันยังไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดเขารวยล่ะ? มันคงไม่จำกัดเฉพาะเงินสดใช่ไหม?
นอกจากนี้เขาจำเป็นต้องสัมผัสกับทรัพย์สินเพื่อเพิ่มตัวเลขเหรอ?
ในสังคมสมัยใหม่ มันมีของอย่างหุ้นและเงินเสมือนที่เป็นทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตน ต่อให้เขาอยากจับ เขาก็จับไม่ได้
ฟางผิงเสียใจอย่างสุดซึ้ง ความขัดสนเป็นเหตุให้เขาทำการอนุมานไม่ได้
ถ้าเขามีทองมีเพชรพลอยหรือมีหุ้นราคาสูงอยู่ในครอบครอง เขาถึงจะทำการทดลองได้ แต่ตอนนี้เขาทำได้แต่วางเรื่องนี้ไว้ก่อนจนกว่าเขาจะมีปัญญาทำ
“ฉันคิดถูก ความขัดสนจำกัดจินตนาการของฉัน…”
ฟางผิงไม่รีบพิสูจน์การคาดเดาของตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ยังไงเวลานั้นก็มาถึงแน่นอน
นอกจากสองประเด็นนี้ที่เขามีคำตอบแล้ว ฟางผิงยังมีเรื่องอื่นอีก
คำนวณทรัพย์สินนี่นับแค่ทรัพย์สินสุทธิ หรือรวมหนี้สินด้วย?
คำถามฟังดูขัดแย้ง แต่มันเกี่ยวข้องกับขั้นตอนต่อไปที่ฟางผิงจะทำ
ครั้งนี้เป็นพ่อแม่มอบเงินหมื่นหยวนให้เขา มันนับได้ว่าเป็นของขวัญที่เขาไม่ต้องใช้คืน
มันไม่ได้เป็นเงินที่เขาหามาเอง ถ้าระบบนับทรัพย์สินของเขาเป็นทรัพย์สิน แล้วถ้าเขายืมเงินมา มันจะนับด้วยไหม?
นอกจากนี้จำนวนจะลดลงไหมถ้าเขาจ่ายเงินหมื่นหยวนให้อาจารย์?
ถ้าเขามีเงิน เขาก็ต้องใช้เงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าทรัพย์สินของเขาลดลงหลังจากที่เขาใช้เงิน เกิดเขาอยากให้ตัวเลขทรัพย์สินมีเยอะๆ เขาคงกลายเป็นคนขี้เหนียวพอดี
ฟางผิงไม่สามารถหาคำตอบของคำถามนี้ได้เนื่องจากสถานะการเงินปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงทิ้งคำถามนี้ไปก่อน
ฟางผิงให้ความสนใจกับคำว่าปราณและเลือดกับจิตใจมากที่สุด
ที่จริงฟางผิงพอคาดเดาได้บ้างแล้ว
ตอนที่เขาท่องเว็บเมื่อวาน เขาเจอคำว่าปราณและเลือดกับคำว่าจิตใจค่อนข้างบ่อย
ผู้ฝึกยุทธสมัยใหม่มีอยู่ไม่มากนัก แต่ก็ไม่น้อยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลต่างๆเผยแพร่อยู่บนอินเตอร์เน็ตเสมอ
แม้แต่คนธรรมดาก็รู้เรื่อง ต่อให้มันไม่ละเอียด แต่พวกเขาก็รู้ว่าปราณและจิตใจเป็นพื้นฐานของวิชายุทธ
มีผู้ฝึกยุทธระดับต่ำพูดถึงจิตใจ พวกเขาบอกว่าไม่ต้องสนใจมันมากนัก
แต่บนโลกอินเตอร์เน็ตก็มีบางคนให้ความเห็นว่าความแตกต่างที่สำคัญระหว่างผู้ฝึกยุทธระดับสูง โดยเฉพาะเหล่าปรมาจารย์ กับเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับต่ำคือเรื่องของจิตใจ
นี่เป็นปัญหาที่ห่างไกลจากฟางผิงในปัจจุบัน ผู้ฝึกยุทธระดับต่ำให้ความสำคัญกับปราณและเลือดก่อน
ปราณและเลือดที่อุดมสมบูรณ์หมายถึงการไร้ซึ่งความเจ็บป่วย
แม้แต่ในโลกก่อนของฟางผิง การใช้ปราณและเลือดก็เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป แพทย์แผนจีนโบราณใช้การบำรุงปราณและเลือดในการรักษาสุขภาพของคน
