เวลาล่วงเลยมากว่าสัปดาห์แล้ว แต่ความหนาวเหน็บก็ยังคงทวีความรุนแรงอยู่เรื่อยๆ ลมหนาวหอบเอาความเย็นที่พร้อมแช่แข็งทุกสิ่งมาด้วย ความเย็นเยียบนั่นราวกับคมมีดกรีดลึกลงบนผิวหนังทะลุเข้าไปถึงภายใน แม้ว่าลมหนาวด้านนอกนั่นจะไม่สามารถพัดผ่านแทรกเข้ามาภายในห้องชุดสุดหรูแห่งนี้ได้ก็ตาม แต่ท่ามกลางความอบอุ่นภายในห้อง มันกลับมีบรรยากาศที่ชวนให้หนาวสะท้านกระจายตัวอยู่โดยรอบ
ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบจนเกือบจะวังเวงในห้องชุดแห่งนี้นั้น ฮันซองจูยังคงนั่งนิ่งราวกับหุ่นอยู่บนโซฟาตัวเดิม
“พี่ครับ วันนี้ก็จะไม่ออกไปไหนอีกแล้วเหรอครับ”
“…กลับไปซะ”
เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วละ มินซิกทำได้เพียงถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำออกมา เทน้ำในเหยือกลงไปในแก้วพร้อมทั้งหย่อนน้ำแข็งอีกหนึ่งก้อนตามลงไปด้วย
“น้ำอยู่นี่นะครับ ดื่มน้ำเย็นๆ แล้วก็ผ่อนคลายซะนะครับ”
“วางไว้นั่นแหละ”
เจ้าตัวยังคงกอดอกไว้แน่น และพยักหน้าตอบกลับเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวดูน่าชังเลยสักนิด มินซิกเองจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
‘ไม่รู้จักหนาวบ้างรึไงนะ’
แม้ว่าข้างในจะอบอุ่นแค่ไหน แต่ในฤดูที่มวลความหนาวเย็นมากองรวมกันอยู่แบบนี้ ซองจูก็ยังดื่มน้ำใส่น้ำแข็งได้โดยไม่สะทกสะท้าน เขาไม่เข้าใจอีกฝ่ายเลยจริงๆ
ก็นะ ไม่ใช่ว่าอีกคนเป็นแบบนี้ตลอดเสียเมื่อไหร่ ฮันซองจูน่ะ เป็นพวกชอบทำอะไรตามใจตัวเอง แถมยังเป็นคนที่เข้าใจยากสุดๆ ถึงเขาจะรู้ข้อนั้นดี แต่มันก็ยังเป็นปัญหาสำหรับคนที่ต้องทำงานใกล้ชิดจนแทบจะตัวติดกับอีกฝ่ายแบบเขาอยู่ดี พอถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าแอบบ่นพึมพำ มินซิกก็รีบหลบเลี่ยงสายตาพิฆาตนั่นด้วยการเดินเลี่ยงเข้าไปทางครัวอีกรอบ และในเวลาเดียวกันนั้น ขาที่กำลังก้าวอยู่ถึงกับชะงักเพราะเสียงเรียกจากซองจูที่ดังขึ้น
“นี่! มินซิก”
“ครับ มินซิกมาแล้วครับ”
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่าพูดมาก”
“ขอโทษครับ”
เมื่อไหร่ที่ถูกซองจูเรียกชื่อของตัวเองแบบที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ มันทำให้เขาสังหรณ์ได้ถึงเค้าลางแห่งหายนะแปลกๆ และมันก็ไม่เคยจะพลาดด้วยสิ เขาจดจำได้ขึ้นใจเลยละ แล้วไอ้ท่าทางแปลกๆ แบบนั้นของซองจูน่ะ มันก็เกิดขึ้นมากว่าสิบวันแล้วด้วย
“พี่ครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ แต่พี่ก็ใจเย็นลงบ้างเถอะครับ แล้วนี่พี่ก็ไม่ได้ติดต่อพี่ซอยอนไปเลยใช่ไหมครับ ผมขอร้องละ พี่ลองติดต่อไปบ้าง สักวันละครั้งก็ยังดีนะครับ โทรศัพท์ผมมีสายเข้าจนเครื่องแทบจะระเบิดแล้ว แล้วเกือบครึ่งก็โทรมาถามเรื่องเกี่ยวกับพี่ทั้งนั้นด้วย…”
“หุบปาก”
“ครับ?”
