ตอนที่ 91 เปิดมหาลัย
ชั่วพริบตา ก็ถึงวันที่ 1 กันยายน
มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้
ณ ประตูมหาลัย มีผู้ปกครองกลุ่มใหญ่ยืนออกันอยู่
มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้รับนักศึกษาไม่มากนัก แต่ด้วยจํานวนนักศึกษาประมาณพันคน แค่ผู้ปกครองอย่างเดียวก็มีคนหลายพันคนแล้ว
แต่เวลานี้ ผู้ปกครองบ่นกันระงมเพราะถูกหยุดไว้ที่ประตู
“เกิดอะไรขึ้น? ทําไมพวกเขายังไม่ปล่อยให้ผู้ปกครองเข้าไปล่ะ?”
“นั่นสิ ฉันอยากเห็นมหาลัยกับที่พัก แต่พวกเขาไม่ปล่อยให้เราเข้าไป…”
“ลูกสาวฉันเอากระเป๋ามาสามใบ ฉันเห็นอีกว่าคนนาทางไม่ช่วยลูกสาวฉันถือกระเป๋าเลย…”
ผู้ปกครองปฏิเสธไม่ยอมไป คนที่บ่นก็บ่นต่อไป คนที่รอก็รอต่อไป มีทั้งคนที่กําลังคุยกับลูกหลานผ่านซีกรงประตู
ฟางผิงพึ่งมาถึงเขาได้ยินเสียงบ่นและพึ่งรู้ว่าผู้ปกครองไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปลงทะเบียนกับลูก
ฟางผิงไม่คิดมาก เขาเดินไปที่ประตูเล็กๆที่อยู่ติดกับประตูใหญ่ของมหาลัย
ประตูหลักมหาลัยวิชายุทธไม่ค่อยได้เปิด ปกติแล้วพวกเขาจะเปิดประตูข้าง
ฟางผิงค่อนข้างเด่นเลยทีเดียว
ที่ประตูข้าง มีโต๊ะยาวอยู่ตัวนึ่ง หลังโต๊ะมีนักศึกษาที่เป็นคณะกรรมการต้อนรับ
เมื่อเห็นฟางผิงเดินผ่าน ชายหญิงที่อยู่หลังโต๊ะก็ไม่มั่นใจตัวตนของฟางผิงนัก
เพราะฟางผิงทิ้งกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เขาแทบมาตัวเปล่า
แน่นอนถ้าเพิกเฉยกับหนังสือตอบรับที่ถูกม้วนอยู่ในมือน่ะนะ
มันเป็นเพราะพวกเขาเห็นสิ่งที่คล้ายกับหนังสือตอบรับเข้ามหาลัย พวกเขาจึงให้ความสําคัญกับเขา
กระนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นนักศึกษาใหม่หรือนักศึกษาเก่า เมื่อฟางผิงเดินผ่านมาก็มีคนเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “นักศึกษาใหม่เหรอ?”
“อืม”
” นักศึกษาใหม่จริงด้วย!”
ชายคนที่เอ่ยถามตกใจเล็กน้อย รอยยิ้มเล็กๆปรากฏบนใบหน้าเรียบเฉยตอนแรก
“นายมาเอง?”
“ใช่”
ฟางผิงตอบ จากนั้นเขาก็หันไปมองกลุ่มผู้ปกครอง เขาถามเบาๆ “ผู้ปกครองเข้ามาไม่ได้เหรอ?”
ชายคนนั้นดูถูก “ปกติไม่ได้ห้าม แต่ตอนนี้พวกเขาห้ามเข้า!”
“นักศึกษาคิดจริงเหรอว่าพวกเขาจะมามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้และใช้ชีวิตเหมือนนายน้อยได้?”
“เนื่องจากนายเตรียมเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว นายก็ควรเริ่มมีความคิดของผู้ฝึกยุทธได้แล้ว”
หลังเขาพูดจบ ก็มีคนอื่นเข้าร่วมสนทนา “รุ่นน้อง เยี่ยมเลย นายไม่ได้เอาอะไรมาด้วย นายช่วยลดปัญหาให้ตัวเองไปเยอะเลย”
“สิ่งแรกที่นายต้องเรียนรู้เมื่อเข้ามามหาลัยวิชายุทธคือความเป็นอิสระ”
” อายุปูนนี้แล้ว ยังต้องการให้พ่อแม่มาส่งมาช่วยแบกกระเป๋าอีกเหรอ เอาปราณและเลือดไปให้หมาดีกว่า!”