คนที่มีปราณและเลือดที่สมบูรณ์จะมีสุขภาพดีกว่าใครเพื่อน
พวกอาหารบำรุงที่จริงก็เป็นการบำรุงปราณและเลือด
คนที่มีปราณและเลือดสมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกยุทธเสมอไป แต่ผู้ฝึกยุทธจำเป็นต้องมีปราณและเลือดสมบูรณ์
การฝึกฝนวิชายุทธไม่ใช่การทำสมาธิ มันต่างจากลัทธิเต๋าอย่างมาก
ผู้ฝึกยุทธอันที่จริงคือคนธรรมดาที่ฝึกฝนจนถึงขีดจำกัดและแม้แต่ทำลายขีดจำกัดของตนเอง นี่แหละคือที่มาของผู้ฝึกยุทธ
ด้วยปราณและเลือดที่สมบูรณ์ ร่างกายจะมีสุขภาพดีและสามารถอดทนต่อการฝึกฝนและความอ่อนล้าเพื่อสร้างรากฐานให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
“อีกนัยนึงก็คือ ถ้าเพิ่มปราณและเลือดจะทำให้เป็นผู้ฝึกยุทธได้ง่ายขึ้น”
“หลังฉันกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ฉันจะทนต่อการฝึกฝนที่ใกล้จะถึงได้ง่ายขึ้นซึ่งจะทำให้ฉันบรรลุขั้นที่สูงขึ้นได้ทีละขั้น…”
ฟางผิงพึมพำ จากนั้นเขาก็ถามตัวเอง “ถ้ามีทรัพย์สินแสดงอยู่ด้วย และปราณและเลือดกับจิตใจถูกวัดเป็นตัวเลข งั้นมันก็หมายความว่าฉันสามารถแปลงทรัพย์สินเป็นทั้งสองได้ใช่ไหม? แล้วอัตราแลกเปลี่ยนมันเท่าไหร่ล่ะ?”
อัตราแลกเปลี่ยน 1 : 1 ไม่ใช่อัตราที่ฟางผิงคิดว่ามันเป็นไปได้
ตอนนี้ ปราณและเลือดกับจิตใจของเขามี 1 ทั้งคู่
ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 1 : 1 มันก็จะหมายความว่าเงินหนึ่งหยวนก็พอเพิ่มปราณและเลือดของเขาเป็นสองเท่าของคนธรรมดาแล้ว ถ้ามันง่ายแบบนั้น ต่อให้มีคนมาขู่ฆ่าเขา เขาก็ไม่เชื่อ
“แล้วฉันจะแปลงมันยังไง?”
ฟางผิงพูดอย่างจนปัญญา “อย่างน้อยก็ให้คู่มือฉันหน่อยสิ มาคิดเองมันยากนะ”
ตอนนี้ฟางผิงสามารถเห็นตัวเลขสามบรรทัดในสายตาได้ตราบใดที่เขาตั้งสมาธิ
หลังจ้องมองตัวเลขทั้งสามสักครู่ ฟางผิงก็พูดขึ้นมาเป็นการทดลอง “ระบบ ระบบ เพิ่มปราณและเลือดให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
“คุณระบบ ฉันจะแปลงทรัพย์สินเป็นปราณและเลือดได้ไหม?”
“…”
“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีชีวิตอยู่ไหม? ท่านคุยกับผมหน่อยได้ไหม?”
“…”
“เซซามี จงเปิด?”
“…”
“กระต่ายน้อยเชื่อฟัง?”
(ผู้แปล : เป็นประโยคแรกของเพลงกล่อมเด็ก ประโยคถัดไปเป็น รีบๆเปิดประตู)
“…”
“ซันชิงไจ้ฉาง? นะโมอมิตพุทธ? ขอพระเจ้าคุ้มครอง…”
“บัดซบ!”
เขาลองอยู่พักนึง แต่ตัวเลขทั้งสามก็ไม่เปลี่ยนแปลง ฟางผิงยอมแพ้ ดูเหมือนตัวเลขทั้งสามแถวจะไม่เกี่ยวข้องกับการแปลงเลย
หลังพิจารณาอยู่พักใหญ่ ฟางผิงก็จ้องมองตัวเลขเหล่านี้อย่างสุดกำลัง เขาพยายามหาดูว่ามันจะมีเครื่องหมายบวกอยู่หลังตัวเลขเหล่านี้โดยที่เขามองข้ามไปไหม
น่าเศร้าที่มันไม่มี
ฟางผิงสับสนไปต่อไม่ถูก เขาไม่รู้จะใช้งานระบบยังไง มันคงไม่ได้พังไปแล้วหรอกนะ?