“ฉันสั่งให้หุบปากซะ ถ้านายพูดชื่อนั้นต่อหน้าฉันอีก เตรียมหางานใหม่ได้เลย”
“…คะ…ครับ”
“เข้าใจแล้วก็กลับไปซะ”
แม้จะเพียงแวบเดียว แต่เขารู้สึกเหมือนมีมีดพุ่งมาจ่อที่คอ ในตอนที่สายตาเอาเรื่องนั่นเหลือบมองมา และนั่นก็ทำให้มินซิกตัดสินใจรีบวิ่งหางจุกตูดออกจากห้องของซองจูไปทันที
กึก
เมื่อเสียงล็อกอัตโนมัติจากประตูหน้าห้องดังขึ้น มินซิกถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ทันทีด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ…เพราะแบบนี้เองสินะ”
มินซิกบ่นพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับมองประตูห้องบานใหญ่ของดาราชื่อดัง ฮันซองจู ด้วยแววตาสงสัย
ดาราตัวท็อปของวงการ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจนยากที่จะบรรยายออกมาได้หมด นักแสดงในสังกัดของบริษัทเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นที่มินซิกทำงานอยู่ ทันทีที่เขาได้เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการดาราในบริษัทแห่งนี้ เขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลฮันซองจูมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ เขาเองก็รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่เสมอ และยกให้ฮันซองจูเป็นบุคคลที่สำคัญกว่าใครๆ
แม้อีกฝ่ายจะมีข้อเสียเกินที่จะรับไหว ทั้งนิสัยเสียที่ค่อนไปทางเลวร้าย และเจ้าอารมณ์เป็นที่สุด
หลังจากมินซิกกลับไปที่บริษัทแล้ว ซองจูก็ยังคงเอาแต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับขเยื้อนไปไหนทั้งสิ้น เจ้าตัวยังคงเอาแต่กอดอกด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจ ฝังตัวเองเอาไว้กับโซฟาสุดหรูไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่น้อย
“ผ่านมาห้าปีแล้วงั้นเหรอ…”
ซองจูพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง
เขารู้จักกับซอยอนเมื่อห้าปีก่อน ในงานปาร์ตี้เล็กๆ งานหนึ่ง
เขาเองก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ว่าปาร์ตี้นั้นมันเป็นงานปาร์ตี้อะไร อาจจะเป็นปาร์ตี้ฉลองวันเกิดของบรรดาพวกลูกหลานคนรวยสักคน ที่ต้องการจัดงานขึ้นมาเพื่อเอาเงินทองพวกนั้นมาละลายเล่น แล้วเชื้อเชิญคนอื่นๆ มาร่วมสนุกด้วยกัน ถ้าหากไม่ใช่ในสถานที่แบบนั้นแล้วละก็ คนอย่างฮันซองจูก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายรอยยิ้มเพื่อแลกกับมิตรภาพจอมปลอมพวกนั้นหรอก
ในสถานที่แห่งนั้น เขาได้พบกับซอยอนลูกสาวคนเล็กของตระกูลนักธุรกิจ เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปร่างหน้าตาและประวัติการศึกษาที่โดดเด่น จึงไม่แปลกที่เธอจะเป็นที่ถูกตาต้องใจของใครหลายๆ คนในงานนั้น สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงที่ชื่อว่าคิมซอยอนคนนี้ดูน่าสนใจนั้น สำหรับคนอื่นๆ คงเป็นรูปลักษณ์ภายนอกนั่น แต่สำหรับซองจู เขาคิดว่าที่ตัวเขารู้สึกสนใจเธอไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่ยังรวมไปถึงภูมิหลังของเธอด้วย และปาร์ตี้นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาและซอยอนได้คบหากัน