คําพูดเฉียบคมมาก เมื่อพูดถึงนักศึกษาใหม่ที่ให้พ่อแม่ช่วยแบกกระเป๋าให้ เขาก็แสดงสีหน้าดูถูกออกมา
นักศึกษาใหม่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้มีปราณและเลือดขั้นต่ํา 130แคล พวกเขาสอบภาคปฏิบัติได้ดีเช่นกันซึ่งแปลว่าพวกเขาไม่ได้ขาดการฝึกฝน
ในกรณีแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง พวกเขาก็ควรถือกระเป๋าเดินทางเองได้สองสามใบโดยไม่มีปัญหา
“พอแล้วโจวหยุน อย่าพูดถึงคนอื่นแบบนั้น ตอนที่เรามามหาลัยตอนแรก เราก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
ชายคนที่พูดก่อนหน้านี้ขัดจังหวะโจวหยุน จากนั้นเขาก็หันไปมองฟางผิง “ฉันขอดูหนังสือตอบรับของนายหน่อย”
ฟางผิงไม่ได้สนใจที่โจวหยุนพูด เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา
เขาส่งหนังสือตอบรับให้อีกฝ่าย ชายหนุ่มรับมาดู เขาหันหน้าไปข้างๆแล้วพูด “ใครจะพารุ่นน้องฟางผิงไปเดินเรื่อง?”
กว่าสิบคนที่อยู่หลังโต๊ะไม่มีใครตอบ
โจวหยุนปากร้ายเห็นว่าชายหนุ่มกําลังมองมา เขาจึงอดบ่นไม่ได้ ” ฉันไม่ไป มันไม่มีประโยชน์!”
“เขาไม่ใช่ผู้หญิงก็แย่พอแล้ว ถ้าเขาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วยสักหลายๆใบ ฉันคงไม่คิดมากที่จะไปดูเรื่องสนุกหรอก”
“แต่หมอนี่ดูเหมือนจิ้งจอกเฒ่า ไม่มีอะไรน่าสนใจให้ดู ให้ตายฉันก็ไม่ไป!”
“เห็นด้วย ถ้าเขาไม่ใช่จิ้งจอกเฒ่า เขาคงถูกคนอื่นสั่งสอนแล้ว ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน”
” เหล่าเว่ย งั้นนายไปเองสิ!”
ในหมู่นักศึกษาสิบกว่าคน มีคนบอกให้คนที่ต้อนรับฟางผิงให้พาเขาไปเอง
ฟางผิงก็ได้ยินเช่นกัน เพราะเขาไม่ได้เอากระเป๋ามาด้วย และเขาไม่ใช่ผู้หญิง คนเหล่านี้จึงรู้สึกว่ามันไม่มีเรื่องน่าสนใจให้ดู ไม่มีสาวให้ชื่นชม พวกเขาจึงไม่อยากพาฟางผิงไป
ขณะที่พวกเขาโต้เถียงกัน โจวหยุนที่ปฏิเสธไม่ยอมพาฟางผิงไปพลันร้องตะโกนขึ้นมาพร้อมด้วยแววตาสว่างจ้า “ผู้ปกครองหยุดตรงนั้น!”
“รุ่นน้อง ปะ ฉันจะพานายไป!”
น้ําเสียงของโจวหยุนไม่ได้อ่อนโยนนัก เด็กหนุ่มร่างท้วมที่พึ่งมาถึงรู้สึกสับสน
ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ มีไม่กี่คนที่มีรูปร่างอ้วนท้วม แม้ว่าคนธรรมดาจะมีมากก็ตาม
นักศึกษาวิชายุทธร่างท้วมหาได้ยาก เพราะการฝึกฝนและการบ่มเพาะตามปกติทําให้อ้วนได้ยาก
อย่างไรก็ตามนักศึกษาที่พึ่งมาถึงค่อนข้างท้วม บางทีเขาคงเป็นประเภทที่แค่ดื่มน้ําก็อ้วน
ชายร่างท้วมยังคงมึนงง คนอื่นๆที่ปฏิเสธไม่ยอมพาฟางผิงลุกไปทีละคนเช่นกัน “รุ่นน้องมาๆ ฉันจะพาไปเอง!”
