ตอนที่ 67 กลับหยางเฉิง
ในออฟฟิศรองผู้อำนวยการ
จางหยงคิดพิจารณาอยู่ครู่นึงแล้วพูด “เหตุการณ์นี้ไม่ได้เจาะจงเป้าหมายที่เธอ…”
“กองทัพและกรมสืบสวนได้จัดกองกำลังทำการกวาดล้างคราวเดียว”
“การแก้แค้นที่เธอกังวลจะไม่เกิดขึ้น”
“แน่นอน ถ้าเธอยังกังวลอยู่ ทางกรมสืบสวนส่งคนไปแอบปกป้องเธอได้จนกว่าเหตุการณ์นี้จะจบลง…”
ฟางผิงคิดว่าความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกแก้แค้นนั้นต่ำมาก นอกจากนี้เขาคงรู้สึกอึดอัดถ้ามีคนคอยเฝ้าดูเขาตลอด
แต่เขาก็ยังพยักหน้ายอมรับ เพื่อชิวิตของตนเองและความปลอดภัยของครอบครัว “ถ้าเป็นไปได้ ผมหวังว่าทั้งผมและครอบครัวจะได้รับการคุ้มครอง”
“ไม่มีปัญหา เราจะจัดการเรื่องนี้ให้หลังเธอกลับเมืองหยางเฉิง”
จางหยงแทบอยากให้เด็กคนนี้จากไปโดยเร็ว ทั้งนี้การคุ้มครองเขาจะปล่อยให้ลูกน้องจัดการ เขาไม่จำเป็นต้องมากังวลเรื่องนี้
จากนั้นเขาก็กล่าวชมฟางผิง ทำนองว่า’ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเด็ก’ ‘สุดยอด’ ‘อนาคตสดใส’ บลาๆๆ…
ถ้าเป็นนักเรียนคนอื่นคงหัวหมุนกับคำชมเขาแล้ว
จางหยงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองและรองผู้อำนวยการของกรมสืบสวน เขาถือเป็นบุคคลสำคัญของเมืองรุ่ยหยาง
ฟางผิงไม่ได้สนใจคำชม เขาปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างอายๆ “ผู้อำนวยการจาง ผมได้ยินพี่ชายบอกว่ามีรางวัลให้คนที่ช่วยรัฐบาลจับกุมอาชญากรใช่ไหม? โดยเฉพาะอาชญากรที่เป็นผู้ฝึกยุทธ”
จางหยงมุมปากกระตุก คำชมเขาไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม?
หลังคิดเล็กน้อย จางหยงก็อธิบาย “มี แต่ต้องทำตามกระบวนการ”
“มันมีภารกิจแบบนี้ แต่มันเป็นภารกิจของนักศึกษามหาลัยวิชายุทธ”
“บางครั้งกรมสืบสวนก็ขาดคน เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ เราจะทำงานร่วมกับมหาลัยวิชายุทธเพื่อออกภารกิจ”
“เรามีแค่ข้อตกลงกับมหาลัยวิชายุทธ เราไม่ได้มอบหมายภารกิจให้ตัวบุคคล ไม่งั้นมันจะวุ่นวาย…”
มีผู้ฝึกยุทธทั่วไปอยู่ค่อนข้างมาก ถ้าทุกคนเป็นเหมือนกับกรมสืบสวน มีสิทธิ์ตัดสินโทษอาชญากร งั้นจะมีกรมสืบสวนไปทำไม?
กรมสืบสวนทำงานร่วมกับมหาลัยวิชายุทธเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีภารกิจที่มาจากกองทัพด้วยเช่นกัน
ในสายตาของสาธารณะ มหาลัยวิชายุทธก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ และนักศึกษามหาลัยวิชายุทธก็เป็นคนของรัฐ
บังเอิญว่ามหาลัยวิชายุทธก็พยายามเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกฝนมากขึ้น ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นสถานการณ์ที่วินๆทั้งสองฝ่าย มีแต่พวกหวังจินหยางเท่านั้นที่มีโอกาสทำภารกิจ
ฟางผิงไม่ใช่นักศึกษามหาลัยวิชายุทธ ต่อให้เขามีส่วนช่วยเหลือจริง การมอบรางวัลให้เขาก็เป็นเรื่องขัดต่อระเบียบ
ฟางผิงไม่ชอบใจ เขาถกแขนเสื้อขึ้นโชวแขนที่ช้ำเลือดตรงหน้าจางหยง
“ผมได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ผมไม่รู้ว่ามันจะส่งผลต่อการฝึกยุทธในอนาคตผมไหม…”
จางหยงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาครุ่นคิดอยู่พักนึง “ฟางผิง มันขัดต่อระเบียบจริงๆ”
“หน่วยงานของรัฐไม่ใช่วิสาหกิจ เราต้องทำตามระเบียบ”
“สมมุติ…”
เมื่อพิจารณาว่าฟางผิงก็คืองาน จางหยงจึงพิจารณาอยู่ครู่นึง “เราจะรายงานเรื่องนี้กับเบื้องบนและดูว่าจะมอบรางวัลตอบแทนเธอในนาม’ความกล้าหาญ’ เธอคิดว่าไง?”
“อ่า มันประมาณเท่าไหร่เหรอ?” ฟางผิงใช้น้ำเสียงไร้เดียงสา
จางหยงกระแอมเบาๆ “มันอาจไม่มาก แต่เราจะพูดให้เธอเต็มที่…”
มันไม่มาก นั่นคือสิ่งที่เขาจะสื่อ
เขาได้มากที่สุดก็ห้าหมื่นหยวน
ต่ำสุดคือไม่ถึงหมื่นหยวน
ส่วนเงินหลักแสนถึงหลักล้านที่เขากำลังคิด เอ่อ เขาได้แต่ฝันแหละ
ภารกิจที่หวังจินหยางรับมา ตามล่าหวงปิน ผู้ฝึกยุทธขั้นสอง เขาได้แค่สามแสนหยวนเท่านั้น
หลังจากที่หวงปินหนีไป เจ้าหน้าที่เมืองหยางเฉิงถึงได้เพิ่มเงินรางวัล
ครั้งนี้ฟางผิงแค่ให้ความช่วยเหลือในการจับกุมเท่านั้น เขาไม่ได้กำราบหรือฆ่าอาชญากร รางวัลมอบให้เขาก็เพราะอิทธิพลของหวังจินหยางทั้งสิ้น
เมื่อฟางผิงเห็นสีหน้าอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่าเขาคงไม่ได้อะไรมากนัก
ต้องเดินเรื่อง ต้องใช้ชื่อของหวังจินหยางเพื่อเงินไม่กี่พันหยวน…มันไม่คุ้มเลย
แถมฟางผิงยังกลัวว่าเรื่องจะบานปลายจนดึงดูดความสนใจของคนบ้าพวกนั้น จนพวกมันกลับมาแก้แค้นเขา
ถ้าเขาได้เงินสดหรือเม็ดยาสองสักสามเม็ด ฟางผิงจะยอมรับด้วยความยินดี
ตอนนี้มันจำเป็นต้องเดินเรื่อง ฟางผิงจึงทำได้แต่ปล่อยมันไป เขากล่าวทำเป็นใจกว้าง “ไม่เป็นไรครับ ในฐานะคนหนุ่มยุคใหม่ การทำงานให้กับรัฐบาลเพื่อกำจัดอาชญากรเป็นหน้าที่ของผม”
“นอกจากนี้ ผมยังเป็นหนี้ผู้อำนวยการจางที่มาช่วยชีวิตผม เมื่อกี้ผมแค่ล้อเล่นเฉยๆ โปรดอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเลย”
คราวนี้ถึงตาจางหยงตกใจ เมื่อกี้ชายหนุ่มยังมีท่าทีขี้งกและจะต่อรองราคา เขาเกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ
แต่ตอนนี้จู่ๆชายหนุ่มก็เกิดคุยง่ายขึ้นมา!
แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่ฟางผิงเลิกรบกวนเขา จางหยงยิ้มอย่างรวดเร็ว “ฟางผิง เธอมีน้ำใจตามคาด! ถ้าเธอเข้ามหาลัย เธอจะทะยานเป็นนักศึกษาชั้นนำของมหาลัยแน่นอน…”
จางหยงพูดด้วยท่าทีแสดงถึงความเกรงใจ
เมื่อไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เขาก็ปฏิบัติต่อฟางผิงสุภาพกว่าเดิม
เขายังพยายามตอบคำถามฟางผิงอย่างเต็มที่อีกด้วย
เมื่อฟางผิงกำลังจะกลับ เขาก็ยืนกรานจะไปส่งด้วยตัวเอง ฟางผิงก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ฟางผิงถามขณะเดินอยู่ด้วยกัน “ผู้อำนวยการจาง เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติเหรอ?”
“ไม่ใช่ พวกมันเป็นแค่ตัวตลก สมัยนี้เหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้เกิดได้ยาก”
“ส่วนทำไมครั้งนี้ถึงเกิดขึ้นก็…”
จางหยงหยุดพูด เขาลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ยังตอบคำถามของฟางผิงต่อ “เหตุผลที่ครั้งนี้ถึงเกิดเรื่องขึ้นเกี่ยวข้องกับผู้สำเร็จราชการจางนำทีมไปชวนสู่”
“ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดของหนานเจียงส่วนหนึ่งไปที่ชวนสู่”
“อาชญากรพวกนี้เห็นโอกาส พวกมันถึงกำเริบเสิบสานได้ถึงเพียงนี้!”
“ผู้สำเร็จราชการจางไปมณฑลอื่นงั้นหรอ?”
ฟางผิงพึมพำ เขาถามคำถามอย่างไม่ลดละ ตัดสินจากสีหน้าจางหยง นี่คงเป็นขีดจำกัดข้อมูลที่เขาบอกได้
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงที่จอดรถ ฟางผิงก็นึกถึงคำถามนึงที่เคยถามคนอื่นไปแล้ว และถามขึ้นมาอีกครั้ง “ผู้อำนวยการจาง คุณบอกว่าบางครั้งภารกิจช่วยเหลือการจับกุมอาชาญกรถูกมอบหมายให้นักศึกษามหาลัยวิชายุทธ”
“มันหมายความว่านักศึกษามหาลัยวิชายุทธทุกคนเชี่ยวชาญการต่อสู้งั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง!”
“แต่ตอนที่ผมคุยกับผู้อำนวยการถานจากเมืองหยางเฉิง เขาบอกผมว่าเพลงยุทธไม่จำเป็น…”
จางหยงยิ้มเยาะ “อธิบายง่ายๆก็คือ ผู้ฝึกยุทธสมัยใหม่แบ่งออกเป็นสามประเภทหลักๆ”
“หนึ่ง นักศึกษามหาลัยวิชายุทธ”
“สอง ผู้ฝึกยุทธจากกองทัพ”
“สาม ผู้ฝึกยุทธทั่วไป”
“หรืออาจจะเพิ่มอีกประเภทก็ได้ คนที่มาจากตระกูลผู้ฝึกยุทธ แต่คนเหล่านี้มักเข้าร่วมกับมหาลัยวิชายุทธ”
“ทั้งนักศึกษามหาลัยวิชายุทธและคนที่มาจากกองทัพต่างให้ความสำคัญกับกระบวนท่าจริง ขั้นพลังเป็นเรื่องรองลงมา”
“ทั้งสองประเภทเป็นผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่”
“ประเภทที่สาม ผู้ฝึกยุทธทั่วไปไม่ได้รับการยอมรับในวงการยุทธ”
“คนส่วนใหญ่คิดว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไปขาดความรู้และกระบวนยุทธ”
“ถ้าไม่มีทั้งความรู้และเพลงยุทธ จะเป็นผู้ฝึกยุทธที่เรียกว่าผู้ฝึกยุทธได้อย่างไร?”
“พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่ด้อยค่า!”
“นักศึกษามหาลัยวิชายุทธจะเชี่ยวชาญทั้งสอง”
“ผู้ฝึกยุทธในกองทัพอาจขาดความรู้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาเชี่ยวชาญการต่อสู้อย่างยิ่ง”
“แต่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปส่วนใหญ่ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากขั้นพลัง”
“ผู้อำนวยการถานที่เธอพูดถึงน่าจะเป็นถานเจิ้นผิงใช่ไหม?”
“เขาเรียนทุกอย่างมาจากคลาสเรียนเสริม มีหลายสิ่งที่เขาไม่รู้ เธอไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด”
จางหยงดูถูกถานเจิ้นผิง เขาไม่ได้ปกปิดความรู้สึกตัวเองเลยตอนที่บอกฟางผิงว่าไม่ต้องเชื่อทุกอย่างที่ถานเจิ้นผิงพูด
ผู้ฝึกยุทธประเภทนี้เป็นผู้ฝึกยุทธที่มีแต่ชื่อเพื่อรับสิทธิพิเศษบางอย่างเท่านั้น
พวกเขาไม่ถูกยอมรับในวงการ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะพิสูจน์ตัวเองด้วยความแข็งแกร่ง
หลังได้ยินคำพูดเขา ฟางผิงก็กล่าวตามความคิด “หมายความว่าผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงต้องมีความสามารถในการต่อสู้ แทนที่จะมีดีแค่ภายนอก…”
“ถูกต้อง!”
“แต่…ในยุคสมัยนี้ เพลงยุทธของผู้ฝึกยุทธจะมีประโยชน์หรอ?”
เมื่อฟางผิงถามจบ จางหยงก็ยิ้มมุมปาก “เธอคิดยังไง?”
“ไม่ใช่ว่าเธอรู้สึกถึงความสำคัญของมันตอนเจอเหตุการณ์ในวันนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“แม้ว่ามันจะไม่ค่อยเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีวันเกิดขึ้น”
“เธอคิดว่าถ้าวันนี้เธอไม่มีความสามารถระดับนึง เธอจะรอดมาได้เหรอ?”
“คู่ต่อสู้ของเธอก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งหน้าใหม่เหมือนกัน ถ้าพวกเขาไปถึงขั้นสาม อาวุธปืนก็สร้างความเสียหายให้พวกเขาได้จำกัด”
“เราจะใช้งานรถถังทุกครั้งที่ทำภารกิจไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
แต่ก็มีเรื่องบางอย่างที่จางหยงไม่ได้ยกมาพูด ยกตัวอย่างเช่น ถ้ำใต้ดิน…
แน่นอน เขาไม่รู้เรื่องนี้มากนัก เพราะขั้นพลังเขาไม่สูงพอ ตอนนี้เขาอยู่ขั้นสองเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์ปกติ มีแต่ขั้นสามที่พอจะรู้รายละเอียดบ้าง ผู้ฝึกยุทธขั้นสองอย่างเขาส่วนใหญ่รับผิดชอบงานที่อยู่ในหน้าที่ของตน
แม้ว่าจางหยงจะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอะไร แต่ฟางผิงก็สัมผัสได้แล้ว
นับตั้งแต่วันนั้นมามันนานแค่ไหนเชียว?
ตอนแรกคือหวงปิน ตอนนี้เป็นลัทธินอกรีต บางครั้งสังคมนี้ก็ไม่ได้สงบสุขอย่างที่เขาคิด
ถ้าเขาไม่ก้าวย่างสู่ยุทธภพ ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาไปตลอดชีวิต เขาอาจไม่รู้เรื่องนี้ไปทั้งชีวิต
ตอนนี้เขาเข้าสู่ยุทธภพแล้ว เขาจะยอมพาตัวเองอยู่เมืองหยางเฉิงไปทั้งชีวิตเหมือนอย่างถานเจิ้นผิงได้อย่างไร?
