World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 9

ตอนที่ 9 มาตรฐานปราณและเลือด

ไม่ว่าเขาจะไม่พอใจหนักแค่ไหน แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ฟางผิงทำได้แต่กัดฟันยอมรับความจริงนี้เท่านั้น

หลังคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์ประจำชั้นผมเทาก็เข้ามาในห้องเรียน

เมื่อนักเรียนทุกคนนั่งประจำที่ อาจารย์เฒ่าก็ตรงเข้าประเด็น “นักเรียนที่สมัครสอบวิชายุทธ ขอให้มาพบอาจารย์ที่ออฟฟิศเพื่อลงทะเบียนและจ่ายค่าสอบ พวกเธอต้องกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน จากนั้นสำนักวิชาการจะลงทะเบียนให้พวกเธอ”

เมื่อเขาพูดจบ อาจารย์ประจำชั้นก็กวาดตามองรอบห้องดูว่ามีนักเรียนคนไหนจะลงทะเบียนไหม

อันที่จริง มันไม่ยากเลยที่จะบอกว่าใครจะลงทะเบียนสอบวิชายุทธ

ในฐานะอาจารย์ประจำชั้น อาจารย์เฒ่าย่อมเดาได้ว่าศิษย์เขาคนไหนจะลงทะเบียน

หลังคัดกรองเพื่อนร่วมห้องโดยอิงจากผลการเรียนดี ร่างกายแข็งแรง และฐานะครอบครัวดี มันไม่ใช่เรื่องยากเช่นกันที่พวกนักเรียนจะเดาได้ว่าในหมู่มัธยมปลายปีสามห้องสี่จะมีใครสมัครบ้าง

เมืองหยางเฉิงอยู่บนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่ามันจะมีชื่อเป็นทางการว่าเมืองหยางเฉิง แต่ที่จริงมันเป็นเมืองระดับมณฑลชั้นหนึ่ง

เมื่อเทียบกับเมืองระดับมณฑล เมืองหยางเฉิงจะมีเศรษฐกิจดีกว่า แม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตาม แต่เนื่องจากเมืองหยางเฉิงไม่ใช่เมืองระดับมณฑลติดชายฝั่ง เมืองระดับมณฑลริมชายฝั่งบางเมืองเจริญกว่าเมืองระดับจังหวัดในแผ่นดินใหญ่เสียอีก

ในเมืองหยางเฉิง มีคนไม่มากนักที่มีปัญญาทิ้งขว้างเงินหมื่นหยวน

ดังนั้น แค่ค่าสมัครสอบก็ขัดขวางคนได้มากมายแล้ว

หลังพูดจบ อาจารย์ประจำชั้นก็เดินออกจากห้องเรียน

ในขณะเดียวกันนักเรียนที่วางแผนสมัครสอบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ออฟฟิศ

หยางเจี้ยนที่นั่งอยู่ข้างหน้าก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน

จางฮ่าวที่นั่งอยู่ข้างฟางผิง และเป็นคนที่ประกาศเรื่องพี่หม่าบรรลุขั้นแปดก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน

เมื่อทั้งสองกำลังเดินไปที่ประตู ฟางผิงก็ลุกขึ้นยืน

เฉินฝานค่อนข้างงง เขาเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย “ไปห้องน้ำหรอ?”

“ฉันไปลงทะเบียน”

“…”

เฉินฝานมีสีหน้างงงวย ฟางผิง? ลงทะเบียน?

