เริ่มแรกที่เขาคิดว่าอีกคนคงจะทนอยู่ได้ไม่นานแล้วก็จะจากไป แต่กลายเป็นว่าอีกคนกลับก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อเขามากกว่าที่คิด กว่าจะรู้ตัวเขาก็หมดโอกาสที่จะกำจัดอีกคนออกไปแล้ว การได้มาพัวพันกับจองอู ทำให้แม้แต่ความคิดห่วงกังวลก็มีเพิ่มมากขึ้น เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปแล้วหรือไงกัน
คงเพราะจิตใจเขากำลังอ่อนแอ
ตั้งแต่ที่ได้เจอกับเซจองที่งานแต่งงานของซองฮี การแสร้งตีหน้าตายปล่อยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป เพราะอย่างนั้น เขาคิดว่าหากถูกก่อกวนแค่เพียงเล็กน้อย ก็คงทำให้อาละวาดออกมาได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แต่ว่าพอคิดทบทวนดูแล้ว ซองจูยังไม่เคยอาละวาดออกมาเลยด้วยซ้ำ ชีวิตเขาไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม นอกจากจองอูที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ขยับเข้ามาอยู่ข้างๆ เขาแบบนั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกไปเลย หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา หากเขาไม่ได้พยายามเอาชนะคะคานกับจองอูเช่นนี้ อีกคนก็คงไม่ต่างจากมินซิกที่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“อยากจะบ้าตาย…”
ซองจูแสดงความหงุดหงิดออกมาโดยการทุบกำปั้นเข้ากับต้นขาที่ไร้ความผิดของตัวเอง เพราะไม่มีอะไรเป็นดั่งใจสักอย่าง
การกระทำและคำพูดของจองอู เขารู้ดีว่าไม่ได้มีความตั้งใจใดๆ แอบแฝงอยู่ พวกเขาไม่แม้แต่จะสนิทกันด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่ยอมให้ทำอย่างนั้นแน่ๆ เพียงแค่คิดไปตามสิ่งที่ได้ยินมันก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจฟังคำพูดที่พูดออกมา แต่ว่ามันกลับต่างจากที่ซองจูคิดไว้ เขาตอบรับกับคำพูดที่จองอูพูดออกมาทีละคำทีละคำทั้งเรื่องดีและร้าย นั่นเพียงเพราะว่าเขามองเห็นความเจ็บปวดของอีกคน แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รู้สึกว่านี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด
ฮันซองจูไม่เคยแสดงความในใจให้ใครรับรู้ทั้งนั้น
แม้แต่กับพ่อแม่ พี่น้องท้องเดียวกัน เขาก็ใช้ชีวิตโดยการเสแสร้งกับคนเหล่านั้นตลอดมา แต่กลับยอมเปิดเผยเรื่องราวภายในใจให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
สำหรับคนอื่นแล้ว ชีวิตของฮันซองจูไม่ได้อะไรยากลำบากอะไรเลยสักนิด ชีวิตที่ดูไม่มีอะไรในสายตาของคนอื่น สำหรับซองจูแล้ว ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น เขาใช้ชีวิตแบบนั้นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนล่วงเลยมากว่าสามสิบปี ‘ความไม่ปกติ’ คือตัวตนของเขา และสิ่งนั้นก็กำลังจะเปลี่ยนไป
การเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเช่นนี้ แม้แต่เซจองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ
แต่ว่าทำไมกันนะ ทำไมคิมจองอูถึงสามารถทำได้
ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าอะไรเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุด
ตอนนี้ซองจูทำได้เพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้น
อีกคนที่เป็นดังป้อมปราการ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา
และแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ไช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป
ความรู้สึกที่ซองจูเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันเอ่อล้นขึ้นมาจนจุกแน่นถึงคอ
“ไอ้บ้านั่น ทำอะไรกับฉันกันแน่”
เขาหงุดหงิดจองอูทั้งที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ ในระหว่างที่กำลังรอคอยให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยน แม้จะระบายความกระวนกระวายออกมาด้วยการเคาะนิ้วชี้ลงบนพวงมาลัยรถ แต่แถวรถที่ยาวสุดลูกหูลูกตาและไม่มีทีท่าว่าจะขยับขเยื้อน ก็ทำเอาซองจูที่เฝ้ารอคอยได้แต่แสดงความกระวนกระวายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างนั้น
ภายในตัวตึกเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นสว่างไสวด้วยแสงไฟไม่ต่างจากย่านคังนัมที่เป็นที่ตั้งของตัวตึก แม้ว่าบรรดาพนักงานออฟฟิศในระแวกใกล้เคียงจะเลิกงานกันหมดแล้ว แต่ที่นี่ยังคงมีบรรดาเด็กฝึกอยู่กันเต็มห้องซ้อม รวมถึงพวกพนักงาน และทีมงานที่พากันวิ่งวุ่นไปมาเต็มไปหมด ซองจูตีหน้าเคร่งขรึมออกมา ไล่คนพวกนั้นให้กระเจิงไปคนละทิศละทาง แล้วก้าวขาเรียวยาวอย่างเนิบๆ ไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องผู้บริหาร
ปัง!
