(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท – ตอนที่ 2-3

ตอนที่ 2-3 แผลฉกรรจ์

 

 

 

 

นี่เราคงตาบอดสินะ เซจองบ่นพึมพำก่อนจะหันไปตะคอกใส่ผู้ชายน่าเอือมระอาทั้งสองคน 

 

 

“ทั้งสองคนเลิกเป็นแบบนี้สักทีเถอะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ กันแล้ว ยังจะทำตัวไม่รู้จักคิดแบบนี้อีกเหรอ” 

 

 

เซจองที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ต่างจากเมื่อก่อน หันขวับมาทางซองจูซึ่งไม่ได้แสดงความประหลาดใจแต่อย่างใด 

 

 

“รุ่นพี่เองก็ช่วยแยกแยะด้วยเถอะครับ ผมรู้สึกละอายใจทุกครั้งที่รุ่นพี่ดงฮยอนพูดถึงรุ่นพี่ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังเอาแต่ใจตัวเองอยู่อีก ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่บ้างไม่ได้เหรอครับ”  

 

 

มากล่าวหาว่าเขาทำตัวไม่สมเป็นผู้ใหญ่แบบนี้เนี่ยนะ คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ไม่ได้ติดต่อกันมาตั้งหลายปีจะกล้าวิจารณ์กันขนาดนี้ ซองจูพยายามอดทนอดกลั้นอย่างที่สุด แต่อารมณ์ขุ่นมัวก็ยังคงฉายชัดบนใบหน้า เซจองที่รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองของซองจู สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ 

 

 

“รุ่นพี่ ตอนนี้พี่ตัวคนเดียวเหรอ” 

 

 

คำถามที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทำเอาซองจูที่กำลังคุกรุ่นถึงกับชะงัก 

 

 

ตอนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ ซองจูที่ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อสักครู่ ย้อนถามเซจองกลับไปอีกครั้ง 

 

 

“หมายถึงฉันมาที่นี่คนเดียวงั้นเหรอ” 

 

 

ซองจูตระหนักถึงเจตนาที่แท้จริงในคำถามนั้น 

 

 

เซจองคงจะรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับซองจูคร่าวๆ ผ่านทางดงฮยอน หรือไม่ก็ซองฮี อีกฝ่ายคงต้องการถามถึงซอยอนคนที่เขาคบหลังจากเลิกกับเด็กนี่ไปได้ไม่นานเท่าไหร่ 

 

 

ซองจูพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเองอย่างเงียบๆ 

 

 

“อะไร คิดว่าฉันจะลงโทษตัวเองเหรอ” 

 

 

คำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มบางเบานั่น กลับทำให้สีหน้าของเซจองสงบนิ่งลง 

 

 

“โทษทีนะ คงมีแต่ผมที่มีความสุขดี” 

 

 

แต่ว่าคำตอบนั้นที่เอ่ยออกมาช่างเย็นชาแตกต่างจากใจหน้าสงบนิ่ง และนั่นก็สร้างรอยบิดเบี้ยวไม่น่าดูขึ้นบนใบหน้าของซองจู 

 

 

สุดท้ายแล้ว เซจองก็ไม่เคยแสดงออกว่ารักซองจูเลย สายตาที่ไม่ได้มองมายังเขาอีกต่อไปนั่น ไม่ได้มีร่องรอยของความรักใคร่ปรากฏอยู่ เขารู้ดีแต่ทำไมถึงยังรู้สึกต้องการมัน 

 

 

หากซองจูต้องการได้เซจองคืนมา เมื่อสี่ปีก่อนที่อีกฝ่ายกลับมาเหยียบเกาหลี ตอนนั้นเขาก็ต้องคว้าตัวของอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว คว้าเอาไว้ให้ได้ก่อนที่เซจองจะได้เจอกับคิมจีฮุน ก่อนที่อีกคนจะถูกพ่อแม่ตัวเองเหยียดหยามอีกครั้ง เขาต้องใช้สองมือของตัวเองปัดป้องอันตรายเหล่านั้นเสีย ถึงจะรู้ดี แต่ก็เป็นเขาเองที่ก้าวเท้าออกมาจากโลกของเซจอง ซองจูเป็นคนที่รู้ความจริงพวกนี้ดียิ่งกว่าใครๆ  

 

 

แม้จะรู้ดีว่าเขาควรจับมือของอีกคนไว้ แต่เขาก็คือคนที่ตัดสินใจทำลายความสัมพันธ์นี้ ซองจูที่อยากใช้เวลากับเซจองไปตราบนานเท่านาน ทำได้เพียงยอมแพ้ให้กับสถานการณ์ผิดปกติที่โอบล้อมเข้ามา สิ่งนั้น สิ่งที่ซองจูเกลียดอย่างที่สุด ‘สถานการณ์ผิดปกติ’ นั่น  