เหตุการณ์ตอนนั้นผ่านมาห้าปีแล้ว เมื่อเทียบกับตัวเขาในวัยสามสิบห้าปีตอนนี้แล้ว จะว่านานมันก็นาน จะว่าสั้นมันก็สั้น สำหรับความสัมพันธ์ที่สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ด้วยระยะเวลาขนาดนั้น มันก็เป็นเพียงความว่างเปล่า น่าแปลกที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับมันเลย นั่นคงเพราะ…
“ยังไงซะ มันก็ไม่ใช่ความรักอยู่แล้ว”
ซองจูบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาอย่างช้าๆ
ในเวลานี้ ท้องฟ้าที่อีกฝั่งของระเบียงได้เปลี่ยนเป็นภาพยามอัสดงแล้วโดยที่เขาไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด เขาละสายตาจากทัศนียภาพเบื้องหน้า หันหลังเดินกลับเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ท้องฟ้าเบื้องหลังที่ถูกย้อมให้กลายเป็นสีเลือดกับแสงดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าส่องกระทบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มของซองจู ประกอบกับผิวขาวจัดของเจ้าตัวด้วยแล้ว มันช่างดูราวกับเจ้าตัวกำลังเปล่งประกาย
เขาเดินไปทางห้องนอนของตัวเอง ด้วยความที่เป็นคนตัวสูง จึงยิ่งทำให้เรียวขานั้นดูเรียวยาวอย่างเห็นได้ชัด ไหล่กว้างดูผึ่งผาย กล้ามเนื้อพอเหมาะอย่างคนที่คอยดูแลเอาใจใส่รูปร่างของตัวเองเป็นอย่างดี ดวงตาทั้งสองมีประกายความเยือกเย็น แต่ในบางครั้งก็มีร่องรอยของความเจ้าเล่ห์คล้ายแววตาของสุนัขจิ้งจอกปรากฎออกมาด้วย ดวงตาสีน้ำตาลของซองจู ยามเมื่อต้องแสงไฟจะทำให้เกิดประกายแสงสีเขียวอ่อนพาดผ่าน นั่นทำให้ตัวเขามีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างประหลาด จึงไม่น่าแปลกใจนัก หากใครก็ตามที่ได้สบตาคู่นี้ผ่านทางจอโทรทัศน์หรือจอภาพยนตร์แล้วจะเกิดอาการตกตะลึง และยินยอมพร้อมใจพาตัวเองตกลงสู่หลุมเสน่ห์ของคนๆ นี้
ยิ่งถ้าหากได้เห็นซองจูในเวลาที่ยิ้มออกมาทั้งปากและตาแล้วละก็ บรรดาแฟนๆ ของซองจูเป็นต้องกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง แทบจะพากันล้มทั้งยืนเลยทีเดียว และถึงจะไม่ใช่แฟนคลับของเจ้าตัว แต่ถ้าเป็นฮันซองจูแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะไม่รู้สึกชื่นชอบในตัวเขา
คนที่รู้ความจริงว่าภาพลักษณ์พวกนั้นมันก็แค่เรื่องลวงโลกก็คือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นที่เจ้าตัวสังกัดอยู่ และน้องชายแท้ๆ ที่ไม่เคยจะญาติดีกันได้เลยอย่างฮันซองฮี คนเหล่านี้คือคนที่ฮันซองจูยินยอมให้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