” อย่าแย่งฉัน! ฉันจะพาไปเอง!”
“รุ่นน้อง พี่สาวคนนี้จะพาไปเอง ผู้ชายพวกนี้เลินเล่อเกินไป”
เมื่อเห็นกลุ่มชายหญิงกําลังแย่งชายร่างท้วม สีหน้าของฟางผิงก็หม่นลง ฉันไม่น่าคบหาข นาดนั้นเลยเหรอ?”
จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าชายร่างท้วมถือกระเป๋ามาหลายใบและลากกระเป๋าใบใหญ่อีกสามสี่ใบ
เหมือนกับว่ามันยังไม่พอ คนที่อยู่ข้างๆเขาที่เห็นได้ชัดว่าเป็นพ่อเพราะทั้งสองหุ่นไม่ต่างกันเลยกําลังลากกระเป๋ามาอีกสองใบ
เมื่อเห็นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธมาต้อนรับลูกชายเขา ชายร่างอ้วนที่ตอนแรกไม่พอใจกับคําว่า ผู้ปกครองหยุดตรงนั้น ก็ยิ้มแล้วพูด “กัวเพิ่ง รีบขอบคุณรุ่นพี่สิ!”
เด็กหนุ่มร่างท้วมไม่ได้คิดอะไรมากนัก เมื่อได้ยินพ่อพูดแบบนั้น เขาก็รีบพูดขอบคุณ “รุ่นพี่ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไร กัวเพิ่งใช่ไหม? ไม่แปลกใจเลย…”
(ผู้แปล : กัวเพิ่งนี้คือ ปริมากล้น) ส่วนชื่อคือ [BE อ่านออกเสียงคล้ายกัน]
โจวหยุนปากร้ายเหมือนเดิม เขารู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะกับชายอ้วนที่กินอาหารมากล้นเป็นอย่างยิ่ง
ในฝูงชน เหล่าเว่ยจ้องมองเขา จากนั้นก็ตรวจหนังสือรับเข้าของกัวเพิ่ง
จากนั้นเขาก็กล่าว “โจวหยุน นายพาเขาไป ไหนๆก็ไหนๆละ พารุ่นน้องฟางผิงไปด้วย”
คําว่า”ไหนๆก็ไหนๆละ ทําให้ฟางผิงอยากกระอักเลือด
“ฉันไม่น่าคบหาขนาดนั้นเลยเหรอ? แม้แต่การพาฉันไปด้วยก็เป็นเพราะ”ไหนๆก็ไหนๆละงั้นเหรอ?”
ต้องขอบคุณชายอ้วนเช่นกัน ไม่งั้นฟางผิงสงสัยว่าเขาต้องรออยู่ที่นี่พักใหญ่
เนื่องจากมันไม่ลําบากโจวหยุนจึงไม่ปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง เขายิ้ม “เอาล่ะ รุ่นน้องทั้งสองมากับฉัน!”
ฟางผิงไม่มีปัญหา แต่กัวเพิ่งลําบากใจ
เนื่องจากพ่อเขาเข้ามาด้วยไม่ได้ และเขาถือของเต็มไม้เต็มมือแล้ว กระเป๋าเดินทางที่อยู่กับพ่อเขาจึงเอาไปด้วยไม่ได้
ชายกลางคนร่างท้วมตอนแรกไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเห็นลูกชายถือกระเป๋าไม่หมด เขาก็ยิ้มให้โจวหยุน” ขอโทษนะ เธอช่วยกัวเพิ่งถือหน่อยได้ไหม?”