ทันทีที่ปิดประตูห้องผู้บริหารลงอย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่ามันจะพังลงมา ดงฮยอนซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟาและกำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่นั้น ก็ยกยิ้มพรายออกมา
“โอ้โฮ มาเร็วกว่าที่คิดเสียอีกนะ”
ซองจูแสดงออกอย่างหงุดหงิดกับสีหน้าน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย ด้วยการกอดอกยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
“โอ้โฮ สมองกระทบกระเทือนสินะ เลิกเสแสร้งแล้วก็พูดธุระมาซะ พี่วางแผนบ้าอะไรอยู่กันแน่ พี่เรียกผมออกมาแบบนี้มันน่าสงสัยมาก รู้ใช่ไหม…บ้าอะไรวะเนี่ย”
“ก็นั่นไง ถ้าฉันบอกนายไปตรงๆ นายจะยอมมารึไง”
ปฏิกิริยาตอบรับของซองจูไม่ได้ต่างไปจากที่คาดไว้เลยสักนิด สีหน้าของดงฮยอนจึงดูเจื่อนลงเล็กน้อย ซองจูกัดฟันกรอด จ้องมองมาราวกับต้องการจะฆ่าอีกคน อีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดงฮยอนและกำลังหันหน้ามาทางเขา
“ไอ้เวรนี่ทำไมมาอยู่นี่ ที่เรียกให้มาเนี่ย คงไม่ใช่จะให้ทำงานด้วยกันหรอกใช่ไหม”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันคงปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้วเหมือนกัน ฉันเองก็ไม่ได้อยากเจอนายนักหรอกนะ ฮันซองจู”
“ผู้กำกับ คิมจีฮุน อย่ามาเรียกชื่อกันตามอำเภอใจแบบนี้”
ซองจูตำหนิอีกฝ่ายเสียงดัง ทั้งที่อีกฝ่ายยังใช้สายตาคมดุนั่นมองมายังเขา แต่ทว่า จีฮุนกลับทำหูทวนลม ไม่ได้ยินคำตักเตือนนั้น และยังส่ายหน้าไปมาพร้อมส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยซองจู
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยสินะ ใครกันแน่ที่ขึ้นเสียงใส่คนอื่นน่ะ”
“เอาล่ะ นอกจากไม่ให้ฉันขึ้นเสียงใส่นายแล้วยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ ไหนว่ามาสิ เรื่องอะไรที่ถ้าไม่ใช่ฉันก็ทำไม่ได้ และยังไอ้อะไรที่ฉันต้องได้รับนั่นอีก คิดจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เรียกให้คนที่กำลังพักผ่อนอยู่ต้องถ่อออกมาถึงนี่รึไง”
ซองจูพูดเหน็บแนมอีกฝ่ายออกมา ก่อนจะขยับตัวไปทางประตู สายของจีฮุนดุดันยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นท่าทางกอดอกและเอนตัวพิงเข้ากับผนังห้องเย็นเยียบอย่างอวดดีแบบนั้นของซองจู แต่ว่าซองจูก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจกับเรื่องนั้น
“ว่ามา ถ้าเรียกมาเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะก็ ฉันไม่อยู่เฉย ๆ แน่”
คำพูดที่ราวกับคำเตือนนั่น ทำให้ดงฮยอนได้แต่ถอนหายใจกับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
“เฮ้อ…ถ้านายจะอยู่เฉยๆ แล้วคอยฟังว่าประธานคิมจะว่ายังไง มันจะตายรึไง”
“พี่เงียบไปเลย”
“นี่ ไอ้เจ้านี่ นายนี่มัน…”
“ไม่เป็นครับ ประธานชิน”
“เฮอะ นี่สองคนกำลังเล่นบ้าอะไรกัน”