 

 

ซองจูเสแสร้งใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก การใช้ชีวิตแบบนั้นช่วยทำให้จิตใจที่แปรปรวนของซองจูสงบนิ่ง ต้องยอมรับว่าสิ่งนั้นทำให้เขาโดดเด่นเหนือกว่าคนอื่น หากเพียงบอกความจริงเรื่องความลับดำมืดน่าตื่นตกใจที่ซ่อนเอาไว้ออกไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จะสามารถมั่นคงยิ่งขึ้นได้ 

 

 

แต่ทว่าความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดแบบนั้นก็ไม่ได้ยาวนาน ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็เลิกรากันไปอย่างที่คาดคิดไว้ โดยที่ยังไม่ทันได้แสดงออกมาว่าเสียใจ คนที่รู้ความจริงข้อนั้นดีก็คือซองจู คือตัวเขาเอง 

 

 

ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกอาวรณ์ถึงเซจองได้ คนที่โง่กว่าใครคือเขาเอง ซองจูหัวเราะเย้ยหยันตัวเองออกมา เสียงหัวเราะเย้ยหยันที่เต็มไปด้วยความเสียใจมันก็เหมาะกับเขาดี 

 

 

“มีความสุขไหม” 

 

 

เขาถามออกไปเช่นนั้น 

 

 

การถามคนอื่นว่ามีความสุขหรือไม่ ในงานแต่งงานของน้องชายตัวเองแบบนี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกล ณ มุมหนึ่งของสถานที่ซึ่งมีความสุขและความยินดีของทั้งโลกลอยอบอวลอยู่ทั่ว กลับเหมือนกำลังเกิดสงครามความขัดแย้งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ขึ้น มันช่างยากจะอธิบาย แม้ในตอนนี้จะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางรำคาญใจออกมา เพราะว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือมุนเซจอง ซองจูตระหนักขึ้นมาอีกครั้งว่า ตัวเขายังไม่ได้ปลดปล่อยอีกคนออกไปจากใจเลย 

 

 

“อือ เป็นครั้งแรกเลยแหละที่มีความสุขแบบนี้” 

 

 

เพราะได้เห็นใบหน้าของเซจองที่พูดว่ามีความสุขออกมาโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มันทำให้เขาทรมาน 

 

 

ความสุขและชีวิตเรียบง่ายที่เขาไม่เคยให้อีกคนได้ มันเป็นสิ่งที่เซจองปรารถนาอย่างแท้จริง เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดี ที่เขาทำมันไม่ได้เพราะสิ่งที่อีกคนต้องการ ทั้งหมดมันตรงข้ามกับจุดยืนของฮันซองจู ซองจูรู้ตัวดี ว่าเขาไม่มีความคิดที่จะทำในสิ่งที่ขัดกับนิสัยของตัวเอง 

 

 

“ดีนี่ แค่มีความสุขกับสิ่งที่ฉันทำให้ไม่ได้ก็พอแล้ว” 

 

 

 

 

 

เพราะฉันไม่สามารถพานายกลับมาได้อีกแล้ว 

 

 

 

 

 

ซองจูย้ำคำนั้นอีกครั้งในใจพร้อมยิ้มออกมา 

 

 

 

 

 

[ประกาศค่ะ อีกสักครู่จะเริ่มพิธีสมรสระหว่างเจ้าบ่าวฮันซองฮีและเจ้าสาวคิมฮเยจองแล้ว ขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน มารวมตัวกันที่สถานที่จัดงานด้วยค่ะ]  

 

 

 

 

 

ติ๊งต่อง 

 

 

ในขณะที่เขายังคงสบตากับอีกคนที่เต็มไปด้วยความสุขและความรัก เสียงเปิดขวดแชมเปญที่ดังขึ้นก็เป็นสัญญาณให้พวกเขาทั้งสามได้รู้ว่าพิธีเริ่มขึ้นแล้ว ซองจูรีบพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาที่สวมอยู่ทันที 

 

 

“ตอนนี้ฉันคงต้องขอตัวก่อน ไม่อยากได้ยินเสียงบ่นจากเจ้าฮันซองฮี” 

 

 

“ถ้าซองฮีว่าอะไรก็อ้างชื่อผมไปก็ได้ ถึงยังไงก็ไม่ได้โกหกอยู่แล้ว” 

 

 

“ไม่ละ พูดชื่อนายไปคงได้เปลี่ยนเป็นคลุ้มคลั่งแทน รีบเข้าไปละ” 

 

 

“อือ ดีใจที่ได้เจอกันนะครับ” 

 

 

“รู้แล้ว ไปนะ” 

 

 