” ฉันจะเชิญเธอไปทานมื้อค่ําทีหลัง”
โจวหยุนพูดเบาๆ “คุณลุงไม่จําเป็น ตามกฏของมหาลัย นักศึกษาใหม่ต้องพึ่งพาตัวเองเรามีหน้าที่นําทางเท่านั้น ให้การช่วยเหลือไม่ได้”
“ไม่มีอาจารย์อยู่ รบกวนช่วยหน่อย…”
ชายร่างท้วมไม่เห็นด้วย แต่เขาก็พูดต่อดีๆด้วยรอยยิ้ม
ก่อนที่เขาจะพูดจบ โจวหยุนก็ขมวดคิ้ว ปราณและเลือดเขาพลุ่งพล่านทันที
ชายร่างท้วมตรงหน้าเป็นผู้ฝึกยุทธเช่นกัน แต่เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นเป็นไปได้ว่าเขาอาศัยเม็ดยาจนมาถึงจุดนี้ มันพูดยากว่าเขาขัดเกลาแขนขาไหม
โจวหยุนไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่เขาเป็นขั้นหนึ่งสูงสุด
เมื่อปราณและเลือดปะทุออกมา สีหน้าของชายร่างท้วมก็เปลี่ยนไป มาถึงจุดนี้เขาถึงตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เจรจาด้วยได้
นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่ต่างก็มีพรสวรรค์ เป็นคนชั้นสูงของสังคม
หลังโจวหยุนระเบิดปราณและเลือด เขาก็กล่าว “ของที่เขาเอาไปด้วยไม่ได้จะเอากลับไปก็ได้”
ชายร่างท้วมไม่กล้าพูดอะไรอีก มีเพียงผู้ไม่รู้เท่านั้นที่ไร้ความเกรงกลัว
เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีปราณและเลือดมากกว่าตน เขาไม่เสียเวลาคุยอีก เขารีบคว้ากระเป๋าสองสามใบจากมือลูกชาย
ขณะที่เขาเอากระเป๋ามา เขาก็พูด “ทิ้งขนมขบเคี้ยวไปเถอะ ถ้าลูกอยากกิน ลูกค่อยซื้อใหม่”
เมื่อเขาบอกว่าไม่ให้เอาขนมขบเคี้ยวไป ฟางผิงก็สังเกตเห็นว่ามีกระเป๋าหลายใบถูกนําออกจากมือกัวเพิ่ง รวมถึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วย
มุมปากทุกคนกระตุก!
เป็นขนมขบเคี้ยวทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ พวกเขาจึงไม่ค่อยได้กินขนมขบเคี้ยวนัก เพราะมันไม่มีคุณค่าทางสารอาหารและไม่ดีต่อการเติบโตของปราณและเลือด
พวกเขากําลังสงสัยกันอยู่เลยว่าอะไรอยู่ในกระเป๋า พวกเขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นขนมขบเคี้ยวเกือบทั้งหมด แม้แต่โจวหยุนก็ประหลาดใจจนพูดไม่ออก
หลังจากนั้นสักครู่ เด็กหนุ่มร่างท้วมก็เหลือเพียงกระเป๋าเดินทางสองใบ
เมื่อเห็นกระเป๋าลดลงไปมาก และเหลือแต่กระเป๋าที่มีล้อ ความหวังที่จะได้เห็นอะไรสนุกๆของโจวหยุนก็ลดลงไปมาก
หลังกัวเพิ่งพร้อม โจวหยุนก็หันไปทางซ้ายและพูด “ตามฉันมา!”
ฟางผิงกับก๊วเพิ่งเดินตามเขาไป
กัวเชิงมองฟางผิง เมื่อเห็นว่าฟางผิงมามือเปล่า เขาก็อดถามไม่ได้ “นายก็เป็นนักศึกษาใหม่เห รอ?”
“อือ”
“นายไม่ได้เอาอะไรมาเลย?”
“ทิ้งไว้ที่โรงแรมของมหาลัย”
“อ่อ ถ้าฉันรู้มาก่อน ฉันคงทิ้งไว้ที่โรงแรมด้วย บางทีหลังลงทะเบียนเสร็จ ฉันอาจเอาขนมมาได้”
กัวเพิ่งไม่อยากทิ้งขนมไปอย่างเห็นได้ชัด ตรงหน้า โจวหยุนตอบโดยไม่หันกลับมามอง “ไม่มีข้อจํากัด ถ้านายอยากเอามา นายก็ไปเอามาเอง”
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเด็กหนุ่มร่างท้วมขนไปทั้งหมดไม่ไหว ไม่งั้นเขาคงเอาไปทั้งหมดแล้ว
“เยี่ยมเลย ขอบคุณครับรุ่นพี่” กัวเชิงพูดขอบคุณ
โจวหยุนไม่สนใจ พวกเขาเดินออกห่างจากประตูมหาลัยไม่ไกลก่อนที่โจวหยุนจะชี้ไปที่อาคารแรกที่พวกเขาเดินผ่าน “นี่คือตึกประวัติศาสตร์ของมหาลัย ความเป็นมาและเหตุการณ์ใหญ่ๆทั้งหมดของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้จะถูกบันทึกไว้ที่นี่”
“ตึกประวัติศาสตร์ของมหาลัยมี 9 ชั้น นักศึกษาใหม่เข้าได้แค่สามชั้นแรก ต่ํากว่าขั้นสามนายจะไปได้ถึงชั้นหก ขั้นสามขั้นไปเข้าได้ทั้งเก้าชั้น”
กัวเซิ่งช็อค “แม้แต่อาคารนี้ก็มีข้อจํากัดเหรอ?”