มันไม่ใช่แค่เฉินฝาน แม้แต่หยางเจี้ยนก็อดหันมามองฟางผิงไม่ได้ เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ฟางผิง นายก็ลงทะเบียนหรอ?”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย เขาแค่ตกใจกับคำพูดของฟางผิง แต่น้ำเสียงเขาไม่ใช่เบาๆ

พอเขาพูดจบ ก็มีคนหันมามองเพิ่มขึ้น

ทุกคนเรียนห้องเดียวกันมาหลายปีแล้ว ทุกคนย่อมพอรู้ว่าบ้านแต่ละคนมีฐานะยังไง

ตัวอย่างไม่มีใครพูดถึงเลยว่าฟางผิงสมัครสอบวิชายุทธไม่ได้ แต่ร่างเล็กๆของฟางผิง…

ที่จริงฟางผิงแข็งแกร่งกว่าเฉินฝานเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบพับเพื่อนที่นั่งโต๊ะหน้า หยางเจี้ยน ฟางผิงเทียบด้วยไม่ได้เลย

มันไม่แปลกใจที่เขาจะผ่านวัฒนธรรมศึกษาและศึกษาทั่วไป แต่ฟางผิงจะผ่านการประเมิณร่างกายและสอบภาคปฏิบัติเหรอ?

ก่อนที่หยางเจี้ยนจะฟื้นจากอาการตกใจ จางฮ่าวก็กล่าวโดยไม่พอใจ “ฟางผิง ดี! นายมันทรยศ!”

“นายไม่เคยมาร่วมฝึกฝนร่างกายกับเราหลังเลิกเรียน นายต้องไปฝึกอยู่ที่บ้านแน่เลยใช่ไหม นายหักหลังเรา!”

แม้คำพูดของเขาจะเกินจริงไปหน่อย แต่น้ำเสียงของจางฮ่าวไม่เหมือนเป็นการประชด เขาแค่คิดว่าฟางผิงเก็บตัวเกินไป ไม่มั่นใจเกินไป ด้วยฐานะครอบครัวฟางผิง พวกเขาจะยอมเสียเงินหมื่นหยวนไปเปล่าๆกับค่าสมัครได้เหรอ?

ฟางผิงไม่ได้คิดมากเช่นกัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายคิดมากไป ถ้านายมีพรสวรรค์ผิดธรรมดาอย่างฉัน ใครจะไปอยากฝึกกัน?”

“ฉันตัดสินใจแล้ว มันก็แค่หมื่นหยวนใช่มั้ยล่ะ?”

“ถ้าฉันไม่ลอง ฉันก็จะไม่มีทางรู้ว่าจะผ่านไหม บางทีปีนี้พวกเขาอาจเพิ่มจำนวนรับคนเข้าก็ได้ ถ้าเกิดฉันผ่าน ฉันก็จะทำเงินได้มหาศาล”

“ฮ่าๆๆ นายฝันอยู่หรอ!” จางฮ่าวหัวเราะ

อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำพูดของฟางผิง หัวใจของนักเรียนที่ไม่ตั้งใจจะลงทะเบียนก็เริ่มเกิดระลอกคลื่น

ที่ฟางผิงพูด…ดูเหมือนจะถูกใช่ไหม?

ใครจะรู้ล่ะว่าปีนี้จะเพิ่มจำนวนรับเข้าไหม?

ไม่กี่ปีก่อนมีนักเรียนจากโรงเรียนอันดับหนึ่งสองสามคนเท่านั้นที่สอบติด อย่างไรก็ตามปีที่แล้วมีถึงห้าคน

บางทีปีนี้อาจเยอะขึ้นก็ได้ถูกมั้ย?

สุดท้ายพวกเขาก็ได้แค่คิดแต่ไม่ได้ทำ ท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่ไปลงสอบ คำพูดของฟางผิงทำให้เกิดระลอกคลื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของพวกเขา

ที่โต๊ะติดกัน เฉินฝานดูซับซ้อน การลงทะเบียนสอบไม่ได้หมายความว่าเขาจะสอบติด

อย่างไรก็ตามฟางผิงมาจากครอบครัวที่แร้นแค้นกว่าเขา แต่ฟางผิงกล้าลอง แต่เขาไม่กล้า เมื่อเทียบกันแล้ว ความกล้าของพวกเขาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เฉินฝานจับปากกาแน่นขึ้น แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนการตัดสินใจ ต่อให้เขาลงทะเบียนสอบ โอกาสผ่านการสอบของเขาน้อยกว่าฟางผิงเสียอีก

แทนที่จะเสียเวลาทำแบบนี้ เขาเอาเวลาไปเตรียมสอบสังคมศาสตร์ดีกว่า

…..

