เหตุการณ์เปิดตัวว่าเซจองเป็นพวกรักร่วมเพศเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั้น ไม่ได้มีแค่สองคนที่ได้รับผลกระทบ แม้แต่ดงฮยอนที่เป็นผู้บริหารของบริษัทก็พลอยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไปด้วย
ตอนที่ถูกพ่อแม่จับได้เรื่องรสนิยมส่วนตัวนั้น ทำให้เซจองถูกทุบตีจนแทบดูไม่ได้ และเลือกหลบหนีไปทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาด้วยซ้ำ เซจองยอมแพ้และจากไปเช่นนั้น เหลือเพียงแค่ซองจูที่ถูกพ่อแม่ของเซจองซึ่งกอดเก็บความเจ็บแค้นเอาไว้ และคอยตามราวีงานของเจ้าตัวในทุกทาง
เพราะงานในวงการบันเทิงของทั้งคู่ที่ถูกระงับ จึงทำให้บริษัทเองไม่อาจอยู่ในสภาวะปกติได้ เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้แต่ดงฮยอนก็ยังต้องเผชิญกับความผิดหวังจากพ่อแม่ เขาพยายามดูแลและรักษาบริษัทเอาไว้อย่างยากลำบาก แม้ตอนนี้มันจะเป็นเรื่องที่เมื่อคิดถึงแล้วก็ทำให้รู้สึกขำ แต่กว่าซองจูจะได้กลับสู่วงการ และกว่าบริษัทจะฟื้นตัวกลับคืนมาได้นั้น ก็ใช้เวลาไปกว่าห้าปี
ถึงอย่างนั้น ภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น ไม่กี่ปีต่อมาเขาก็ได้รับการติดต่อจากเซจอง อีกคนยังคงมีท่าทีเช่นแต่ก่อน และนั่นก็ทำให้เขาเกิดความละอาย รู้สึกอยากแสดงความรับผิดชอบต่ออีกคน
สำหรับดงฮยอนแล้ว ซองจูกับเซจองเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ที่เริ่มมาจากการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย เขาคือคนที่ชักจูงทั้งคู่เข้าสู่วงการบันเทิง รู้เห็นในเรื่องความสัมพันธ์แบบคนรัก และจุดจบที่พังไม่เป็นท่าของความสัมพันธ์นั่น และต้องคอยตามสะสางทุกอย่าง ความรับผิดชอบอันหนักหนาพวกนั้น ดงฮยอนกอดเก็บมันเอาไว้ลึกสุดใจตลอดมา ด้วยเหตุนั้น ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาไม่สามารถเมินเฉยต่อคำขอร้องอย่างกะทันหันของจีฮุนได้ เพราะคำขอร้องจากจีฮุนก็ไม่ต่างจากคำขอร้องของเซจองเลย
ตอนที่ได้ยินว่าเซจองมีบางอย่างอยากจะมอบให้กับซองจูเป็นครั้งสุดท้าย ดงฮยอนก็ตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีกต่อไปแล้ว
แม้จะแกล้งว่าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่กับซองจูที่ไม่ได้จริงจังกับใครและยังคงไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อเซจองได้ กับเซจองที่ต้องการที่พักพิงและคอยเฝ้าแต่ตามหาความสบายใจในชีวิตที่เรียบง่ายนั้น ดงฮยอนก็ได้แต่เฝ้าหวังอยู่เสมอ ให้การเดินทางอันแสนยาวนานกว่าสิบปีของทั้งสองสิ้นสุดลงสักที นั่นจึงทำให้เขาทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกได้ แม้จะเลิกสูบบุหรี่มาได้เกือบสองปีแล้ว แต่ตอนนี้เขาอยากได้บุหรี่เหลือเกิน
ในตอนนั้นเองใครบางคนจากทางเดินอีกฝั่งพบดงฮยอนเข้าพอดี จึงรีบร้อนวิ่งมาหา
“ท่านประธาน! ยังไม่เลิกงานอีกเหรอครับ”
“เอ่อ ผู้จัดการลี มาทำอะไรเวลานี้ล่ะ”
ผู้จัดการของเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้น ผู้เปรียบเสมือนมือขวาของดงฮยอน ยองอุกนั่นเอง ทันทีที่อีกคนเห็นดงฮยอน ดวงตาสุขุมภายใต้กรอบแว่นนั่นก็จับจ้องมายังเขาพร้อมยกยิ้มกว้าง