ซองจูส่งสายตาเย้ยหยันมองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง ที่กำลังขอโทษกันไปมา เขาไม่รู้ว่าท่าทางพวกนั้นมันคืออะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาถูกเรียกมาทำอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่ามันเป็นแผนการที่มาจากใคร แต่ไม่ว่าอย่างไร คนร้ายก็ดูเหมือนจะเป็นดงฮยอนนั่นแหละ เขาไม่มีทางคิดหรอกว่า คนที่ดูหัวแข็ง ดื้อดึง และชอบพูดจาซ้ำซากแบบคิมจีฮุนจะเป็นคนร้ายได้ ซองจูจึงโยนความโมโหไปที่ดงฮยอน
“รีบเอาออกมาสิ ของที่ฉันต้องได้รับนั่นน่ะ อะไร? อย่างคิมจีฮุน คงจะไม่เอาของขวัญมาให้กันหรอกนะ มันเรื่องอะไร? มีแผนอะไรกันแน่?”
“นี่ ซองจู หยุดทำท่าทางแบบนั้น แล้วมานั่งคุยตรงนี้ดีๆ มา”
“ผมไม่มีอะไรจะคุย ถ้าอยากจะคุยอะไรกับผมแล้วละก็ ไล่ไอ้นั่นออกไปซะ”
“ซองจู”
คำพูดที่เหมือนสั่งให้เขาพอสักทีนั่น ทำเอาใบหน้าของซองจูที่ขมวดมุ่นอยู่แล้ว ยิ่งขมวดมุ่นมากเข้าไปใหญ่ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันแน่ ซองจูยังคงดื้อดึงปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น
“ปล่อยไปเถอะครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ถึงกับต้องมานั่งจับเข่าคุยกันอยู่แล้ว ยังไงซะ ฝ่ายที่ต้องเสียใจก็เป็นเขา ท่านประธานไม่จำเป็นต้องไปรบเร้าเขาแบบนั้นหรอกครับ”
“อะไรนะ หมายความว่ายังไงวะ”
สถานการณ์ดูไม่ปกติจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ขนาดดงฮยอนที่ขึ้นชื่อว่าไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ยังถึงกับมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ตอนนี้ ซองจูส่งเสียงเฮอะพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากออกมา
“เฮ้อ ก็ได้ ไหนลองว่ามาสิ มันเรื่องอะไรกัน”
ซองจูพูดดแบบนั้นพร้อมกับมองไปยังดงฮยอนที่มีสีหน้าลำบากใจ
“นี่ ยังไงก็มานั่งนี่ตรงนี้ก่อนมา มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะจะพูดด้วยบรรยากาศแบบนี้หรอกนะ”
“แล้วทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วย”
“ซองจู ทำแบบนี้นายจะเสียใจนะ”
เพราะท่าทางที่จริงจังกว่าที่คิดของดงฮยอน ทำให้สีหน้าของซองจูยิ่งแสดงความดื้อรั้นออกมา
ให้ตายสิมันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนนิสัยปกติของดงฮยอนเลยสักนิด อีกคนไม่ยอมบอกมาอย่างชัดเจนแต่แรกว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องอะไร ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดเปลี่ยนใจหลังจากได้คุยกับคิมจีฮุน แล้วก็หัวข้อที่จีฮุนกับดงฮยอนคุยกัน มันคือเรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อพอจะเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าวๆ แล้ว สีหน้าของซองจูก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมา หากให้ลองคาดเดาออกมา จากคำพูดของจีฮุน ซองจูดูจะไม่มีอำนาจต่อรองกับสถานการณ์ในตอนนี้เลย
“พวกบ้านี่…”
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็เหมือนจะมีแต่เสียกับเสีย ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ซองจูขมวดคิ้วแน่นเสียจนใบหน้านั้นยับย่น แล้วจึงค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่คนทั้งสองนั่งอยู่
“ว่าไง รีบพูดมาสิ มีเหตุผลอะไรถึงได้เรียกคนที่ไม่ได้มีเวลาว่างมากให้ออกมาแบบนี้”