ฟางผิงไม่มีเวลามาสนใจความเห็นของคนอื่นที่มีต่อเขา

เขาเดินออกห้องเรียนไปพร้อมกับเพื่อนๆที่จะไปลงทะเบียนสอบวิชายุทธและมุ่งหน้าไปยังออฟฟิศอาจารย์ประจำชั้น

มีนักเรียนห้องสี่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปลงทะเบียน

ท้ายที่สุดแล้วโอกาสผ่านมันต่ำมากจนนักเรียนที่รู้ตัวว่าไม่ผ่านไม่พิจารณาจะไปลงทะเบียนด้วยซ้ำ

สุดท้ายมีนักเรียนเดินออกมาจากห้องเรียนรวมแปดคน

ไม่กี่ปีมานี้จำนวนนักเรียนห้องธรรมดาลงทะเบียนสอบสูงขึ้นทุกครั้ง ทั้งหมดต้องขอบคุณนักเรียนสองคนจากห้องธรรมดาที่เข้าคณะวิชายุทธได้ ถ้าไม่มีสองคนนี้เป็นแบบอย่าง ถ้ามีคนสมัครสี่ห้าคนก็ถือว่าโชคดีแล้ว

ในโรงเรียนมัธยมปลายธรรมดา จำนวนคนสมัครทั้งโรงเรียนถึงกับน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ

ฟางผิงพิจารณาเพื่อนนักเรียนอย่างรวดเร็ว ทุกคนเป็นหัวกะทิของห้อง

นอกจากด้านวิชาการแล้ว ปัจจัยหลักคือทุกคนแข็งแรงและมีร่างกายเหมาะสม

แม้แต่หยางเจี้ยนเจ้ายักษ์หนวดเฟิ้มในอนาคต เขาอาจไม่โดดเด่นด้านวิชาการ แต่เขาก็ไม่ได้แย่นัก เขางั้นเขาคงไม่มาสมัคร

ในหมู่พวกเขามีนักเรียนหญิงสองคน แม้ว่าพวกเธอจะไม่สะดุดตา แต่พวกเธอมีรูปร่างดี

เมื่อเทียบกับพวกถั่วงอกในห้องที่ยังไม่โต สองสาวกินและฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเพื่อเตรียมสอบวิชายุทธ ตรงไหนควรนูนก็นูน ตรงไหนควรเว้าก็เว้า ทั้งหยางเจี้ยนและจางฮ่าวที่ยืนอยู่ข้างฟางผิงต่างก็จ้องสองสาวตาไม่กระพริบ

(ผู้แปล : ถั่วงอกประมาณว่า เป็นเด็กที่ยังไม่โต)

ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ทุกคนยกเว้นฟางผิง

การตัดสินใจลงทะเบียนสอบวิชายุทธไม่ได้ตัดสินใจกันชั่วข้ามคืน ตอนกลางคืนที่พวกเขาว่างๆ ทุกคนก็จะนัดเจอกันและฝึกฝนด้วยกัน บางคนก็เรียนพิเศษวิชายุทธที่นอกโรงเรียน

ฟางผิงเป็นแค่ตัวประหลาดที่จู่ๆก็โผล่มา

ทุกคนรู้สึกสนใจฟางผิงยิ่งกว่าเดิม

ในบรรดาสองสาวที่หยางเจี้ยนและจางฮ่าวจ้องอยู่ หนึ่งในนั้นยังคงพิจารณาฟางผิงขึ้นๆลงๆ หลังจากนั้นสักครู่ ในที่สุดเธอก็เอ่ยถาม “ฟางผิง นายมีค่าปราณและเลือดเท่าไหร่?”

“ห๊ะ?”

ฟางผิงไม่รู้จะพูดอะไร เขาตอบได้ไหมว่าปราณและเลือดเขา 1.1 ?

ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่รู้ว่าปราณและเลือดคำนวณยังไง และในชีวิตจริงใช้หน่วยวัดแบบไหน

โชคดีที่ฟางผิงไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม หยางเจี้ยนขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราะ “จางหนาน ฉันไม่คิดว่าฟางผิงจะเคยตรวจสอบนะ”

“ถ้าเขาเคยตรวจ เขาคงบอกเรานานแล้ว”

จางฮ่าวขัดจังหวะ ” เขาอาจยังไม่ได้ตรวจสอบ แต่ดูรูปร่างเล็กๆของเขา ฉันมั่นใจว่าคงต่ำกว่าฉัน”

“ฮึ่ม หยุดโม้ได้แล้วโอเคมั้ย?”

จางหนานแค่สงสัยเลยถาม เนื่องจากฟางผิงไม่ได้ตอบเธอ ไม่ว่าเขาจะไม่ได้ตรวจสอบหรือไม่อยากตอบ เธอก็ไม่ได้เซ้าซี้

หลังจ้องจางฮ่าวอย่างรังเกียจ จางหนานก็เริ่มเดินไปพร้อมกับส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ “ดูเหมือนห้องเราส่วนใหญ่จะไม่มีหวังเลย”

“ฉันตรวจสอบอีกครั้งเมื่อวาน ความผันผวนปราณและเลือดของฉันสูงสุด 108 แคล”

“สงสัยฉันต้องหาวิธีกินอาหารเสริมเพิ่มก่อนประเมิณร่างกาย เผื่อค่าปราณและเลือดของฉันจะเพิ่มขึ้น”

หลังได้ยินคำพูดของจางหนาน หยางเจี้ยนก็ยิ้มแล้วกล่าว “ฉันดีกว่าเธอนิดหน่อย ผลทดสอบล่าสุดฉันสูงสุดที่ 112 แคล”

‘แคล’เป็นหน่วยวัดปราณและเลือด ฟางผิงสรุปได้ว่ายิ่งค่าสูงเท่าไหร่ยิ่งดี

ฟางผิงไม่เคยไปทดสอบมาก่อน มาถึงจุดนี้ เขาไม่กลัวขายหน้าแล้ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถาม “ห้องเราใครมีระดับปราณและเลือดสูงสุด?”

คนที่นำหน้าไปไกลแล้วเป็นเด็กหนุ่มแววตาสดใส เขาได้ยินคำถามจึงหันหน้ามามองด้วยรอยยิ้ม “จากผลลัพธ์ล่าสุดที่ฉันวัด น่าจะเป็นฉันแหละ ค่าปราณและเลือดฉันสูงสุด 115 แคล”

ฟางผิงรู้จักคนๆนี้ แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนไป แต่เขาก็ยังเป็นคนเดิม

คนที่พูดเป็นคนที่มีผลการเรียนวัฒนธรรมศึกษาสูงสุด แน่นอนฟางผิงไม่มั่นใจว่าเขาจะยังเก่งแบบนั้นอยู่ไหม

อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มไม่ได้เป็นตัวแทนของห้อง พูดตรงๆก็คือ ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ไม่มีได้รับการแต่งตั้งเป็นสภานักเรียนเลย เพราะพวกเขาไม่มีเวลาว่างและไม่มีพลังเหลือไปทำงานเพื่อคนอื่น

‘เขาชื่ออะไรนะ?’ ฟางผิงคิดอยู่ครู่นึงแล้วจำได้ว่าเขาชื่ออู๋จื้อเหา

อู๋จื้อเหาส่ายหน้าแล้วกล่าว “แม้ว่าค่าปราณและเลือดฉันจะถือว่าค่อนข้างดี แต่คนจากห้องอัจฉริยะมีค่าปราณและเลือดสูงสุด ล่าสุดที่ฉันได้ยินจากห้องนู้น โจวปินมีค่าปราณและเลือดสูงสุดสูงกว่า 120 แคล”