มันเชื่อถือได้ไหมเนี่ย?
เขาบ่นในใจ ถ้าระบบทำตามที่เขาต้องการมันคงดี ตอนนี้มันทำให้เขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน มันเคยคิดถึงความรู้สึกเขาไหม?
“เพิ่มปราณและเลือดให้ฉันเดี๋ยวนี้ หรือจะให้ฉันทุบตีแกจนตาย!”
ฟางผิงถลึงตามองตัวเลขและกล่าวโดยไม่ได้คิด แต่แล้วจู่ๆตัวเลขก็เปลี่ยนไปหลังเขาพูดจบ
ทรัพย์สิน : 0
ปราณและเลือด : 1.1
จิตใจ : 1
“…”
“เชี่ย!”
ฟางผิงตะลึง มีวิธีแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?
เขาต้องขู่ระบบมันถึงจะได้ผลเหรอ?
ขณะที่เขาจ้องมองด้วยความสับสน เขาก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
แต่ความรู้สึกนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ฟางผิงถอนหายใจออกมายาวเหยียด เขารู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้นกว่าแต่ก่อน
ถ้าให้เขาอธิบายความรู้สึกนี้ มันคงเหมือนตอนผู้ป่วยโรคหอบหายจากอาการหอบ หรือเหมือนกับตอนหายจากโรคโลหิตจาง
ถ้าให้เขาพูดเกินจริงขึ้นหน่อย เขาจะบอกเลยว่าเขารู้สึกเหมือนแรงดึงดูดของโลกเหมือนจะน้อยลง แม้ว่าความรู้สึกนี้จะคลุมเครือก็ตาม
“มันสบายจริงๆ!”
เขาเพิ่มปราณและเลือด 0.1 เท่านั้น แต่เขารู้สึกดีกว่าถึงจุดสุดยอดเสียอีก
ความรู้สึกผ่อนคลายนี้คล้ายกับตอนถึงจุดสุดยอด มันอยู่ไม่นานและหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงมันจะหายไป แต่ฟางผิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้น เขาเข้าใจตัวเองที่สุด เขาจึงมั่นใจว่ามีบางอย่างในร่างกายเขาเปลี่ยนไป
ฟางผิงขมวดคิ้วทันทีเมื่อสังเกตเห็นว่าตัวเลขทรัพย์สินเขาเป็นศูนย์
เขารู้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนคงไม่สูงนัก แต่ 100,000 : 1 แพงเกินไป!
ทรัพย์สิน 10,000 แต้มเพิ่มปราณและเลือดได้ 0.1 เขาไม่ได้กลายเป็นยอดมนุษย์ อย่างมากเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเล็กน้อย
ถ้าเขาอยากบรรลุมาตรฐานของผู้ฝึกยุทธ เขาต้องใช้ทรัพย์สินมากแค่ไหน?
เมื่อนึกเรื่องนี้ ฟางผิงก็หันมามองที่โต๊ะเรียนฉับพลัน เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าธนบัตรสีแดงยังอยู่ โชคดีที่กรณีที่เลวร้ายที่สุดไม่ได้เกิดขึ้น
ถ้าการใช้ทรัพย์สินหมายความว่าเงินถูกใช้ไปด้วย เขาคงไม่รู้จะไปอธิบายเรื่องนี้กับพ่อแม่ยังไง
เขาหยิบเงินไว้ในมือและอยู่ในห้วงความคิดอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าอนาคตเขาต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน ถ้าเขาอยากผ่านการสอบวิชายุทธแล้วกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ในสถานการณ์แบบนี้ หนทางที่ง่ายที่สุดคือแปลงทรัพย์สินเป็นปราณและเลือด
ถ้าเขาสอบเข้าคณะวิชายุทธได้ เขาจะต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อทรัพยากร
พูดอีกนัยนึงก็คือ ทุกอย่างต้องใช้เงิน
“คนจนไม่มีสิทธิ์แข็งแกร่งจริงๆ! นี่เป็นการบังคับให้ฉันคิดวิธีหาเงินชัดๆ!”