“ช่วงนี้ต้องออกไปข้างนอกอยู่ตลอด ก็เลยไม่ได้เข้ามาตรวจเอกสารสำคัญเลยน่ะครับ”
“งั้นเหรอ…ฉันใช้งานนายจนแทบไม่มีเวลาพักเลยแบบนี้ ยังไงก็ขอโทษด้วยนะ”
“อะไรกันครับ พี่งานยุ่งกว่าผมอีก”
ยองอุกหัวเราะออกมาพร้อมกับส่ายหัวไปมา
สำหรับยองอุกที่ติดตามดงฮยอนมาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก ดงฮยอนคือคนที่น่านับถือยิ่งกว่าใครๆ ดังนั้นเมื่อเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นถูกก่อตั้งขึ้น เจ้าตัวที่คิดจะเริ่มต้นเข้าทำงานกับบริษัทอื่น จึงได้ถูกชักจูงเข้าสู่วงการธุรกิจบันเทิง จนได้มาเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบเรื่องราวน่าปวดหัวทั้งหมดที่เกี่ยวกับซองจู และเพราะเจ้าตัวทำให้เขารู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณกับอีกฝ่ายเหลือเกิน ดงฮยอนจึงสามารถเปิดเผยเรื่องทุกอย่างกับยองอุกได้ ดังนั้นการได้เจอยองอุก อาจเรียกได้ว่าเป็นโชคดีสำหรับเขาก็ได้ ดงฮยอนหัวเราะหึๆ ออกมา
“ยองอุก มีบุหรี่ใช่ไหม”
“…เลิกไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“วันนี้คงต้องสูบสักหน่อยแล้วล่ะ”
“เพราะซองจูอีกแล้วเหรอครับ คราวนี้อะไรอีกล่ะครับ”
ยองอุกเงียบไปพักนึง ก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่าก่อเรื่องอะไรอีกแล้วด้วยท่าทางเดือดปุดๆ ดงฮยอนที่มองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ ยังคงยกยิ้มที่มุมปากน้อยๆ พร้อมตอบกลับไป
“เรื่องของเซจองน่ะ”
ยองอุกที่เดือดปุดๆ อยู่ถึงกับชะงักไปกับคำนั้น
“ตอนนี้เซจองอยู่ที่บริษัทเหรอครับ อยู่กับซองจูสองคนเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอก ส่งประธานคิมมาแทนน่ะ”
“ลำบากแย่เลยนะครับ เขาคนนั้นน่ะคงไม่ได้อยากทำอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก”
“แต่เขาคงไม่อยากเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันมากกว่าน่ะสิ ถึงได้รับอาสามาแทน เราต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ”
ดงฮยอนหันไปส่ายหน้าให้กับยองอุกที่ถามออกมาว่า ปล่อยจีฮุนกับซองจูเอาไว้ตามลำพังในห้องด้วยกันแบบนั้นจะดีเหรอ
“ช่างเถอะ เขาค่อนข้างมีเหตุผลอยู่นะ ก็ ถ้าตีกันจนเละเทะ ก็แค่เรียกช่างมาตกแต่งห้องใหม่ซะ”
“ไม่เปลี่ยนเลยนะครับ ผมให้ยืมบุหรี่แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะครับ”
“คนสูบจัดอย่างนาย กลัวเรื่องแค่นี้ด้วยเหรอ”
ท่าทางของดงฮยอนที่ตอบกลับมาโดยแสร้งทำทีท่าแบบเมื่อก่อนทำให้ยองอุกได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แล้วเปิดประตูหนีไฟออกเพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้า
ลมที่ลอดผ่านช่องประตูเข้ามานั้น ทั้งชื้นและเย็น ดูท่าแล้วฝนคงจะตกลงมาอย่างแน่นอน
* * *
“ของนี่ใช้มาตลอดจนถึงก่อนหน้านี้น่ะ”
“แล้วตอนนี้ เอามันมาคืนทำไมกันล่ะ”
“นั่นนั้นนายน่าจะรู้ดีกว่าใครไม่ใช่เหรอ”