“มันเป็นเรื่องคนของโรงเรียนเรา มันเลยพูดยาก แต่ถ้าไม่มีอุบัติเหตุ โจวปินมีโอกาสสอบผ่านถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“ฮ่าๆ! จื้อเหา ทำไมนายไม่จ้างคนไปหักขาเขาล่ะ? เราจะได้มีคู่แข่งน้อยลง” จางฮ่าวหยอกล้อ

อู๋จื้อเหากลอกตามองบนแล้วตอบอย่างจนปัญญา “มันไม่ใช่การคัดเลือกในโรงเรียนสักหน่อย ต่อให้โจวปินสอบตก มันก็ไม่ได้ส่งผลกับเรานัก ไม่งั้นฉันคงเก็บไปพิจารณาแล้ว”

จางฮ่าวหัวเราะเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉยๆ “ยังไงเราก็ลองกัน ใครจะรู้? บางทีพวกเราอาจสอบผ่านกันทุกคนเลยก็ได้”

“ปีก่อน เกณฑ์ขั้นต่ำเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงคือปราณและเลือด 112 แคล”

“ต่อให้ปีนี้พวกเขาเพิ่มเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่ยังไงก็เพิ่มจำกัด ฉันคิดว่าพวกนายไม่น่ามีปัญหาเท่าไหร่…”

อู๋จื้อเหาส่ายหน้าอีกครั้ง “เป็นไปไม่ได้ มาตรฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปี ฉันคิดว่าปีนี้อย่างน้อยก็สูงกว่า 115 แคล”

“นอกจากนี้ถ้าเรามีค่าปราณและเลือดถึงแง่เดียว แล้วอีกสี่ขั้นตอนล่ะ?”

“มันไม่ใช่ปัจจัยเดียว มันขึ้นอยู่กับคนอื่นด้วย ถ้าคนอื่นมีค่าต่ำแล้วเรามีค่าสูง งั้นเราก็มีหวัง”

“แต่ถ้าทุกคนมีค่าปราณและเลือดสูง ต่อให้เราผลสอบเราดีแค่ไหน เราก็คงไม่ผ่าน”

เช่นเดียวกับสอบสังคมศาสตร์ เกณฑ์การรับสมัครของแต่ละมหาลัยไม่ตายตัว โควต้าของนักศึกษาวิชายุทธมากมายก็ยังมีอยู่

ผลสอบของเราอาจผ่านเกณฑ์ของปีที่แล้ว แต่ในกรณีที่ค่าเฉลี่ยสูงขึ้น เราก็อาจสอบตกได้

ในทางกลับกัน บางทีปีนี้เราอาจสอบได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าค่าเฉลี่ยของทุกคนต่ำ เราอาจไม่แข็งแกร่งกว่าไปกว่าปีที่แล้ว แต่เราอาจผ่านก็ได้

ถึงกระนั้น เดี๋ยวนี้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมาก มาตรฐานจึงมีแต่เพิ่ม โอกาสลดลงนั้นต่ำมาก

จากการวิเคราะห์ของอู๋จื้อเหา ผู้สมัครสอบแปดคนจากมัธยมปลายปีสามห้องสี่ มีอยู่สามคนที่มีค่าปราณและเลือดสูงกว่า 110 แคล

พวกเขาคืออู๋จื้อเหา หยางเจี้ยนและหลิวลั่วฉี หญิงสาวอีกคนที่ไม่ค่อยได้พูดนัก

ไม่มีใครเลยที่มีค่าปราณและเลือดสูงกว่า 110 แคล แม้แต่จางฮ่าวก็ไม่ถึง

อย่างไรก็ตามจางฮ่าวใกล้ถึง 110 แคลแล้ว ถ้าเขากินอาหารเพิ่ม มันก็ยังมีหวังที่เขาจะเพิ่มค่าปราณและเลือดก่อนสอบ

