ทันทีที่งานแต่งงานจบลงเขาก็ตรงดิ่งมาที่ห้องตัวเองทันที
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ไปรวมตัวกันที่บ้านพ่อแม่เจ้าสาว แล้วจึงได้กลับมาที่นี่ ใบหน้าของพ่อแม่ที่ส่งยิ้มให้แขกเหรื่อตลอดงานแต่งงานมีแววเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว ซองจูปลอบใจพ่อแม่อยู่หลายครั้ง แต่ตัวเขาเองก็แอบซ่อนความรู้สึกโหวงเหวงเอาไว้เช่นกัน
ทำไมมันถึงรู้สึกโหวงเหวงแบบนี้นะ
เขากลับออกมาจากบ้านของผู้มีสายเลือดเดียวกัน ในสถานที่ซึ่งครอบครัวพร้อมหน้า แต่กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาด แล้วยังการบอกลากับอดีตคนรักนั่นอีก มันเหมือนว่าตัวเขาไม่ได้เป็นอะไรสำหรับคนพวกนั้นเลย ชั่วครู่ที่รู้สึกสิ้นหวังต่อความจริงนั้น ทำเอาซองจูรู้สึกอยากจะสำรอกมันออกมา แล้วเขาจึงเริ่มขับรถออกไปอีกครั้ง
ร่างกายที่ราวกับจมลึกสู่ใต้ดิน เขาก้าวเข้ามาภายในห้องด้วยความรู้สึกอ้างว้างจับใจ ปิดประตูอย่างแรงและทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาภายใน ซองจูก็รับรู้ถึงความว่างเปล่า
เพียงไม่กี่เดือน เขากลับเคยชินกับการมีตัวตนของแขกไม่ได้รับเชิญเสียอย่างนั้น ซองจูหัวเราะให้กับสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ แล้วจึงก้าวเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
หลังจากชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าด้วยน้ำอุ่น และจัดการเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ซองจูก็ตรงไปคว้าขวดแมคคัลแลน คราก สเตรง มาจากโฮมบาร์ที่อยู่ในห้องชุดทันที แล้วจึงย้ายตัวเองไปยังห้องนั่งเล่น วางขวดเหล้าลงบนโต๊ะอย่างไม่เบามือนัก ก่อนจะเดินเซไปข้างโทรทัศน์ ตรงนั้นมีเครื่องเล่นบลูเรย์และบรรดาแผ่นภาพยนตร์ดีวีดีที่เขาสะสมเอาไว้วางอยู่
ด้วยอาชีพนักแสดง เขาจึงสร้างห้องโฮมเธียเตอร์ไว้ในห้องอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีอารมณ์จะมานั่งดูภาพยนตร์อะไรแบบนั้น อย่างไรเสีย ก็ไม่ได้มีใจอยากดูภาพยนตร์อยู่แล้ว เขาเพียงต้องการลบความรู้สึกสับสนและไม่อาจเข้าใจได้พวกนี้ออกไปเท่านั้น ซองจูคุ้ยหาไปได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็เจอกล่องซีดีใสที่ไม่มีชื่อเรื่องกำกับอยู่
“นี่มัน…”
ทันทีที่ค้นพบสิ่งนั้น เขารู้สึกราวกับถูกตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง หากจำไม่ผิด นี่คงเป็นแผ่นซีดีที่บันทึกเรื่องราวส่วนหนึ่งสมัยมหาวิทยาลัย ช่วงที่พวกเขาและดงฮยอนถ่ายทำภาพยนตร์สั้นด้วยกัน ซองจูใส่แผ่นซีดีเข้าไปในเครื่องเล่นบลูเรย์ แล้วกดปุ่มเพลย์ทันที ภาพที่ฉายอยู่บนจอในตอนนี้ก็คือ
‘เอาล่ะ คุณจะพูดถึงเรื่องการแสดงของนักแสดงฮันซองจูให้เราฟังกันใช่ไหมครับ คุณมุนเซจอง?’