ระหว่างที่คนสองคนสูบบุหรี่กันอย่างเงียบๆ บนดาดฟ้า ส่วนคนอีกสองคนที่ถูกทิ้งไว้ในห้องทำงานด้วยกันนั้นก็กำลังเผชิญหน้ากันด้วยเรื่องเกี่ยวกับกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบหนึ่ง
แม้จะมีร่องรอยที่บ่งบอกว่าผ่านวันเวลามานานมากแล้ว แต่สภาพของกระเป๋านั้นราวกับถูกใช้งานอย่างทะนุถนอม เพียงมองจากสภาพของตัวหนังที่ยังเป็นเงาวับ ไร้รอยตำหนิใดๆ ก็สามารถรับรู้ได้แล้ว โลโก้แบรนด์ที่ประดับอยู่บริเวณขอบกระเป๋าสตางค์ โลหะนั้นยังคงส่องประกายวิบวับเมื่อต้องแสงไฟภายในห้อง นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่ามันถูกซื้อมาในราคาสูงลิบเพียงใด
“ทิ้งไปซะก็ได้ ทำไมต้อง…”
“เพราะไม่กล้าทำแบบนั้นไง แค่เก็บมันไว้จนถึงตอนนี้ นายก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนี่ ของสิ่งนี้น่ะคือความทรงจำหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่”
“แล้วไง จะบอกว่าตอนนี้ตั้งใจจะทิ้งมันงั้นเหรอ”
“ควรต้องทิ้งมันมาตั้งนานแล้วต่างหาก”
ซองจูยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อยให้กับการตอบโต้ที่ตัดบทอย่างเย็นชาของจีฮุน
“พวกนายนี่เหมือนกันเลยนะ”
“ฉันก็หวังให้เป็นแบบนั้น”
แม้จะเป็นคำพูดเหน็บแนม แต่เพราะอีกฝ่ายตอบรับอย่างจริงจัง เขาก็เลยพูดไม่ออก ซองจูได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ทึ่งจัด
“นี่นายเข้าใจที่ฉันพูดอยู่จริงๆ ใช่ไหม”
“นายกำลังว่าฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันเคยเข้าใจว่านายเป็นคนที่ปกติที่สุด แต่ที่แท้ก็เป็นพวกประสาท”
“นั่นมันนายแล้วมั้ง”
ซองจูปล่อยจีฮุนที่พูดจาไร้สาระเอาไว้ตรงหน้า แล้วหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้อย่างเงียบๆ
กระเป๋าสตางค์ใบนี้ เขาจำมันได้ดีเลยล่ะ มันเป็นของขวัญที่เขามอบให้กับเซจอง ในตอนที่เราทั้งคู่ได้เริ่มต้นคบหากัน
การคบหาที่ไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ให้ใครได้รับรู้แบบนั้น เรื่องการใช้ของคู่กันอะไรนั่น เลิกคิดไปได้เลย แต่ในวินาทีที่เขาได้เห็นกระเป๋าสตางค์ใบนี้ที่ห้างสรรพสินค้า เขาก็เกิดความคิดที่อยากจะมอบมันให้กับเซจอง แม้ว่าดีไซน์เรียบๆ ดูเป็นทางการนั่นจะเป็นแบบที่เขาชื่นชอบ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันดูเหมาะกับเซจองอย่างมาก
ตอนที่ได้รับของขวัญซึ่งเป็นทั้งชิ้นแรกและชิ้นสุดท้าย เซจองที่มีท่าทางตกใจ แก้มทั้งสองข้างก็ขึ้นสีระเรื่อ พอเห็นเช่นนั้นก็ทำเอาเขาอดรู้สึกปลาบปลื้มไม่ได้
และที่สุดก็ลืมเลือนมันไป
นานๆ ทีจะเห็นเซจองใช้กระเป๋าสตางค์ใบนี้เสียที พอได้เห็นก็มักจะคิดว่า ‘ยังคงใช้มันอยู่สินะ’ ไม่ได้คิดเลยว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอะไร และเมื่อคิดได้ว่า สิ่งนี้มันไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์ของเขากับเซจอง ก็ทำเอาเกิดความรู้สึกขมปร่าขึ้นมา
“เซจองล่ะ”
ซองจูเอ่ยปากถามจีฮุนอย่างไม่ใส่ใจ
“เขาก็ยังคงเป็นห่วงนายอยู่ตลอดนั่นแหละ รวมไปถึงแค้นใจนายด้วย แต่ว่าสิ่งที่เซจองสามารถทำได้ก็คือพยายามที่จะเข้าใจนาย”
