ความรู้สึกที่ซองจูโอบกอดเอาไว้นั้นมันคือความเศร้าโศก แล้วมันก็บิดเบี้ยวเสียจนไม่อาจรู้ถึงเค้าเดิมของมันได้ ฮันซองจูจ้องมองไปยังผู้ชายที่ดูบอบบางและอ่อนโยนคนนั้น ทั้งที่ยังกอดหัวใจอันบิดเบี้ยวเอาไว้ ไม่ใช่ซองจูในแบบที่เขาเคยรู้จักเลยสักนิด
น่าประหลาดที่หลังจากวันนั้นแล้ว ซองจูก็ลืมตัวลดเกราะป้องกันที่ตัวเองเคยมีต่อจองอูลง จองอูออกไปดื่มกับอดีตสมาชิกที่เคยเข้าร่วมวงคราฟท์ของซองฮี จึงทำให้กลับมาที่ห้องช้ากว่าปกติ ตอนนั้นเอง อีกคนกลับชวนเขาพูดคุยเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วยังถึงขนาดชวนเขาดื่มด้วย เราผลัดกันดื่มผลัดกันรินเหล้าอยู่ที่ห้องนั่งเล่นจนเวลาล่วงเลยไปถึงดึกดื่น ตั้งแต่หลังจากที่อีกคนผล็อยหลับไป ซองจูก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ทั้งขอร้องให้เขาชงกาแฟให้ อารมณ์ดีผิดปกติ แม้กระทั่งตอนที่จองอูทำอาหารอยู่ในครัว อีกคนก็ยังคอยชวนคุยเรื่อยเปื่อย หลังจากที่จองอูเข้ามาอยู่ด้วย อีกคนมักจะหมกตัวอยู่ในห้องนอนหรือไม่ก็ห้องหนังสือเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้กลับมานั่งคุยเล่นฆ่าเวลาในห้องนั่งเล่นกับเขา แม้ทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้นเขาอึดอัดอยู่บ้าง แต่จองอูคิดว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ มันคงเป็นเพราะบนใบหน้าของซองจูที่มักจะมีร่องรอยบาดแผลและความเจ็บปวดฝังลึกปรากฏให้เห็น และในตอนนี้ก็ด้วย ซองจูกำลังเจ็บปวดด้วยเรื่องที่เขาเองก็ไม่รู้สาเหตุ
เขาเข้าใจว่าที่ดงฮยอนเรียกอีกคนไปหา มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ไม่เคยคิดเลยว่าอีกคนจะกลับมาในสภาพแหลกสลายแบบนี้ ชินดงฮยอนที่จองอูรู้จัก แม้จะไม่ใช่คนปกติอะไรนัก และยังชอบทำตามอำเภอใจ แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะสร้างบาดแผลให้กับคนอื่น กลับกันออกจะเป็นพวกชอบช่วยเหลือคนอื่นเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น เขาจึงคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากใครสักคนที่รู้จักกับทั้งดงฮยอนและซองจู แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นใคร แต่คนที่ทำให้ซองจูมีสภาพแหลกสลายแบบนี้ได้ก็น่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ให้กล่องใบนั้นมา
คิดมาถึงตรงนี้ สายตาของจองอูก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น
เขาไม่ชอบใจเลยสักนิด แม้จะชอบที่ซองจูพึ่งพาตัวเขา แต่ด้วยวิธีการที่อาศัยช่องว่างในช่วงเวลาที่อีกคนกำลังอ่อนแอแบบนี้ มันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเอาเสียเลย อย่างไรเสียจองอูก็หวังว่าจะสนิทกับอีกคนให้มากขึ้น แม้สักนิดก็ยังดี แต่ต้องด้วยวิธีที่ถูกต้อง แม้ว่ามันจะผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้วก็ตาม
“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม”
“เรื่องอะไร”
“ถ้ามันไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดดู ก็ไม่ต้อง…”