‘ผมยังไม่เคยได้เห็นแบบเต็มๆ เลย แล้วจะให้เอาอะไรมาพูดกันล่ะครับ’
‘โธ่ แบบนี้อีกแล้ว ดูก็รู้ คงจะเขินสินะครับ’
‘ก็มันจริงนี่ครับ รุ่นพี่ครับ ผมแค่ผ่านมานั่งเล่นฆ่าเวลาที่ห้องชมรมนี่แค่ไม่กี่ครั้งเองนะครับ’
ไม่รู้เมื่อไหร่ ที่บนหน้าจอเต็มไปด้วยภาพของเซจองที่กำลังถูกดงฮยอนเย้าแหย่แบบนั้น ซองจูคว้าขวดเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะรินเหล้าลงในแก้ว นี่ก็แก้วที่สามแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะดื่มไปมากเท่าไหร่ มันก็เปล่าประโยชน์ ไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลยสักนิด
เขาแกว่งแก้วที่บรรจุของเหลวสีอำพันเอาไว้ไปมา กลิ่นเข้มข้นของวิสกี้ลอยฟุ้งมากระทบประสาทส่วนรับกลิ่น เขายกแก้วขึ้นทาบแตะที่ริมฝีปากอย่างช้าๆ และในตอนนั้นเอง เสียงปลดล็อกดังแกร๊กจากประตูหน้าก็ทำเอาเขาหันไปมองยังทิศทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
“อ้า…”
ที่สุดทางเดินซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนประตูหน้านั้น จองอูกำลังจ้องมองมายังซองจู
“กลับมาเร็วกว่าที่คิดนะ”
จองอูเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาภายในห้องอย่างช้าๆ เขาอยู่ในชุดสูทเนี้ยบดูเรียบร้อย ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติไร้การเสริมแต่ง สดชื่นจัง
จองอูกำลังเดินผ่านไปยังห้องของตัวเองด้วยท่าทางระมัดระวัง แต่กลับถูกน้ำเสียงแผ่วเบาของซองจูรั้งตัวเอาไว้
“อยากดื่มสักแก้วไหม”
จองอูหันกลับมาทันทีด้วยท่าทางราวกับว่าตนนั้นคงหูฝาดไป ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมีแววของความไม่แน่ใจสะท้อนออกมา
“ถ้าไม่อยากดื่มก็แล้วแต่”
ซองจูที่ได้เห็นแววตาเช่นนั้น ถึงกับส่งเสียงคิกคักแผ่วเบาออกมา จองอูที่กำลังทอดสายตามองมาที่เขา เพียงพยักหน้าเล็กน้อย โดยไม่ได้แสดงสีหน้าผิดแปลกอะไรออกมาเลย
“ก็เอาสิ”
ทันทีที่เอ่ยปากออกมา อีกคนก็นั่งลงที่ด้านข้างซองจู แรงยุบฮวบและการขยับตัวของอีกฝ่ายทำให้ไออุ่นของเจ้าตัวส่งผ่านออกมา ไม่รู้ทำไมซองจูถึงได้รู้สึกดีกับไออุ่นนั้น ซองจูค่อยๆ ลุกจากที่นั่ง
“เดี๋ยวเอาแก้วมาให้”
เขาเดินไปที่ครัวราวกลับต้องการหลีกหนีจองอูเสียอย่างนั้น ขณะที่เดินออกมา เขายังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมายังตัวเองตลอดเวลา เป็นเขาที่เอ่ยชวนอีกฝ่ายออกไปก่อน จะแกล้งทำเป็นเนียนหนีไปเสียคงจะไม่ได้แน่ ได้แต่คว้าแก้ววิสกี้ออกมา แล้วกลับไปยังห้องนั่งเล่น ในเวลานั้นบนจอภาพยังคงปรากฎภาพที่เขาและเซจองถกเถียงกัน ด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าคงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น
‘โธ่ พอได้แล้ว หันกล้องกลับไปเลยนะ!’
‘ไม่ได้ถ่ายทำจริงสักหน่อย… ก็แค่ถ่ายเบื้องหลังเอง ทำไมนายต้องเรื่องคิดมากด้วย’
‘เบื้องหลังมันก็คือการถ่ายทำไม่ใช่รึไง เป็นดาราหรือไงถึงทำงั้นน่ะ’
‘ว้าว พูดไม่มีหางเสียงแล้วด้วย กับรุ่นพี่เลยนะ’
‘เป็นรุ่นพี่ก็หัดทำตัวให้มันเหมือนรุ่นพี่ซะบ้าง! ทำอะไรตามใจชอบอยู่เรื่อย…’
ภาพตัวเขาคงหยอกล้อกับเซจองที่กัดฟันกรอด แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าอีกคนดูสดใส ซองจูเบิกตาขึ้นเล็กน้อย
ซองจูคาดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า ความสัมพันธ์ของเขากับเซจองไม่มีทางยืนยาว แม้เขาจะชอบอีกคนมากขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรเซจองก็เป็นผู้ชาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่มีทางราบรื่น มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปิดเผยออกไปได้ ยิ่งซองจูได้เป็นนักแสดงดั่งที่ตั้งความหวังไว้ ช่วงเวลานั้นการพบเจอกับเซจองกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจอย่างที่สุด
เราคบหากันตอนอายุยี่สิบห้าและเลิกรากันตอนอายุยี่สิบแปด ช่วงที่สดใสที่สุดในชีวิต ระยะเวลาสามปีที่ได้คบหากันนั้น เขาทั้งคู่ไม่ได้เชื่อใจในกันและกัน และไม่ได้เปิดเผยทุกสิ่งต่อกัน
ท้ายที่สุดพวกเราก็คบหากันต่อไปไม่ได้ การเลิกรากันไประหว่างคนทั้งคู่นั้น มันไม่ได้มีอะไรสวยงามเลย และคนที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างกลับกลายเป็นเช่นนั้นก็คือตัวซองจูเอง
“เวรเอ๊ย…”
คำสบถเล็ดลอดออกมาพร้อมกับการกระแทกแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ ทั้งที่ควรตกใจกับการกระทำที่ก้าวร้าวนั่น แต่จองอูกลับยังนิ่งเฉย อีกคนทำราวกับไม่ได้ใส่ใจซองจูมากนัก เพียงยื่นมือออกไปรับแก้วเหล้ามา ดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วเบนสายตาไปยังจอโทรทัศน์เบื้องหน้าเท่านั้น
“คนนั้นน่ะ คือคนที่คุยด้วยเมื่อกี้ใช่ไหม”
จองอูที่มองภาพซองจูกับเซจองถกเถียงกันไปมาตั้งแต่เมื่อครู่ เอ่ยปากขึ้น หากเป็นเวลาปกติ เมื่ออีกคนเอ่ยถามอย่างสงสัยว่านี่มันคืออะไร ซองจูคงหาเรื่องกวนอารมณ์อีกคนกลับไปแล้ว หากเขากลับไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
“…ดูจะชอบมากเลยสินะ”
เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น ไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวใดๆ เพียงแค่จ้องเขม็งไปที่จอโทรทัศน์ด้วยแววตาที่ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ จองอูที่เห็นอีกฝ่ายกัดปากราวกับไม่ต้องการตอบสิ่งใด เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“ขอโทษ ฉันคงล้ำเส้นมากไป”
“…รู้ก็ดีแล้วนี่”
ในที่สุดซองจูก็เอ่ยปาก
เขาเอื้อมไปคว้าแก้วเหล้าที่วางบนโต๊ะมาถือไว้
ยกขึ้นดื่มรวดเดียว ภายในร้อนขึ้นราวกับถูกเผาผลาญด้วยรสเหล้าดีกรีแรงที่ไหลผ่านเข้าไป เขาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา พิงศรีษะไปบนนั้น ร่างกายที่เย็นเยียบสั่นสะท้าน สายตาเริ่มพร่ามัว ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ซึ่งค่อยๆ หยาดหยดลงมา บนจอภาพยังคงฉายภาพร่องรอยของวันคืนเหล่านั้นออกมา เขาจ้องไปบนจอภาพนั่นอีกครั้งแล้วก็ได้เห็นใบหน้าของเซจอง