ทั้งสองเอ่ยลากันอย่างธรรมดา แต่ทว่าซองจูสังหรณ์ใจว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้เจอเซจองโดยบังเอิญแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ถึงเซจองจะตั้งใจมาเจอ เขาคงต้องขอปฏิเสธ 

 

 

เขาลองพินิจพิเคราะห์ใบหน้าอ่อนโยนและสดใสของเซจองเมื่อครู่ 

 

 

แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา 

 

 

หากอีกคนตะโกนด่าทอ เรียกร้องให้เขารับผิดชอบที่ทอดทิ้งตนไป มันยังจะทำให้เขาโล่งใจมากกว่า แม้ในเวลาที่เขาโด่งดังอย่างที่สุด ก็ไม่ได้มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น 

 

 

มุนเซจองไม่ได้สนใจฮันซองจูแม้แต่น้อย 

 

 

ทักทายเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ในช่วงที่เขาเอ่ยปากถามและพยายามค้นหัวใจดวงนั้น มุนเซจองก็เอาแต่สนใจคิมจีฮุนเท่านั้น 

 

 

สิ่งที่เซจองสงสัยไม่ใช่เรื่องของฮันซองจู แต่เซจองเพียงแค่ต้องการจะยืนยันว่าตัวเองนั้นมีความสุขอีกครั้งผ่านสถานการณ์ปัจจุบันของเขา แม้จะรู้ดีว่าคนที่ทำให้เซจองเป็นแบบนั้นก็คือเขาเอง แต่ซองจูก็ยังเจ็บปวดกับท่าทางอย่างนั้นของอดีตคนรัก 

 

 

ซองจูถูกลบเลือนไปตลอดกาลแล้ว เขาตระหนักได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้รับโอกาสอีกต่อไป 

 

 

ถึงจะเจ็บปวด แต่มันก็คือความจริง 

 

 

ซองจูเฝ้ามองแผ่นหลังของเซจองที่ค่อยๆ ไกลออกไป ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความขมขื่น 

 

 

“เวร ฉันก็ต้องรีบเข้าไปแล้วนี่ ไม่งั้นไอ้ซองฮีคงได้คลุ้มคลั่งแน่” 

 

 

บ่นพึมพำเบาๆ จบ ซองจูที่กำลังจะตรงไปทางห้องจัดเลี้ยงกลับต้องชะงักฝีเท้าแล้วหยุดยืนนิ่ง 

 

 

แม่งเอ๊ย 

 

 

ที่นั่น ไกลออกไปด้านนั้น มุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง แขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งกำลังจ้องเขม็งมาทางเขา 

 

 

‘ไอ้บ้านั่นรู้จักฮันซองฮีด้วยงั้นเหรอ?’ 

 

 

เขาได้แต่พึมพำไปมาในหัวอย่างไม่กล้าพูดออกมา 

 

 

ตอนแรกที่เรียกอีกคนว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน เขาก็ยังไม่เชื่อสักเท่าไร แต่คงเพราะเขามันทึ่มเกินไป ถึงได้มองข้ามเรื่องที่อีกคนอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิงในวงของฮันซองฮี ‘คราฟท์’ วงอินดี้ที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกอยู่ตอนนี้ นึกได้ดังนั้นซองจูก็ทะลึ่งตัวตรงขึ้นทันที เหงื่อกาฬเปียกชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง 

 

 

เขาจ้องมองไปยังจองอู ทั้งตัวของอีกคนยังคงห่อหุ้มไปด้วยโทนสีดำเช่นเดิม แต่สูทชุดนี้กลับเข้ากับอีกคนจนทำให้ดูภูมิฐานกว่าที่คิด  

 

 

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มราวกับถูกทาบทับเอาไว้ด้วยความมืดมน ภายใต้แสงไฟสีเหลืองนวลในห้องจัดเลี้ยง ดวงตาคู่นั้นกลับส่องประกายหมองหม่นออกมา ใจของซองจูถึงกับร่วงหล่นลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อรับรู้ได้ถึงมัน 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

‘เอาละครับ ขอถามคำถามกับว่าที่ซูเปอร์สตาร์ในอนาคตสักหน่อยนะครับ รู้สึกยังไงบ้างในการเข้าฉากครั้งแรกครับ’ 

 

 

‘รุ่นพี่ครับ อย่าพูดเล่นแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวเจ้าตัวคิดว่าเป็นเรื่องจริง แล้วจะถือตัวหยิ่งกว่าเดิมนะครับ’ 

 

 

‘เซจอง นายพูดอะไรของนายกัน แล้วก็ไม่ต้องรอถึงอนาคตหรอก ตอนนี้ฉันก็เป็นซูเปอร์สตาร์อยู่แล้ว’ 

 

 

‘คนแบบรุ่นพี่นี่ เขาเรียกว่าพวกหลงตัวเอง’ 

 

 

‘มุนเซจองโตขึ้นเยอะเลยนะ เมื่อก่อนยังเอาแต่โยเย แล้วก็เดินตามหลังฉันต้อยๆ อยู่เลยนี่’ 

 

 

‘ผมไปทำแบบนั้นตอนไหนกัน!’ 