“นายมีสิทธิ์มาสั่งให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ทั้งที่ยังตัวสั่นอยู่แบบนั้น แต่ซองจูก็ยังจ้องเขม็งมาที่จองอูพร้อมกับพึมพำออกมา แม้จะมั่นใจได้ว่านั่นเป็นคำเตือน แต่จองอูก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด มันไม่ใช่ความเด็ดเดี่ยวในแบบที่ฮันซองจูมักจะแสดงออกมาในเวลาที่ไม่พอใจ แต่ถึงอีกฝ่ายจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาจริงๆ มันก็มีแค่เจ้าตัวที่เสียหาย เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะตามน้ำไปกับซองจู
“เข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะอยู่ตรงนี้จนกว่านายจะเปิดมัน เพราะงั้นก็ใจเย็นลงก่อนนะ”
จองอูพูดออกไปแบบนั้น พร้อมกับเกลี่ยเส้นผมเปียกชื้นที่ปรกหน้าผากของซองจูออกไป เขาชอบสัมผัสของเส้นผมสีอ่อนยามที่มันแนบลงบนนิ้วมือเรียวยาว มันสว่างและอ่อนนุ่มกว่าผมของเขามาก ดังนั้นเขาจึงได้ขยี้มือลงบนเส้นผมที่เหมือนกับขนลูกหมานั่นจนยุ่งเหยิง พร้อมกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ซองจูที่เคยเอ่ยเตือนตัวเขาเรื่องการแตะต้องศีรษะของเจ้าตัวไปก่อนหน้านี้ ไม่รู้ทำไมริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกนั่น ถึงได้อดทนอยู่เงียบๆ กับการสัมผัสของจองอู
“การหนี…มันไม่ได้เลวร้ายหรอกใช่ไหม”
ซองจูพึมพำออกมาอย่างตะกุกตะกัก คนที่ตกใจกับคำถามที่คาดไม่ถึงนั่นก็คือจองอูนี่แหละ เขาเบนสายตาไปมองสบกับสายตาของซองจูที่กำลังมองตรงมายังเขาเช่นกัน ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างช้าๆ
“อืม”
“ถ้างั้นหนีไปตอนนี้ก็ไม่ผิดใช่ไหม”
ซองจูพึมพำเช่นนั้นออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเบนสายตาไปมองกล่องสีดำที่วางอยู่บนเตียงนั่น พลางขยับนิ้วมือที่สั่นระริก ลูบไล้ไปที่ด้านข้างของกล่อง ท่าทางดูราวกับกำลังจับต้องคนสำคัญ พร้อมยิ้มเฝื่อน สายตาที่มองไปที่กล่องนั้นอย่างรักใคร่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้รู้สึกดีได้เลย กับการต้องมาเห็นท่าทางแบบนั้นของซองจู หากจองอูสามารถทำได้ละก็ เขาอยากจะกระชากกล่องนั่นมาจากซองจู แล้วเอามันไปทิ้งไกลๆ เสีย แน่นอนว่าถ้าทำแบบนั้นจริง คงไม่ใช่แค่ถูกตวาดใส่ แต่คงจะถูกไล่ออกจากที่นี่อย่างแน่นอน เขาฝืนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
“อยากหนีไปเหรอ”
“คงงั้นมั้ง”
ซองจูเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา ทั้งที่ยังคงลูบไล้ที่กล่องนั่นและไม่ละสายตาไปจากมันเลย เขาไม่ชอบที่เห็นอีกคนเป็นแบบนี้เลย จองอูคว้ามืออีกข้างที่ว่างอยู่ของซองจูมาจับไว้
“…หือ?”
น้ำเสียงงุนงงพร้อมกับใบหน้าของซองจูที่เงยขึ้นมามองกัน จองอูมองซองจูซึ่งกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาตื่นตกใจ แม้คำพูดจะดูห้วนๆ แต่น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับอ่อนโยน
“ถ้าหนีไปแล้วจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต กับรีบจบมันแล้วอยู่อย่างสบายใจ ต้องการแบบไหนล่ะ?”