ดวงตาที่เป็นประกายสีเขียวอ่อนนั่นช่างดูห่างไกลเหลือเกิน
ตอนนี้เขาได้ลิ้มรสของความเสียใจแล้ว แม้จะรู้ดีว่ามันไม่ทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกก็ตาม ซองจูกัดฟันกรอด หมดหวัง เขาหลับตาลงชั่วขณะ เมื่อไม่อาจปรับสายตาที่เลือนรางให้กลับเป็นปกติได้ น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นดึงซองจูให้กลับมาอีกครั้ง
“ถ้านายไม่ถือสาอะไรที่เป็นฉันละก็ ลองระบายมันออกมาบ้างดีไหมล่ะ น่าจะทำให้นายสบายใจกว่าที่ทำอยู่”
คำพูดที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินมัน ทำเอาซองจูต้องกะพริบตาถี่ ๆ
“สงสารฉันอยู่งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“งั้นคืออะไรล่ะ”
“เก็บเอาไว้ในใจแบบนั้น อาจจะป่วยเป็นโรคตรอมใจ…เหมือนแม่”
“อะไรกัน เรื่องแบบนั้น”
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ซองจูถึงกับหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเข้าใจว่าอีกคนเป็นพวกเถรตรงและไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่ไม่คิดว่าจะมีด้านแบบนี้กับเขาด้วย
“นายน่ะ ชื่อว่าอะไรนะ”
“…คิมจองอู”
“งั้นเหรอ”
ซองจูตอบรับกลับไปเหมือนไม่มีเรื่องอะไร แล้วจึงผงกศรีษะที่พิงโซฟาเอาไว้เมื่อครู่กลับขึ้นมา
“นายมีความสัมพันธ์ยังไงกับฮันซองฮีงั้นเหรอ? รู้จักกันมานานแล้วเหรอ?”
“หา?”
“ก็ไอ้คนที่มันแต่งงานวันนี้ไง”
เมื่อครู่ยังทำราวกับจะเป็นจะตาย แต่จู่ๆ กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแทนเสียอย่างนั้น กระทั่งดวงตาคู่นั้น ก็กลับสดใสขึ้นมาด้วย จองอูเหม่อมองอีกฝ่ายที่แปรปรวนไปมาแล้วถึงกับเกาศรีษะแกรกๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“นายรู้ตัวไหมว่าเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยน่ะ เมื่อกี้ยังทำท่าจะเป็นจะตาย จู่ๆ ทำไมมาถามถึงเรื่องของพี่ซองฮีซะอย่างนั้นล่ะ”
“พี่? นายเด็กกว่าฮันซองฮีอีกเหรอ? นายบอกว่าอายุเท่าไหร่กันนะ?”
“สามสิบสอง ทั้งชื่อ ทั้งอายุ ฉันว่าฉันตอบไปตั้งแต่วันแรกแล้วนะ นี่นายเป็นพวกที่ไม่ใส่ใจอะไรใครเลยอย่างนั้นสินะ”
ซองจูไม่ได้ใส่ใจสักนิด ถึงแม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเคยแนะนำตัวไปตั้งแต่วันแรก ตอนนี้ยังจะมาถามคำถามพวกนั้นซ้ำอีกเหรอ
“แล้วทำไมฉันต้องให้ความสนใจกับนายด้วยล่ะ แขกไม่ได้รับเชิญที่แอบเข้ามาในห้องฉันเนี่ย รู้สึกว่าต้องการนู่นนี่เยอะจังนะ”
จองอูถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เหมือนตอนนี้ซองจูจะกลับไปเป็นคนเดิมแล้ว
“คิดไม่ถึงว่านายก็เป็นคนตลกกับเขาด้วย”
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ ตอบคำถามมาสักที สนิทกับฮันซองฮีเหรอ”
“ก็นะ ตามประสาคนที่ทำงานด้วยกันอยู่หลายปี แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นคนในครอบครัวพี่ซองฮีด้วย ไม่เห็นจะเหมือนกันเลยสักนิด”
“ก็เพราะฉันเหมือนแม่ ส่วนไอ้นั่นเหมือนพ่อไงละ”
นิสัยก็ต่างกันโดยสิ้นเชิงด้วย เขาบ่นพึมพำออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนัก จองอูที่จ้องมองซองจูซึ่งกำลังเทเหล้าลงในแก้วอยู่นั้น ก็ได้ยื่นแก้วในมือตัวเองออกมา
“ขออีกแก้ว”