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าแม้แต่ตึกประวัติศาสตร์ของมหาลัยก็มีข้อจํากัดตามความแข็งแกร่ง
โจวหยุนเม้มปาก เขากล่าวเสียงเบา “นายต้องทําใจให้ชิน มีแผนกภายในมหาลัยวิชายุทธมากมายที่มีข้อจํากัดตามความแข็งแกร่ง”
“คนที่อยู่สูงกว่าขั้นสามจะไปได้เกือบทุกที่ แต่คนที่อยู่ต่ํากว่าขั้นสามจะห้ามเข้าบางแห่ง
“เตรียมผู้ฝึกยุทธ.มีสถานที่มากมายที่ไปไม่ได้”
ขณะที่พวกเขาคุยกัน โจวหยุนก็เอ่ยถาม ” ปราณและเลือดนายเท่าไหร่?”
“ 135แคล”
“กลางๆ นายควรพยายามไปให้ถึงขั้นหนึ่งตอนปีหนึ่ง”
กัวเพิ่งดูไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เขาลดเสียงลงแล้วพูด “ผมมี 130แคล ผมน่าจะเข้าสู่ขั้นหนึ่งได้ในเทอมนี้ใช่มั้ย?”
“135แคลไม่ห่างจาก 150แคลนัก และมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ก็เป็นมหาลัยวิชายุทธที่ดีที่สุดผ่านไปครึ่งปีฉันจะไปถึงขั้นหนึ่งไม่ได้เชียวเหรอ?”
“นายจะได้คําตอบในไม่ช้า”
โจวหยุนไม่ได้อธิบายเพิ่ม เด็กหนุ่มร่างท้วมคนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เคยฝึกเคล็ดเสริมสร้างมาก่อนแถมจวงกงก็ไม่ดีนัก เขาควรฝึกสักหน่อย ยังไงมีพ่อเป็นขั้นหนึ่ง
นอกจากนี้เจ้าหมอนี่ยังกินขนมขบเคี้ยวขณะฝึกวิชายุทธ โจวหยุนไม่มองเขาในแง่ดีนัก
ข้างๆ ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร โจวหยุนพึ่งนึกถึงฟางผิงได้และหันหน้าไปมองเขา “แล้วนายล่ะ?”
ฟางผิงลังเล ฉันควรบอกความจริงไหม?”
หลังคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็ตัดสินใจว่าถ่อมตนสักหน่อยดีกว่า ” 180แคล”
” หม?”
สีหน้าของโจวหยุนเปลี่ยนไป ฝีเท้าเขาชะงักเล็กน้อย วินาทีต่อมาเขาก็พูดขึ้น “ขัดเกลา สองครั้ง?”
“น่าจะ”
“ฉันจําได้ว่ามีคนขัดเกลาสองครั้งในหมู่นักศึกษาใหม่ และนายก็ไม่มีชื่อในนั้น”
” ผมทําสําเร็จหลังสอบ”
“ไม่น่าล่ะ!”
โจวหยุนเอียงคอเล็กน้อย น้ําเสียงเขาเป็นมิตรมากขึ้น “นักศึกษาใหม่ปีนี้มีทั้งหมด 1580 คนในนั้นมี 52 คนเป็นผู้ฝึกยุทธ”
“มีคนขัดเกลาสองครั้งหน่อยกว่าผู้ฝึกยุทธมาก มีแค่ 9 คนเท่านั้น”
“เรามีชื่อของทุกคน แต่นายไม่มีชื่อ ตอนนี้เหมือนจะเป็น 10 คนแล้วที่ขัดเกลาสองครั้ง”
ฟางผิงช็อคเล็กน้อย เยอะขนาดนั้นเชียว?
ใช่ มันเยอะมาก!