คำพูดนั้นทำให้ซองจูขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง จ้องมองไปที่กล่องนั่นอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับกัดริมฝีปากแน่นราวกับกำลังตัดสินใจ ก่อนจะค่อยๆ เปิดฝากล่องออกมา
ทันทีที่กระเป๋าสตางค์แบรนด์เนมใบเก่าที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมลวดลายธรรมดาปรากฏออกมาสู่สายตา จองอูก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง คนที่มอบของชิ้นนี้ให้ซองจู ต้องเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับซองจูอย่างแน่นอน ปกติแล้วคงไม่มีใครมอบของที่ตัวเองเคยใช้ให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจแบบนั้นแน่ โดยเฉพาะคนแบบซองจูที่ใช้ชีวิตทำตามใจตัวเองยิ่งแล้วใหญ่ เพราะฉะนั้นแล้ว กระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนี้ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน จองอูที่คาดเดาได้ถึงความจริงนั้นก็พานทำให้สีหน้าหมองลง และในตอนนั้นจองอูก็ได้เข้าใจถึงสาเหตุที่ซองจูมองข้ามความสนใจของเขาที่มีต่อเจ้าตัว
“จะเลือกแบบไหนล่ะ”
จองอูส่งสัญญาณบังคับให้ซองจูรีบๆ เลือกมาสักทีออกไปโดยไม่รู้ตัว ฮันซองจูไม่มีทางเลือกหนีไปจากเรื่องนี้ได้โดยเด็ดขาด สัญชาตญาณของจองอูร้องเตือนว่าอย่างนั้น และแล้วมันก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของจองอู ซองจูค่อยๆ หยิบกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ใบนั้นออกมาจากกล่อง
มือสัมผัสไปบนกระเป๋าสตางค์ใบนั้นอย่างทะนุถนอม แล้วหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ บนกระเป๋าสตางค์มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่ากระเป๋าใบนี้ผ่านช่วงเวลามายาวนาน ตรงขอบของโลโก้สีเงินที่ติดอยู่บนตัวหนังมีรอยหลุดลอก ทั้งๆ ที่หนังสีดำและบอบบางนั่นยังคงส่องประกายมันวาว มันคงต้องผ่านการสัมผัสจากมือคนบ่อยครั้งและถูกพกไว้เป็นเวลานานมากแล้ว รอยด้านบนกระเป๋าสตางค์ใบนั้น บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคนที่เป็นเจ้าของใช้งานมันมานานขนาดไหน
เมื่อซองจูใช้มือที่สั่นเทาเปิดกระเป๋าสตางค์ใบนั้นออก คนทั้งสองคนก็ถึงกับพรั่งพรูลมหายใจออกมาพร้อมกัน ด้านหลังของช่องใส่รูปซึ่งแผ่นพลาสติกใสตรงด้านหน้านั้นได้กลายเป็นสีเหลืองไปแล้ว ที่นั่นมีรูปเล็กๆ ใบหนึ่งสอดอยู่
แม้จะพยายามออกแรงทั้งหมดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมีเพื่อดึงเอารูปใบนั้นออกมาแล้วก็ตาม แต่ไม่คิดเลยว่ารูปใบนั้นจะติดแน่นกับพลาสติกขนาดนั้น แน่นเสียจนดึงออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และอาจจะด้วยสาเหตุนี้เอง เจ้าของกระเป๋าสตางค์ไม่สามรถดึงรูปใบนี้ออกมาได้ จึงได้มอบให้มาทั้งแบบนี้ คนทั้งคู่เหม่อมองไปยังรูปใบนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ในรูปใบนั้นมีดงฮยอนและซองจูในช่วงวัยรุ่น รวมไปถึงผู้ชายคนนั้นที่พูดคุยกับซองจูในงานแต่งงาน ทุกคนกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้ จองอูเกิดความรู้สึกอิจฉาคนพวกนั้นอย่างน่าประหลาด
ในวิดีโอที่เขาได้เห็นตอนวันงานแต่งงานของซองฮีนั่นก็ด้วย ซองจูยิ้มให้กับอีกคน มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีการเสแสร้งใดๆ นั่นคงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของอีกคนสินะ จองอูตระหนักได้โดยสัญชาตญาณว่าซองจูนั้นใช้ชีวิตด้วยการเสแสร้งมาตลอด และต่อหน้าเขาในเวลานี้ สภาพของอีกคนที่กำลังสั่นเทาด้วยบาดแผลที่ได้รับอยู่นี้ ก็เป็นอีกตัวตนหนึ่งของซองจูเช่นกัน
“คนนี้คือคนเดียวกับที่เจอที่งานแต่งงานใช่ไหม”
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังแตกร้าว ซองจูเพียงพยักหน้าตอบทั้งที่ยังคงกัดริมฝีปากเอาไว้ ในดวงตาสีน้ำตาลกระจ่างใสคู่นั้นมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ จองอูไม่สามารถเช็ดมันออกไปจากดวงตาของคนตรงหน้าได้ เขาทำได้เพียงจ้องมองอย่างเหม่อลอยเท่านั้น แล้วจึงเอ่ยถามคำถามที่เคยถามออกไปแล้วอีกครั้ง
“ชอบเขามากเลยเหรอ”
ซองจูพยักหน้าแทนคำตอบให้กับคำถามนั้นอีกครั้ง จองอูถึงกับขมวดคิ้วแน่นกับการยอมรับของอีกคน
“รักเขาใช่ไหม”
คำถามนี้ทำให้แม้แต่ซองจูยังขมวดคิ้วตามไปด้วย เจ้าตัวยังคงจ้องมองไปที่กระเป๋าสตางค์ใบนั้น และในตอนนั้นเองซองจูที่เอาแต่พยักหน้า กลับเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองไปที่จองอู สายตาที่จ้องมองมานั้นราวกับจะถามว่าทำไมถึงถามแบบนั้นออกมา แต่ก็ไม่ได้มีแววแข็งกร้าวเช่นปกติ จองอูจ้องตอบกลับไป ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ลืม…ไม่ได้เหรอ”
“คงงั้น”
“อยากลืมไหม”
คำถามนั้นทำให้น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตากระจ่างใสนั่น ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา แทนคำตอบที่ว่าอยากลืมแต่ลืมไม่ได้ของซองจู แล้วเสียงสะอึกสะอื้นก็หลุดออกมาจากริมฝีปากบางที่สั่นระริก นั่นทำให้หัวใจของจองอูเจ็บปวดอีกครั้ง เขาจึงดึงมือของซองจูที่จับไว้เข้ามาหาตัว
“ฉันจะช่วยทำให้ลืมมันเอง”
คำพูดนั้นยิ่งทำให้ซองจูระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา เสียงสะอึกสะอื้นที่เพิ่มขึ้นทำให้แรงที่ดึงรั้งซองจูเพิ่มขึ้นไปด้วย ซองจูปล่อยร่างกายสั่นเทาไปตามการสัมผัสของมือนั้น เจ้าตัวถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอด แล้วจองอูก็ลูบปลอบลงบนแผ่นหลังของอีกคนอย่างแผ่วเบา
“ฉันจะช่วยทำให้ลืมมันเอง เพราะฉะนั้น”
ได้โปรด อย่าร้องไห้อีกเลย
จองอูกลืนคำพูดสุดท้ายกลับไป แล้วจึงประกบริมฝีปากลงมาดูดคลึงริมฝีปากของซองจูแทน
“อื้อ อุ๊บ…อื้อ อื้ม!”
เขาดูดดุนที่ริมฝีปากนั้นอย่างเร่าร้อน จนสาบเสื้อคลุมอาบน้ำที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่เผยอออก และในตอนนั้นเอง ซองจูถึงได้แสดงอาการขัดขืนออกมาอย่างอ่อนแรง ทว่าการพยายามที่จะยับยั้งจองอูไว้ด้วยแขนที่สั่นเทาแบบนั้น สุดท้ายการขัดขืนนั้นของซองจูก็ถูกหยุดเอาไว้โดยปริยาย
จองอูคร่อมตัวทาบทับร่างของซองจู ผลักให้อีกคนนอนราบไปบนเตียง กดทับต้นขาของอีกคนที่ขยับชันขึ้นไว้ที่หว่างขาของเขา และในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าตัวก็ขบกัดลงบนริมฝีปากนั่น ให้อีกฝ่ายเผลอส่งเสียงร้องครางออกมาด้วยความเจ็บจี๊ด เขาควานมือสะเปะสะปะไปบนเสื้อคลุมอาบน้ำที่ยับย่นและหลุดลุ่ย จนพบกับปมเชือก แล้วเขาก็ออกแรงกระตุกมันออกในทันที ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าราวกับภาพดอกไม้ที่ผลิบานออกมา ในยามที่เรือนร่างขาวกระจ่างของซองจูที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมถูกเผยออกมาให้เห็น
เขาดูดดึงริมฝีปากล่างของซองจูจนเกิดเสียงดัง แล้วจึงขยับยกตัวที่แนบสนิทกันขึ้นมา ในตอนนั้นเอง ภาพใบหน้าที่กำลังตกตะลึงของอีกคนก็ปรากฎขึ้นในสายตา ในดวงตาคู่นั้นยังคงมีร่องรอยของคราบน้ำตาเอ่อคลออยู่ ดูราวกับว่ากำลังเอ่ยถามว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ จองอูค่อยๆ จับแขนของซองจูเอาไว้ แล้วดึงตัวอีกคนขึ้นมา
ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเคลื่อนไหวไปตามแรงดึง ตกเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย เสื้อคลุมอาบน้ำที่เคยคลุมอยู่บนเรือนร่างของอีกคนถูกดึงออก ก่อนจะถูกโยนทิ้งลงบนพื้น ร่างกายของซองจูถูกอ้อมแขนแข็งแรงนั่นกอดเอาไว้ ดึงรั้งร่างกายที่สั่นเทาเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเข้ามากอดไว้ และกดศีรษะของซองจูให้แนบลงบนอกของตน
“นอกจากวิธีนี้ ฉันก็ไม่รู้วิธีปลอบใจแบบอื่น คงไม่เป็นไรใช่ไหม”