แม้จะมีท่าทีที่ดูอ่อนลงกว่าเมื่อครู่ แต่ก็คงท่าทีอวดดีเอาไว้เช่นเดิม แน่นอนว่าถ้าผลมันออกมาว่าเขาถูกเรียกออกมาด้วยเรื่องไม่สำคัญแล้วละก็ ซองจูคงจะไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ และสำหรับซองจูแล้ว เรื่องสำคัญก็มีแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมุนเซจองเท่านั้น
ดงฮยอนมองไปยังซองจูครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งสายตาบางอย่างให้จีฮุน
“เอานี่ไปซะสิ”
จีฮุนพูดออกมาแบบนั้น พร้อมกับนำถุงกระดาษที่เคยวางอยู่ข้างตัวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ภายในถุงกระดาษสีดำไร้ซึ่งลวดลายใดๆ มีกล่องสีดำใบหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถระบุได้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในนั้น
“นี่มันอะไรกันล่ะ”
“ดูแล้วก็จะรู้เอง”
“ไม่ใช่ของพิเรนทร์อะไรใช่ไหม”
“ไม่เชื่อหรือไง ถึงได้ถาม”
ซองจูจ้องเขม็งไปยังจีฮุนที่โต้กลับมาอย่างอวดดี พร้อมท่าทีที่ไร้ความเกรงใจใดๆ นั่นครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบกล่องสีดำที่อยู่ภายในถุงกระดาษนั่นออกมา กล่องนี่ดูเบากว่าที่เขาคิดไว้
“มันมีอะไรอยู่ในนี้กันแน่”
บ่นพึมพำออกมาเสียงเบาพร้อมกับเปิดฝากล่องออก แล้วใบหน้าของซองจูก็ยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิม
ภายในกล่องสีดำใบนั้นมีเพียงกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบหนึ่งใส่อยู่เท่านั้น
“นี่มัน…”
“ตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บเอาไว้อีกต่อไปแล้ว”
จีฮุนเอ่ยกับซองจูที่จ้องมองไปยังกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนั้นอย่างเหม่อลอย สีหน้าของเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ดูดีนัก ดงฮยอนที่มองคนทั้งคู่สลับไปมา ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ฉันจะออกไปก่อน ยังไงก็ค่อยๆ คุยกันละ แล้วก็อย่าทำลายข้าวของด้วย”
ดงฮยอนพูดทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ก่อนจะออกจากห้องไป
“เฮ้อ…”
แม้จะพยายามลองใช้มือทั้งสองข้างถูหน้าตัวเองแรงๆ ดูแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถทำให้จิตใจที่หวาดหวั่นกลับมานิ่งสงบได้เลย เขาไม่สบายใจเลยสักนิดเพราะไม่รู้ว่าหากเขาก้าวออกไปจากบริษัททั้งอย่างนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น เขายืนนิ่งอยู่หน้าห้องทำงานของตัวเองมาพักหนึ่งแล้ว แต่โชคดีที่ไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเล็ดลอดออกมา ในตอนนั้นเองดงฮยอนจึงหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ ไอ้พฤติกรรมพวกนี้นี่มันอะไร อายุที่เพิ่มขึ้นมันก็แค่ตัวเลขสินะ…ฉันคงแก่แล้วสินะ แก่แล้วจริงๆ”
เขาบ่นพึมพำเรื่อยเปื่อยออกมาโดยไม่เข้ากับอายุที่เพิ่งจะอยู่ในช่วงสี่สิบต้นๆ เลยสักนิด พร้อมกับเดินอย่างอ่อนแรงไปตามทางเดินที่เงียบสงบ เขารู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้
“คงจะไม่เกิดเรื่องแบบตอนนั้นหรอกนะ”
เดินมาได้สักพักจนถึงสุดทางเดิน ใบหน้าของดงฮยอนก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา