ในมือของอีกคนถือกล่องที่ข้างในใส่กระเป๋าสตางค์ของเซจองเอาไว้ ซองจูที่ได้เห็นสิ่งนั้นก็เริ่มเกิดอาการตัวสั่นอย่างรุนแรงขึ้นมาอีก จองอูที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตาโต เขารีบร้อนเข้าไปภายในห้อง แล้วแตะมือลงบนหน้าผากของซองจูในทันที
“นี่นาย เหมือนจะเป็นไข้นะ ไหวไหม ต้องไปโรงพยาบาลหรือเปล่า”
“ไม่ต้อง อย่าถามมาก เดี๋ยวมันก็หายเองแหละ”
“เกิดเรื่องอะไรที่บริษัทงั้นเหรอ”
จองอูซักไซ้ออกมาไม่สมกับเป็นเจ้าตัวเอาเสียเลย ทำให้เขารู้สึกรำคาญขึ้นมานิดๆ แต่ซองจูก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้ จึงได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับกำผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่แน่นขึ้น
“ฉันขอร้องอะไรหน่อยสิ”
“อะไรล่ะ”
ซองจูมองไปยังจองอูที่กำลังมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยคำขอร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“รู้จักห้องแต่งตัวฉันสินะ”
“อือ”
“ฉันจะไปอาบน้ำ นายช่วยไปเอาเสื้อผ้าในนั้นมาให้หน่อย”
“ชั้นในด้วยไหม”
“…อือ”
แม้จะไม่อยากขอร้องอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันก็ช่วยไม่ได้ ในเวลานี้แค่ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำก็ยังนับเป็นเรื่องยากสำหรับซองจูเลย แต่ถ้าไม่อาบเขาก็คงไม่อาจทนอยู่บนเตียงเฉยๆ แบบนี้ได้ ทั้งตัวยังคงเป็นชุดที่ใส่ออกไปข้างนอก แล้วยังคลุมตัวไว้ด้วยผ้าห่มอีก ฮันซองจูที่ปกติเป็นพวกค่อนข้างรักความสะอาด ไม่มีทางยอมรับเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน เขาจึงพยายามลุกขึ้นยืนด้วยขาอันสั่นเทา ก่อนจะหันไปพูดกับจองอูอีกครั้งหนึ่ง
“เอาเสื้อผ้าวางไว้บนเตียงก็พอ ขอโทษด้วย”
“รีบไปอาบน้ำซะเถอะ ให้พาไปที่ห้องน้ำด้วยไหม”
“…ไม่ต้อง”
เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจนั่น จองอูที่ยังละล้าละลังอยู่จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องไป ซองจูมองตามแผ่นหลังกว้างซึ่งค่อยๆ ไกลออกไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพาตัวเองไปยังห้องอาบน้ำที่อยู่ภายในห้องนอน
แม้จะได้สัมผัสกับน้ำอุ่นแต่ว่าร่างกายก็ยังคงไม่หยุดสั่น หลังออกจากกรมเขาก็ไม่เคยป่วยหนักถึงขนาดนี้มาก่อน แม้กระทั่งหลังจากที่เลิกกับเซจองในตอนนั้นก็ยังไม่เจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย
อ้า นั่นสินะ
ตอนนี้ฉันเลิกกับเซจองแล้วนี่
ซองจูยืนเหม่อลอยอยู่กลางสายน้ำที่ยังคงไหลลงมากระทบตัวอย่างไม่ทีท่าว่าจะหยุดลง รู้สึกราวกับถูกตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างจังกับความคิดที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ในเวลาที่มันสายไปแล้วเช่นนี้
แม้จะเลิกรากันไปหลายปีแล้ว แต่เป็นเขาเองที่โง่งม เป็นเขาเองที่ไม่เคยหยุดความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายได้เลย เป็นตัวเขาที่ยังคงสั่นเทาอยู่ในเวลานี้ ความรู้สึกนั้นของเขาแน่นอนว่าเซจองเองก็รับรู้มันเป็นอย่างดี แม้ไม่อาจเอื้อมมือไปหาอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ไม่เคยหยุดหัวใจนี้ได้เลย เหมือนที่จีฮุนพูดว่า ‘ยึดติด’ นั่นแหละ
ซองจูคอยเปรียบเทียบตัวเขากับจีฮุนอยู่เสมอ และหลายๆ อย่างบอกว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าจีฮุน
แต่ทว่าในความเป็นจริง คนที่มุนเซจองเลือกก็คือคิมจีฮุนไม่ใช่ตัวเขา อีกคนจัดการกับความรู้สึกที่ยังหลงเหลือต่อเขา และประกาศออกมาอย่างชัดเจนที่จะลงหลักปักฐานกับคิมจีฮุน การที่เซจองคืนกระเป๋าสตางค์ที่เป็นเหมือนความทรงจำสุดท้ายที่มีต่อเขามา มันก็คงจะหมายความว่าแบบนั้นนั่นแหละ ซองจูใช้มือที่สั่นระริกปิดก๊อกฝักบัว
เขาเช็ดผมเปียกชื้นและอบอวลไปด้วยกลิ่นของแชมพูด้วยผ้าขนหนู ร่างกายเปลือยเปล่าเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมหนานุ่มที่วางพาดเตรียมไว้ที่โต๊ะด้านหน้าห้องอาบน้ำมาสวม ตลอดเวลาที่ก้าวเดินแม้จะเพียงไม่กี่ก้าว แต่ร่างกายที่สั่นเทาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแม้แต่น้อย เขานึกคาดเดาว่าอาการป่วยรุนแรงนี้จะกินเวลาสักกี่วัน ขณะที่ก้าวเดินกลับเข้ามาในห้องนอน ในตอนนั้นเองซองจูถึงกับผงะไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นจองอูยืนเหม่ออยู่ที่ข้างเตียง
“นาย อะไรเนี่ย ทำไมถึงได้มายืนอยู่ตรงนั้น”
เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นและขาดๆ หายๆ แล้วก็ได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดกลับมา
“ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไอ้นี่วางไว้ตรงไหนน่ะ”
สิ่งที่จองอูยื่นออกมานั้นก็คือกล่องที่ใส่กระเป๋าสตางค์ของเซจองเอาไว้ พอได้เห็นสิ่งนั้นขาของซองจูก็อ่อนแรงเสียดื้อๆ
“เฮ้ย! ระวังหน่อยสิ!”
จองอูรีบก้าวเข้ามาคว้าร่างที่ทรุดฮวบลงไปได้ทันท่วงที เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ร่างกายนั้นกลับสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จองอูพอจะเดาสาเหตุของอาการสั่นที่เกิดขึ้นได้บ้างแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพราะของที่อยู่ในกล่องนี้ จองอูจึงได้รีบเอากล่องซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วประคองร่างกายของซองจูเอาไว้ด้วยแขนอีกข้าง
“ไปนั่งที่เตียงก่อน”
“…ไม่ต้อง”
ไวกว่าความคิด เจ้าตัวก็พูดสวนกลับมาในทันที ซองจูลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะส่ายหน้าและยื่นมือออกไปทางจองอู
“ส่งมา”
เขาสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จองอูลังเลอยู่ครู่ก่อนจะยอมส่งกล่องสีดำนั่นให้กับซองจู
“ถ้างั้น ฉันไปนะ”
จองอูที่เห็นซองจูวางกล่องนั้นลงที่ข้างตัวก็เตรียมหันหลังเดินกลับออกไป ทว่าตัวเขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าพ้นขอบประตู จองอูก็ถูกเสียงแผ่วเบารั้งตัวเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
จองอูหันกลับมาถามอีกฝ่ายทางสีหน้าว่ามีอะไรหรือเปล่า
“อย่าไป ช่วยอยู่ที่นี่ก่อน ตอนที่เปิดมัน”
ซองจูพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูน่าสงสารอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ดวงตาคู่นั้นดูราวกับจะมีน้ำตารินไหลออกมา ใบหน้าที่จ้องไปทางกล่องใบนั้น มันซีดเผือดเสียจนน่ากลัวว่าอีกคนจะเป็นลมล้มพับลงไปเสียก่อน สิ่งที่สะดุดตาในใบหน้านั้นของอีกคน คงมีเพียงริมฝีปากสีระเรื่อที่สั่นระริกนั่น ฮันซองจูในสภาพแบบนั้น มันช่างดูแปลกตาเหลือเกิน จองอูรีบร้อนก้าวเท้ากลับเข้าไปใกล้ซองจู
ด้วยช่วงขาเรียวยาวนั้นทำให้ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถเข้าไปสัมผัสมือของซองจูได้ จองอูย่อตัวลงคุกเข่าที่หน้าเตียงนอน ก่อนจะคว้าร่างที่สั่นเทาของอีกคนมาไว้ในอ้อมกอด
“ไหวนะ?”
ซองจูพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ แต่ในความเป็นจริงแล้วอีกคนไม่มีทางไหวอย่างแน่นอน จองอูรู้สึกว่าตอนนี้ซองจูช่างเหมือนกับตัวเขาในตอนเด็ก
เขาที่มาเห็นภาพของพ่อที่กำลังทำร้ายแม่ จึงได้หนีไปแอบที่ห้อง เนื้อตัวนั้นสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่นอยู่นานนับชั่วโมง พ่อที่อารมณ์โกรธลุกโชนราวกับไฟ เตะเข้าที่ผนังอย่างจังแล้วจึงออกจากบ้านไป แม่ที่เคยร้องตะโกนขอให้ไว้ชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ก็บุกเข้ามาที่ห้องของจองอูพร้อมกับไม้กวาด ไม้เขี่ยฟืน หรือไม่ก็รองเท้าแตะ เธอใช้ของพวกนั้นทุบตีเขาที่ร่างกายอ่อนแอโดยไร้ความปรานี แม้จะอ้อนวอนร้องขอให้ไว้ชีวิตแค่ไหน ก็ไม่มีใครรับฟัง เหมือนเขาเห็นภาพตัวเขาในตอนนั้นซ้อนทับอยู่ที่ตรงหน้า จองอูออกแรงโอบรัดซองจูแน่นขึ้น
มืออีกข้างลูบไล้ผ่านต้นคออย่างแผ่วเบาขึ้นไปด้านบน ลูบปลอบลงไปบนกลุ่มผมที่ยังคงเปียกชื้นอยู่ แล้วดึงรั้งศีรษะของอีกคนเข้าหาตัว ซองจูซึ่งยังคงถือกล่องสีดำเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก็ปล่อยตัวให้เอนพิงไปตามแรงของจองอู
ซองจูที่เนื้อตัวสั่นเทาซุกซบศีรษะไว้ที่ต้นคอของจองอู อีกคนลูบหลัง ลูบหัวอย่างเงียบๆ เพื่อปลอบให้ซองจูสงบลง ดึงรั้งร่างกายที่สั่นเทาอยู่ตลอดเข้ามาใกล้ตัวอย่างดื้อดึงจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ซองจูที่เหนื่อยเกินกว่าจะขัดขืนจึงได้แต่เอนตัวพิงจองอูอย่างง่ายดาย ร่างกายที่แนบชิดทำให้ได้กลิ่นหอมของแชมพูที่ฟุ้งอบอวลออกมาและไออุ่นจากตัวซองจูก็ทำให้จองอูรู้สึกหวิวขึ้นมา เขาผละร่างกายที่แนบชิดกันเมื่อครู่ออกมา ก่อนจะจ้องหน้าของซองจู
“นั่งบนเตียงได้ไหม”
ซองจูพยักหน้ารับโดยไม่ขัดขืน
ทันทีที่ได้รับอนุญาต ตัวเขาจึงลุกขึ้นไปนั่งลงบนเตียงอย่างหวาดๆ แรงที่กดลงบนเตียงตามการเคลื่อนไหวทำให้กล่องที่วางอยู่ข้างตัวซองจูกระเด็นกระดอนไปเล็กน้อย จองอูจึงได้แต่พึมพำขอโทษกับสถานการณ์ตรงหน้า
“เอ่อ โทษที”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเถอะ”
จองอูจดจ้องไปที่ใบหน้าของซองจูซึ่งเอ่ยคำว่าไม่เป็นไรออกมาด้วยริมฝีปากสั่นระริกนั่น ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองทางกล่องไปนั้น
จองอูคิดขึ้นมาว่า อะไรกันนะที่มันอยู่ในกล่องนั้น อีกคนถึงได้ยอมรั้งกันเอาไว้ ทั้งที่ก็ไม่ได้ชอบใจในตัวเขานัก
แน่นอนว่าเขารู้แก่ใจดีถึงสาเหตุที่ซองจูไม่พอใจในตัวเขาเอาเสียเลย เป็นเพราะเหตุการณ์ในวันแรกนั่นแหละ ถึงอย่างไรสำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากใคร เรื่องแบบนั้นมันก็ไม่สำคัญอะไรอยู่แล้ว สำหรับจองอูแล้ว สิ่งสำคัญก็คือการที่เขาไม่ต้องอยู่เพียงลำพังไปช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ความเศร้าและความโดดเดี่ยวที่กัดกินตัวเขาจนมันเกิดผลร้ายมากมาย ทั้งอาการหูแว่ว เกิดภาพหลอน หรือกระทั่งฝันร้ายพวกนั้นมันกลับค่อยๆ ลดลง ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะซองจู
แม้ว่าเขาจะถูกอีกฝ่ายต่อว่าและเพิกเฉยอย่างไร จองอูก็ยังรู้สึกพอใจในตัวซองจูเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกนั้น ภาพลักษณ์ของอีกคนทำให้เขาคิดว่าเป็นเพียงคนที่ซับซ้อนคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่า พอคิดดูดีๆ แล้ว หากจู่ๆ มีคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปโผล่พรวดพราดเข้ามา แล้วบอกว่าตัวเองจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ จะให้ต้อนรับด้วยความยินดีก็คงไม่ใช่เรื่อง ดังนั้น จองอูจึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อการแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด หรือการเมินเฉยของซองจู
เรื่องที่ทำให้เขาสนใจอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างจริงจังน่ะ บางทีคงจะเป็นวันที่มินซิกหอบหิ้วแฮมเบอร์เกอร์เข้ามา แล้วเอ่ยปากชวนให้ไปกินด้วยกันนั่นแหละ วันนั้นจองอูรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าซองจูคิดว่าตัวเองถูกแย่งความสนใจของมินซิกไป ถึงได้แสดงอาการฉุนเฉียวออกมาเช่นนั้น เพราะเขาเติบโตมาโดยที่ไม่ได้รับการสนใจจากใครๆ ทำให้ไวต่อการจับความรู้สึกของคนอื่นได้อย่างน่าประหลาดใจ จองอูที่ได้เห็นผู้ชายอายุสามสิบกว่า หงุดหงิดเพียงเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจแบบนั้น มันทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อซองจู ดูอย่างไรคนนั้นก็เหมือนคนที่มีบาดแผลที่ไหนสักแห่ง
สำหรับคนที่มีบาดแผลเหมือนพวกสัตว์เวลาได้รับบาดเจ็บนั้นต้องการคนเอาใจใส่ และในวันนั้นเอง จองอูก็ได้ปลดล็อกประตูหัวใจที่ปิดเอาไว้ให้กับซองจู
หลังจากนั้นก็เป็นที่งานแต่งงานของซองฮี
ที่จริง จองอูไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าซองจูเป็นพี่ชายของซองฮี แม้ชื่อของทั้งคู่จะมีส่วนคล้ายคลึงกัน แต่ภายนอกกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งนิสัยยิ่งแล้วใหญ่ ต่างกันคนละขั้วเลย แม้ซองฮีจะเคยบอกว่าตัวเองมีพี่ชาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายมาก่อนหน้านั้น ดังนั้นที่งานแต่งงานนั่น พอเขาได้เห็นซองจูซึ่งสวมสูทแบรนด์ดัง บนอกมีช่อดอกไม้กลัดไว้ และกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออย่างแข็งขัน มันก็ทำเอาเขาตกใจไม่น้อยเลย
แต่ว่าในตอนนั้น จองอูแอบมองซองจูที่กำลังเผชิญหน้ากับคนสองคนที่เขาเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรกอยู่ตรงมุมหนึ่งของงาน เขาอ่านสีหน้าของอีกคนได้ว่ามันแฝงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด
มันเหมือนกับเป็นสัญชาตญาณ แต่แค่จองอูมองหน้าซองจูเท่านั้น เขาก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของอีกคนได้แล้ว