เขาจําได้ว่าหวังจินหยางบอกว่ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงมีนักศึกษาไม่กี่คนเท่านั้นที่จัดเกลาสองครั้ง
ในมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ แค่นักศึกษาใหม่ก็มีมากมายแล้ว!
ส่วนจํานวนผู้ฝึกยุทธ ฟางผิงไม่แปลกใจนัก
มีนักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธมากมาย แม้แต่ในมณฑลหนานเจียงก็อาจมี 4-5 คนต่อปี
ทั้งประเทศ มันมีมากกว่าร้อยคนเสียอีก
คนที่ไม่ได้สมัครมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ก็ต้องสมัครมหาลัยวิชายุทธปักกิ่ง อันที่จริง 52 คนถือว่าน้อยในเมืองหลวงอาจมีมากกว่านี้อีก
ท้ายที่สุดแล้วหนานเจียงก็ไม่ถือว่าเจริญนัก วิชายุทธที่หนานเจียงไม่ได้เพื่องฟู แต่ก็ยังมีถึง 4
5 คน
มีมากกว่าสามสิบมณฑลทั่วประเทศ และมหานครอย่างเซี่ยงไฮ้มีความแข็งแกร่งมากกว่างั้นจํานวนนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธทั้งประเทศน่าจะมีเกือบ 150 คนใช่มั้ย?
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน กัวเพิ่งก็มีสีหน้าไม่เข้าใจ ” ขัดเกลาสองครั้งคืออะไร?”
“แล้ว นายมีปราณและเลือด 180แคลเลยเหรอ?”
คําถามของกัวเพิ่งทําให้โจวหยุนขมวดคิ้ว “พ่อของนายไม่เคยพูดถึงเลยรึไง?”
“ไม่เลย พ่อผมบอกว่าปราณและเลือด 150 แคลพอให้ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว”
กัวเพิ่งมองฟางผิง ”นายยังไม่เป็นผู้ฝึกยุทธเหรอ?”
เขาได้ยินคําพูดโจวหยุนเช่นกัน ขัดเกลาสองครั้ง แต่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ และมีปราณและเลือดถึง180แคล
กัวเพิ่งรู้สึกเหมือนเขาโง
โจวหยุนส่ายหน้า ไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าอ้วนไม่รู้หรือไม่อยากบอกลูกชาย ไม่ให้ลูกชายเป็นกังวล
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปไม่รู้เรื่องขัดเกลาสองครั้งเป็นเรื่องปกติเช่นกัน
ในคอสฝึกฝนวิชายุทธ ตราบใดที่คุณมีปราณและเลือดถึง 150แคล พวกเขาจะช่วยคุณทะลวงไม่ว่าคุณจะเพิ่มปราณและเลือดได้ไหมก็ตาม
จุดประสงค์ของคอสฝึกฝนวิชายุทธก็คือการบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับพวกเขาถ้าคุณรู้ งั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณ ถ้าคุณไม่รู้ งั้นคุณก็ทะลวงซะ
ฟางผิงยิ้มให้กับคําถามของหนุ่มร่างท้วม ”นายจะบ่มเพาะปราณและเลือดนายได้อีกหลัง150แคล พอนายถึง 150แคล ร่างกายนายจะผ่านการขัดเกลากระดูกหนึ่งครั้งและจะผ่านขัดเกลาสองครั้งพอถึง 180แคล”
”งั้นเหรอ?”
กัวเพิ่งรู้สึกโง่งม “งั้นเราต้องถึง 180แคลก่อนถึงทะลวงได้เหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่รุ่นพี่บอกว่าผมอาจไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธตอนปีหนึ่ง”
โจวหยุนตากระตุก นายอยากขัดเกลาสองครั้ง?”
เขากําลังพูดถึงทะลวงขั้นปกติ
เขาขี้เกียจอธิบายให้เจ้าหมอนี่ฟัง เจ้าอ้วนจะรู้ในไม่ช้าก็เร็วว่าคําพูดวันนี้มันน่าหัวเราะแค่ไหน
ส่วนฟางผิง โจวหยุนไม่ได้มีท่าทางเมินเฉยใส่ฟางผิงเหมือนเมื่อกี้แล้ว
ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านอาคารกี่หลัง เขาก็จะอธิบายให้ฟางผิงฟังอย่างละเอียด