เมืองหยางเฉิงเล็กเกินไป ถานเจิ้นผิงมีความสุขที่ได้อยู่เมืองเล็กๆ แต่เขาไม่ใช่
แต่เดิมเขาลังเลอยู่ว่าควรเรียนเพลงยุทธไว้ป้องกันตัวบ้างไหม
ตอนนี้ดูเหมือนมันจะเป็นการบังคับแล้ว!
เขาไม่รู้ว่าเขาต้องมีปราณและเลือดมากเท่าไหร่ก่อนที่เขาจะทะลวงขั้นหนึ่งได้ อย่างไรก็ตามการฝึกกระบวนยุทธเป็นสิ่งจำเป็น
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการโจมตีของลัทธิก่อกำเนิด แม้จางหยงจะบอกว่าเมืองรุ่ยหยางจัดทีมกวาดล้างแล้ว และผู้ร้ายที่ก่อเหตุมีทั้งถูกจับกุมและเสียชีวิต แต่ใครจะรู้ล่ะว่ามันจะมีครั้งต่อไปไหม?
ครั้งนี้เขาตกเป็นเป้าหมาย แล้วครั้งต่อไปล่ะ?
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน เขาต้องมีความสามารถในการต่อสู้ระดับนึง
แม้ครั้งนี้ฟางผิงจะไม่ได้อะไร แต่เขาก็ได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงและได้รู้ข้อมูลบางอย่างจากจางหง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า
สิ่งที่ฟางผิงขาดตอนนี้ก็ไม่ใช่ทรัพยากร แต่เป็นความรู้ความเข้าใจ
…..
เมื่อเขามาถึงโรงแรม พวกอู๋จื้อเห่าก็กลับมาแล้ว
พวกเขาไม่รู้ว่าฟางผิงถูกโจมตี พวกเขายังคงคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เมืองรุ่ยหยางได้ขอให้เก็บเรื่องนี้ไว้ แถมยังไม่มีใครเสียชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงคุยกันแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อพวกเขารู้ว่าคนร้ายถูกจับกุมตัวหมดแล้ว แถมบางคนยังเสียชีวิตคาที่ พวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก
หลังทานมื้อเที่ยงที่โรงแรม ขบวนรถบัสก็ออกเดินทางไปเมืองหยางเฉิงตอนบ่าย
การเข้าพักที่โรงแรมเพิ่มวันนึงเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นที่เมืองรุ่ยหยางอีก จึงไม่มีใครอยากอยู่ต่อ เมืองหยางเฉิงปลอดภัยกว่า
…..
หลังเขาขึ้นรถบัสกลับเมืองหยางเฉิง สายตาของฟางผิงก็เหม่อมองไปไกล
เขาแค่มาสอบเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อเขาได้เผชิญเหตุการณ์ทุกอย่าง โดยเฉพาะการโจมตีครั้งนี้ ความเข้าใจต่อผู้ฝึกยุทธของเขาจึงลึกซึ้งยิ่งขึ้น
คำพูดที่ถานเจิ้นผิงพูดกับเขา ฟางผิงลืมไปหมดแล้ว
เมืองหยางเฉิงเล็กเกินไป มันเล็กถึงขนาดถานเจิ้นผิงบุคคลสำคัญในสายตาพวกเขาไม่ได้เป็นที่ยอมรับของบุคคลสำคัญที่แท้จริง
ผู้สำเร็จราชการจางออกไปมณฑลใกล้เคียง ลัทธิชั่วโจมตี นักศึกษามหาลัยวิชายุทธช่วยเหลือรัฐบาลทำภารกิจ…
เรื่องเหล่านี้ค่อยๆเชื่อมต่อกันในหัวฟางผิง เขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่เขาไม่รู้
“ฉันใกล้แล้ว…”
ฟางผิงพึมพำ หลังเขาสอบวัฒนธรรมศึกษาเสร็จ ไม่นานเขาก็จะได้เข้ามหาลัยวิชายุทธ
พอถึงตอนนั้น เขาจะได้รู้ทุกอย่างที่เขาอยากจะรู้