แม้กระทั่งพ่อแม่ที่เป็นผู้ให้กำเนิดเขาออกมาก็ยังไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงในอีกด้านของเขาเลย ในสายตาของพ่อและแม่ แม้เขาจะดูเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนอยู่สักหน่อย แต่พ่อกับแม่ก็คิดว่าเขาเป็นคนดี ใจดี และเป็นผู้ชายที่อบอุ่นยิ่งกว่าใคร เหมือนว่าตัวเขาจะเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านการแสดง ที่แม้แต่คนใกล้ชิดที่สุดก็ยังถูกเขาแสดงละครตบตาได้อย่างแนบเนียน แม้ว่าผลของมันจะทำให้ตัวเขาต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างก็ตาม
แกร๊ก
ซองจูเปิดประตูห้องนอนออก แล้วจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละก้าว เสียงบานพับประตูที่ดังขึ้นฟังดูสบายๆ สวนทางกับสีหน้าของซองจูในยามนี้ที่กำลังขมวดมุ่นเสียจนหน้าผากเกิดเป็นรอยยับย่น
“คงต้องสั่งให้มินซิกรีบไปจัดการให้เรียบร้อย”
ไม่ทันไรเขาก็เริ่มความคิดที่จะสร้างความหนักใจให้กับผู้จัดการของตัวเองเสียแล้ว แล้วเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงตรงกลางเตียงขนาดคิงไซส์นั่น
“เฮ้อ…”
ทันทีที่ตัวสัมผัสกับเตียง ทัศนียภาพตรงหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยเพดานห้องสีขาวสะอาดตาไร้ซึ่งร่องรอยตำหนิหรือลวดลายใดๆ สีขาวเป็นสีที่ง่ายต่อการเปรอะเปื้อนยิ่งกว่าสีไหนๆ มันทำให้เขาไม่ชอบใจนัก แต่ด้วยนิสัยแล้วเขาไม่ชอบให้มีลวดลายที่ดูยุ่งเหยิง เพราะมองแล้วมันขัดหูขัดตา จึงเป็นเหตุให้ห้องของเขาเป็นสีขาวทั้งหมด ทั้งที่ก็ไม่ได้ชอบใจอะไรนัก และด้วยรอบตัวมีแต่สิ่งที่ไม่ชอบเต็มไปหมด ทำให้ซองจูได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหลับตาลง
‘ผมชอบรุ่นพี่ครับ’
น้ำเสียงเล็กๆ แต่แจ่มชัด มันไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเขา ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่มีทางจะลบเลือนมันออกไปได้
แม้จะหลับตาอยู่ แต่ภาพใบหน้าที่จดจำได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อ แต่ก็มีประกายไหวหวั่น นัยน์ตาลุ่มลึกที่พร้อมจะดูดกลืนทุกสิ่งนั่นโผล่เข้ามาในห้วงความคิด แม้ต้องการจะปิดกั้นแต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น ซองจูยินยอมให้ความอ่อนแอเข้ามาจู่โจมด้วยความยินดี
สิ่งนั้นที่เธอคอยทุ่มเทเพื่อเขาด้วยความเต็มใจ ซองจูไม่เคยลืมเลือนมันเลย
‘คุณซองจู ยิ้มหน่อยสิ ปกติก็เห็นยิ้มอยู่ตลอด ทำไมพออยู่ต่อหน้าฉัน คุณถึงได้เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นล่ะ หืม?’
‘คุณซองจู ฉันอยากไปที่นี่ เราไปด้วยกันได้ไหมคะ ทุกวันนี้เราเอาแต่เดตกันในรถบ้างละ ในห้องบ้างละ ฉันเบื่อแล้วนะ’
‘คุณซองจู เราไปเที่ยวกันเถอะค่ะ ทำไมไปไม่ได้ล่ะคะ ฉันเองก็อยากจะอวดให้คนอื่นๆ ได้รู้เหมือนกันนะ ว่าคุณน่ะเป็นแฟนของฉัน’
‘คุณซองจู’
‘คุณซองจู’
‘ที่รัก…’