“มุนเซจอง พูดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ แม้จะทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปมีชีวิตของตัวเองซะก็ได้ แต่เขาก็บอกว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องห้ามนายไม่ให้ทำอย่างนั้นด้วย แม้มันจะเป็นแค่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังคงเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเหมือนกับกระเป๋าสตางค์ใบนั้น แต่พอฉันบอกว่ามันเก่าแล้ว น่าจะให้ของขวัญอย่างอื่นแทน เขาก็ดื้อรั้นไม่ยอมรับฟังอะไรเลย”
มันมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ของขวัญที่ให้ด้วยเหตุผลพิเศษอะไรสักหน่อย ซองจูขบคิดอย่างเหม่อลอย แต่ก็ไม่ได้พูดคำพวกนั้นออกไป หากทำแบบนั้นไป อาจจะโดนอีกคนต่อยเข้าให้ก็ได้ จีฮุนยังคงพูดต่อไป แม้จะไม่รู้ว่าซองจูกำลังคิดอะไรอยู่ก็ตาม
“นายไม่ได้มีอะไรจะให้เซจองใช่ไหม”
ซองจูพยักหน้าตอบกลับไปอย่างเงียบๆ เขาไม่รู้เลยว่านี่มันเป็นเรื่องจริงหรือหลอก จีฮุนถึงกับพ่นลมหายใจออกมาจากปากเมื่อเห็นการกระทำของเขา
“ตอนแรกฉันก็คิดว่านี่คงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ความผูกพันที่มีต่อกัน แต่สำหรับฮันซองจู มันอาจจะเป็นแค่ของขวัญที่มอบให้โดยไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ แต่กับเซจองน่ะมันไม่ใช่ มันคือของสำคัญ ที่แม้จะกำลังหนีโดยยังไม่ทันได้จัดการอะไรสักอย่าง เขาก็ไม่ยอมทิ้งมันไป”
“แล้วมาเอาคืนตอนนี้ มันหมายความว่าอะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ใช่เขานี่ ยังไงซะ ถึงเซจองจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเขามันจบลงไปแล้ว แต่ความรู้สึกพวกนั้นมันก็ยังคงอยู่ แม้กระทั่งตอนที่ได้มาเจอกับฉัน เซจองก็ยังดูเหมือนจะยังคงมีเยื่อใยให้นายอยู่”
“นายมาที่นี่เพื่อบอกให้ฉันเชื่อเรื่องนั้นหรือไงกัน”
“ใช่ แม้แต่นายเองในตอนนี้ก็ไม่ได้หมดเยื่อใยไปเสียทีเดียวนี่ นั่นละที่ฉันเห็น”
ตลอดเวลาที่คุยกัน ใบหน้าของจีฮุนมีรอยยิ้มที่ดูเจ็บปวดเผยให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ซองจูพอจะรับรู้ได้ถึงความหมายของมัน ถึงได้ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น ในเวลานี้ มันคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำนัก หากจะพูดขัดคอเรื่องของอีกคนกับเซจองดั่งเช่นปกติ
“แล้วทำไมเพิ่งมาเอาตอนนี้”
“ก่อนหน้านี้ก็เคยพยายามติดต่อหานายบ้างเหมือนกัน แต่บางทีนายอาจจะกำลังอยู่ดีมีสุขก็ได้ แล้วไม่รู้น้องชายนายหรือประธานชินเป็นคนติดต่อไป พอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับนาย มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น เพราะคิดว่าบางทีนายอาจจะรู้สึกผิดขึ้นมาบ้าง”
“จำเป็นต้องรู้สึกผิดด้วยหรือไงกัน”
“เพราะนายมีชีวิตที่ดีไงล่ะ”
“อะไรนะ นายจะบอกว่าให้ฉันใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานหรือไง”
“นั่นก็ถูกต้องแล้วนี่”