 

 

 

 

 

เสียงหัวเราะดังกังวานไปทั่วห้องนั่งเล่นกว้าง ปิดซ่อนหัวใจที่หนักอึ้งเอาไว้ ซองจูจดจ้องไปยังจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่แขวนบนผนังห้องนั่งเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง 

 

 

บนจอภาพยังคงฉายภาพใบหน้าของฮันซองจูและเซจองที่กำลังพูดคุยพร้อมหัวเราะเสียงสดใส เสียงอ่อนเยาว์ของดงฮยอนที่ดังแทรกเข้ามาในบทสนทนา บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวในวิดีโอนี้ผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว 

 

 

 

 

 

‘เอาละ จบเรื่องไร้สาระไว้เท่านี้ก่อน ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับผลงานครั้งนี้หน่อยได้ไหมครับ คุณพระเอก’ 

 

 

‘เฮ้อ อะไรอีกล่ะ ทำเรื่องบ้าบออีกแล้วนะ ไม่รู้จักอายกันบ้างรึไง’ 

 

 

‘ไอ้นี่ อย่านอกเรื่อง รีบทำตามที่สั่งเดี่ยวนี้เลย ฉันกำลังรวบรวมเบื้องหลังอยู่นะ’ 

 

 

‘เฮ้อ วุ่นวายชะมัด…เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องเล่นใหญ่กันขนาดนี้เลยเหรอ จริงๆ เลย ถามคำถามใหม่อีกรอบสิ’ 

 

 

‘ทำทั้งทีก็ต้องเอาให้มันใหญ่ๆ ไปเลยสิ เอาละ ช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับผลงานครั้งนี้หน่อยได้ไหมครับ คุณนักแสดงฮันซองจู’ 

 

 

‘อ้า อืม…นี่ถือเป็นโอกาสดีที่ได้รับมา ให้ตายพูดไม่ออกเลยแฮะ อะแฮ่ม สวัสดีครับ ผมฮันซองจูครับ ภาพยนตร์เรื่อง <ชูตติ้ง> เป็นผลงานเรื่องที่หกของชมรมภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยฮันกุกของพวกเราเองครับ…’ 

 

 

 

 

 

ใบหน้าในวัยเยาว์ของตัวเองที่กำลังเผยรอยยิ้มกว้างไม่ได้ดูแข็งกร้าวดังเช่นตอนนี้ ภาพที่ตัวเขากำลังพยายามอธิบายอย่างแข็งขัน ช่างให้ความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย ซองจูเหม่อมองดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย ตัวเขาที่เอาแต่พูดจ้อโดยมีเซจองอยู่ข้างๆ แบบนั้น 

 

 

“ยังเด็กมากจริงๆ…” 

 

 

แม้ใบหน้าของเขาตอนนี้จะดูเด็กกว่าอายุเกือบสิบปี แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแตกต่างไป การแต่งกายกับทรงผมเชยๆ นั่น และยังใบหน้าที่อวดยิ้มเปิดเผยของตัวเอง มันช่างดูแปลกพิกล เขาเคยดูสดใสขนาดนั้นด้วยเหรอ ไม่ชินเอาเสียเลย ตัวเขาที่พูดคุยหยอกล้อกับเซจอง มันดูอบอวลไปด้วยความรักแสนบริสุทธิ์ แม้จะเจอกับมรสุมก็ยังคงมีประกายสดใสแบบนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะหาได้จากฮันซองจูในเวลานี้ 

 

 

“พอเห็นแบบนั้นแล้ว เรานี่เก่งจริงๆ คนรอบข้างดูไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย ถูกหลอกกันหมด” 

 

 

ซองจูพึมพำออกมา พร้อมเอนตัวพิงโซฟา 

 

 

 

 

 

* * * 

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

ตอนที่ 1 – 5.5 (ตอนพิเศษ) อ่านนิยาย (จบ) ฮันซองจูนักแสดงหนุ่มชื่อดังโดนคู่หมั้นสาวถอนหมั้นอย่างไร้เยื่อใย แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าของต้นสังกัดก็ส่งคิมจองอู ชายหนุ่มแปลกหน้าให้มาพักกับเขา จากที่คิดว่าอีกคนคงจะทนไม่ได้แล้วจากไป แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจฮันซองจูมากกว่าที่คิด ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ ใครคนหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา แล้วแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แสดงเพิ่มเติม

Options

not work with dark mode
Reset