นี่เราคงตาบอดสินะ เซจองบ่นพึมพำก่อนจะหันไปตะคอกใส่ผู้ชายน่าเอือมระอาทั้งสองคน
“ทั้งสองคนเลิกเป็นแบบนี้สักทีเถอะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ กันแล้ว ยังจะทำตัวไม่รู้จักคิดแบบนี้อีกเหรอ”
เซจองที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ต่างจากเมื่อก่อน หันขวับมาทางซองจูซึ่งไม่ได้แสดงความประหลาดใจแต่อย่างใด
“รุ่นพี่เองก็ช่วยแยกแยะด้วยเถอะครับ ผมรู้สึกละอายใจทุกครั้งที่รุ่นพี่ดงฮยอนพูดถึงรุ่นพี่ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังเอาแต่ใจตัวเองอยู่อีก ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่บ้างไม่ได้เหรอครับ”
มากล่าวหาว่าเขาทำตัวไม่สมเป็นผู้ใหญ่แบบนี้เนี่ยนะ คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งหลายปีจะกล้าวิจารณ์กันขนาดนี้ ซองจูพยายามอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด แต่อารมณ์ขุ่นมัวก็ยังคงฉายชัดบนใบหน้า เซจองที่รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองของซองจู สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ
“รุ่นพี่ ตอนนี้พี่ตัวคนเดียวเหรอ”
คำถามที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทำเอาซองจูที่กำลังคุกรุ่นถึงกับชะงัก
ตอนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ ซองจูที่ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อสักครู่ ย้อนถามเซจองกลับไปอีกครั้ง
“หมายถึงฉันมาที่นี่คนเดียวงั้นเหรอ”
ซองจูตระหนักถึงเจตนาที่แท้จริงในคำถามนั้น
เซจองคงจะรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับซองจูคร่าวๆ ผ่านทางดงฮยอน หรือไม่ก็ซองฮี อีกฝ่ายคงต้องการถามถึงซอยอนคนที่เขาคบหลังจากเลิกกับเด็กนี่ไปได้ไม่นานเท่าไหร่
ซองจูพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ
“อะไร คิดว่าฉันจะลงโทษตัวเองเหรอ”
คำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มบางเบานั่น กลับทำให้สีหน้าของเซจองสงบนิ่งลง
“โทษทีนะ คงมีแต่ผมที่มีความสุขดี”
แต่ว่าคำตอบนั้นที่เอ่ยออกมาช่างเย็นชาแตกต่างจากใจหน้าสงบนิ่ง และนั่นก็สร้างรอยบิดเบี้ยวไม่น่าดูขึ้นบนใบหน้าของซองจู
สุดท้ายแล้ว เซจองก็ไม่เคยแสดงออกว่ารักซองจูเลย สายตาที่ไม่ได้มองมายังเขาอีกต่อไปนั่น ไม่ได้มีร่องรอยของความรักใคร่ปรากฏอยู่ เขารู้ดีแต่ทำไมถึงยังรู้สึกต้องการมัน
หากซองจูต้องการได้เซจองคืนมา เมื่อสี่ปีก่อนที่อีกฝ่ายกลับมาเหยียบเกาหลี ตอนนั้นเขาก็ต้องคว้าตัวของอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว คว้าเอาไว้ให้ได้ก่อนที่เซจองจะได้เจอกับคิมจีฮุน ก่อนที่อีกคนจะถูกพ่อแม่ตัวเองเหยียดหยามอีกครั้ง เขาต้องใช้สองมือของตัวเองปัดป้องอันตรายเหล่านั้นเสีย ถึงจะรู้ดี แต่ก็เป็นเขาเองที่ก้าวเท้าออกมาจากโลกของเซจอง ซองจูเป็นคนที่รู้ความจริงพวกนี้ดียิ่งกว่าใครๆ
แม้จะรู้ดีว่าเขาควรจับมือของอีกคนไว้ แต่เขาก็คือคนที่ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์นี้ ซองจูที่อยากใช้เวลากับเซจองไปตราบนานเท่านาน ทำได้เพียงยอมแพ้ให้กับสถานการณ์ผิดปกติที่โอบล้อมเข้ามา สิ่งนั้น สิ่งที่ซองจูเกลียดอย่างที่สุด ‘สถานการณ์ผิดปกติ’ นั่น
ซองจูเสแสร้งใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก การใช้ชีวิตแบบนั้นช่วยทำให้จิตใจที่แปรปรวนของซองจูสงบนิ่ง ต้องยอมรับว่าสิ่งนั้นทำให้เขาโดดเด่นเหนือกว่าคนอื่น หากเพียงบอกความจริงเรื่องความลับดำมืดน่าตื่นตกใจที่ซ่อนเอาไว้ออกไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จะสามารถมั่นคงยิ่งขึ้นได้
แต่ทว่าความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดแบบนั้นก็ไม่ได้ยาวนาน ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็เลิกรากันไปอย่างที่คาดคิดไว้ โดยที่ยังไม่ทันได้แสดงออกมาว่าเสียใจ คนที่รู้ความจริงข้อนั้นดีก็คือซองจู คือตัวเขาเอง
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกอาวรณ์ถึงเซจองได้ คนที่โง่กว่าใครคือเขาเอง ซองจูหัวเราะเย้ยหยันตัวเองออกมา เสียงหัวเราะเย้ยหยันที่เต็มไปด้วยความเสียใจมันก็เหมาะกับเขาดี
“มีความสุขไหม”
เขาถามออกไปเช่นนั้น
การถามคนอื่นว่ามีความสุขหรือไม่ ในงานแต่งงานของน้องชายตัวเองแบบนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกล ณ มุมหนึ่งของสถานที่ซึ่งมีความสุขและความยินดีของทั้งโลกลอยอบอวลอยู่ทั่ว กลับเหมือนกำลังเกิดสงครามความขัดแย้งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ขึ้น มันช่างยากจะอธิบาย แม้ในตอนนี้จะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางรำคาญใจออกมา เพราะว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือมุนเซจอง ซองจูตระหนักขึ้นมาอีกครั้งว่า ตัวเขายังไม่ได้ปลดปล่อยอีกคนออกไปจากใจเลย
“อือ เป็นครั้งแรกเลยแหละที่มีความสุขแบบนี้”
เพราะได้เห็นใบหน้าของเซจองที่พูดว่ามีความสุขออกมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มันทำให้เขาทรมาน
ความสุขและชีวิตเรียบง่ายที่เขาไม่เคยให้อีกคนได้ มันเป็นสิ่งที่เซจองปรารถนาอย่างแท้จริง เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ที่เขาทำมันไม่ได้เพราะสิ่งที่อีกคนต้องการ ทั้งหมดมันตรงข้ามกับจุดยืนของฮันซองจู ซองจูรู้ตัวดี ว่าเขาไม่มีความคิดที่จะทำในสิ่งที่ขัดกับนิสัยของตัวเอง
“ดีนี่ แค่มีความสุขกับสิ่งที่ฉันทำให้ไม่ได้ก็พอแล้ว”
เพราะฉันไม่สามารถพานายกลับมาได้อีกแล้ว
ซองจูย้ำคำนั้นอีกครั้งในใจพร้อมยิ้มออกมา
[ประกาศค่ะ อีกสักครู่จะเริ่มพิธีสมรสระหว่างเจ้าบ่าวฮันซองฮีและเจ้าสาวคิมฮเยจองแล้ว ขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน มารวมตัวกันที่สถานที่จัดงานด้วยค่ะ]
ติ๊งต่อง
ในขณะที่เขายังคงสบตากับอีกคนที่เต็มไปด้วยความสุขและความรัก เสียงเปิดขวดแชมเปญที่ดังขึ้นก็เป็นสัญญาณให้พวกเขาทั้งสามได้รู้ว่าพิธีเริ่มขึ้นแล้ว ซองจูรีบพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาที่สวมอยู่ทันที
“ตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวก่อน ไม่อยากได้ยินเสียงบ่นจากเจ้าฮันซองฮี”
“ถ้าซองฮีว่าอะไรก็อ้างชื่อผมไปก็ได้ ถึงยังไงก็ไม่ได้โกหกอยู่แล้ว”
“ไม่ละ พูดชื่อนายไปคงได้เปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งแทน รีบเข้าไปละ”
“อือ ดีใจที่ได้เจอกันนะครับ”
“รู้แล้ว ไปนะ”
ทั้งสองเอ่ยลากันอย่างธรรมดา แต่ทว่าซองจูสังหรณ์ใจว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอเซจองโดยบังเอิญแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ถึงเซจองจะตั้งใจมาเจอ เขาคงต้องขอปฏิเสธ
เขาลองพินิจพิเคราะห์ใบหน้าอ่อนโยนและสดใสของเซจองเมื่อครู่
แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา
หากอีกคนตะโกนด่าทอ เรียกร้องให้เขารับผิดชอบที่ทอดทิ้งตนไป มันยังจะทำให้เขาโล่งใจมากกว่า แม้ในเวลาที่เขาโด่งดังอย่างที่สุด ก็ไม่ได้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น
มุนเซจองไม่ได้สนใจฮันซองจูแม้แต่น้อย
ทักทายเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ในช่วงที่เขาเอ่ยปากถามและพยายามค้นหัวใจดวงนั้น มุนเซจองก็เอาแต่สนใจคิมจีฮุนเท่านั้น
สิ่งที่เซจองสงสัยไม่ใช่เรื่องของฮันซองจู แต่เซจองเพียงแค่ต้องการจะยืนยันว่าตัวเองนั้นมีความสุขอีกครั้งผ่านสถานการณ์ปัจจุบันของเขา แม้จะรู้ดีว่าคนที่ทำให้เซจองเป็นแบบนั้นก็คือเขาเอง แต่ซองจูก็ยังเจ็บปวดกับท่าทางอย่างนั้นของอดีตคนรัก
ซองจูถูกลบเลือนไปตลอดกาลแล้ว เขาตระหนักได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้รับโอกาสอีกต่อไป
ถึงจะเจ็บปวด แต่มันก็คือความจริง
ซองจูเฝ้ามองแผ่นหลังของเซจองที่ค่อยๆ ไกลออกไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความขมขื่น
“เวร ฉันก็ต้องรีบเข้าไปแล้วนี่ ไม่งั้นไอ้ซองฮีคงได้คลุ้มคลั่งแน่”
บ่นพึมพำเบาๆ จบ ซองจูที่กำลังจะตรงไปทางห้องจัดเลี้ยงกลับต้องชะงักฝีเท้าแล้วหยุดยืนนิ่ง
แม่งเอ๊ย
ที่นั่น ไกลออกไปด้านนั้น มุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง แขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาทางเขา
‘ไอ้บ้านั่นรู้จักฮันซองฮีด้วยงั้นเหรอ?’
เขาได้แต่พึมพำไปมาในหัวอย่างไม่กล้าพูดออกมา
ตอนแรกที่เรียกอีกคนว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน เขาก็ยังไม่เชื่อสักเท่าไร แต่คงเพราะเขามันทึ่มเกินไป ถึงได้มองข้ามเรื่องที่อีกคนอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิงในวงของฮันซองฮี ‘คราฟท์’ วงอินดี้ที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกอยู่ตอนนี้ นึกได้ดังนั้นซองจูก็ทะลึ่งตัวตรงขึ้นทันที เหงื่อกาฬเปียกชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง
เขาจ้องมองไปยังจองอู ทั้งตัวของอีกคนยังคงห่อหุ้มไปด้วยโทนสีดำเช่นเดิม แต่สูทชุดนี้กลับเข้ากับอีกคนจนทำให้ดูภูมิฐานกว่าที่คิด
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มราวกับถูกทาบทับเอาไว้ด้วยความมืดมน ภายใต้แสงไฟสีเหลืองนวลในห้องจัดเลี้ยง ดวงตาคู่นั้นกลับส่องประกายหมองหม่นออกมา ใจของซองจูถึงกับร่วงหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อรับรู้ได้ถึงมัน
* * *
‘เอาละครับ ขอถามคำถามกับว่าที่ซูเปอร์สตาร์ในอนาคตสักหน่อยนะครับ รู้สึกยังไงบ้างในการเข้าฉากครั้งแรกครับ’
‘รุ่นพี่ครับ อย่าพูดเล่นแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวเจ้าตัวคิดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วจะถือตัวหยิ่งกว่าเดิมนะครับ’
‘เซจอง นายพูดอะไรของนายกัน แล้วก็ไม่ต้องรอถึงอนาคตหรอก ตอนนี้ฉันก็เป็นซูเปอร์สตาร์อยู่แล้ว’
‘คนแบบรุ่นพี่นี่ เขาเรียกว่าพวกหลงตัวเอง’
‘มุนเซจองโตขึ้นเยอะเลยนะ เมื่อก่อนยังเอาแต่โยเย แล้วก็เดินตามหลังฉันต้อยๆ อยู่เลยนี่’
‘ผมไปทำแบบนั้นตอนไหนกัน!’
เสียงหัวเราะดังกังวานไปทั่วห้องนั่งเล่นกว้าง ปิดซ่อนหัวใจที่หนักอึ้งเอาไว้ ซองจูจดจ้องไปยังจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่แขวนบนผนังห้องนั่งเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
บนจอภาพยังคงฉายภาพใบหน้าของฮันซองจูและเซจองที่กำลังพูดคุยพร้อมหัวเราะเสียงสดใส เสียงอ่อนเยาว์ของดงฮยอนที่ดังแทรกเข้ามาในบทสนทนา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวในวิดีโอนี้ผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว
‘เอาละ จบเรื่องไร้สาระไว้เท่านี้ก่อน ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับผลงานครั้งนี้หน่อยได้ไหมครับ คุณพระเอก’
‘เฮ้อ อะไรอีกล่ะ ทำเรื่องบ้าบออีกแล้วนะ ไม่รู้จักอายกันบ้างรึไง’
‘ไอ้นี่ อย่านอกเรื่อง รีบทำตามที่สั่งเดี่ยวนี้เลย ฉันกำลังรวบรวมเบื้องหลังอยู่นะ’
‘เฮ้อ วุ่นวายชะมัด…เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องเล่นใหญ่กันขนาดนี้เลยเหรอ จริงๆ เลย ถามคำถามใหม่อีกรอบสิ’
‘ทำทั้งทีก็ต้องเอาให้มันใหญ่ๆ ไปเลยสิ เอาละ ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับผลงานครั้งนี้หน่อยได้ไหมครับ คุณนักแสดงฮันซองจู’
‘อ้า อืม…นี่ถือเป็นโอกาสดีที่ได้รับมา ให้ตายพูดไม่ออกเลยแฮะ อะแฮ่ม สวัสดีครับ ผมฮันซองจูครับ ภาพยนตร์เรื่อง <ชูตติ้ง> เป็นผลงานเรื่องที่หกของชมรมภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยฮันกุกของพวกเราเองครับ…’
ใบหน้าในวัยเยาว์ของตัวเองที่กำลังเผยรอยยิ้มกว้างไม่ได้ดูแข็งกร้าวดังเช่นตอนนี้ ภาพที่ตัวเขากำลังพยายามอธิบายอย่างแข็งขัน ช่างให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย ซองจูเหม่อมองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย ตัวเขาที่เอาแต่พูดจ้อโดยมีเซจองอยู่ข้างๆ แบบนั้น
“ยังเด็กมากจริงๆ…”
แม้ใบหน้าของเขาตอนนี้จะดูเด็กกว่าอายุเกือบสิบปี แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแตกต่างไป การแต่งกายกับทรงผมเชยๆ นั่น และยังใบหน้าที่อวดยิ้มเปิดเผยของตัวเอง มันช่างดูแปลกพิกล เขาเคยดูสดใสขนาดนั้นด้วยเหรอ ไม่ชินเอาเสียเลย ตัวเขาที่พูดคุยหยอกล้อกับเซจอง มันดูอบอวลไปด้วยความรักแสนบริสุทธิ์ แม้จะเจอกับมรสุมก็ยังคงมีประกายสดใสแบบนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะหาได้จากฮันซองจูในเวลานี้
“พอเห็นแบบนั้นแล้ว เรานี่เก่งจริงๆ คนรอบข้างดูไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย ถูกหลอกกันหมด”
ซองจูพึมพำออกมา พร้อมเอนตัวพิงโซฟา
* * *