นี่ไม่ถือว่าเป็นการโกง ในยุคนี้ ราคาอาหารเสริมที่ช่วยพัฒนาปราณและเลือดมีราคาแพงเกินไป

อาจพูดได้ว่าคนที่มีปัญญาซื้ออาหารเสริมล้วนมาจากครอบครัวที่มีฐานะ

ผู้ฝึกยุทธ…ต้องการการสนับสนุนทางการเงินแน่นอน

ไม่ว่าเราจะรวยหรือจน อนาคตของผู้ฝึกยุทธขึ้นอยู่กับระดับการสนับสนุนทางการเงิน ความมั่งคั่งจะเป็นตัวกำหนดอนาคต แม้ว่ามันจะไม่ใช่กฎแน่นอน แต่มันก็เป็นกฎที่เข้าใจกัน

ดังนั้นแม้ว่าค่าปราณและเลือดเขาจะไม่สูงกว่า 110 แคล แต่จางฮ่าวก็ลงทะเบียน เพราะเขารู้ว่าครอบครัวเขาเตรียมอาหารเสริมที่จำเป็นไว้แล้ว

เหตุผลหลักที่ทำไมเขาถึงยังไม่กินอาหารเสริม เป็นเพราะเขาเกรงว่าอาหารเสริมอาจสูญเสียประสิทธิภาพไปกว่าครึ่งหลังดูดซับ มันจะทำให้เขาไปไม่ถึงเกณฑ์

ในขณะเดียวกันถ้าเขากินอาหารเสริมก่อนการประเมิณร่างกาย อาหารเสริมอาจไม่ได้ถูกดูดซับไปโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามมันจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่พยายามจนถึงขีดสุดเพราะมันจะส่งผลมากกว่า

จางฮ่าวเก็บเรื่องนี้ไว้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูด คนอื่นๆก็เตรียมอะไรที่คล้ายๆกันเอาไว้

แน่นอนฟางผิงเป็นข้อยกเว้นอีกนั่นแหละ

เขาตัดสินใจลงทะเบียนสอบวิชายุทธกระทันหัน และพ่อแม่เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะเลือกเส้นทางนี้

อันที่จริงโดยที่ฟางผิงไม่รู้ ฟางหมิงหรงก็กำลังพิจารณาจะซื้ออาหารเสริมเพิ่มปราณและเลือดให้ลูกชายเช่นกัน

น่าเสียดายพวกยาอาหารเสริมล้วนมีราคาแพง ราคาเริ่มต้นก็หมื่นหยวนแล้ว ดังนั้นเฒ่าฟางจึงยังไม่ได้ตัดสินใจ

หลังฟังบทสนทนาของทุกคน ฟางผิงก็พิจารณาตนเอง ปราณและเลือด 1.1 ของฉันแปลงเป็น 110 แคลไหม?

มันอาจเป็นไปได้

อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะแปลงเป็น 110 แคล แต่เหมือนมันจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่อู๋จื้อเหาจากห้องธรรมดาก็มี 115 แคลแล้ว แน่นอนว่าห้องอัจฉริยะต้องมีคนที่มีค่าปราณและเลือดเกิน 110 แคลอีกมากมาย

ปีที่แล้วเกณฑ์ต่ำสุดที่รับเข้าของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงคือ 112 แคล แต่ปีนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าจะเท่าไหร่

‘ดูเหมือนฉันต้องพยายามอีกมาก อย่างน้อยฉันควรทำให้ผ่านสามขั้นตอนแรกก่อนฉันถึงมีเวลาเอาไปคิดเรื่องอื่น’

ขณะที่ฟางผิงยังอยู่ในห้วงความคิด ทุกคนก็มาถึงหน้าออฟฟิศอาจารย์แล้ว

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Global Gaowu, Global Martial Arts, Quan Qiu Gao Wu, Toàn Cầu Cao Võ, WBMA, 全球高武
Score 7.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2018 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง World’s Best Martial Artist เรื่องย่อ ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว! หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย! นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ “สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?” อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset